ค้นหาข้อมูลจากบล็อกนี้

วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555

unseen#6 บันทึกเหตุการณ์ในช่วงคริสต์มาสแรก


เป็นส่วนหนึ่งของ DVD เรื่อง unseen Christmas



ลูกา บทที่ 1 ข้อ 5 ในรัชกาลเฮโรด กษัตริย์ของยูเดีย มีปุโรหิตคนหนึ่งชื่อเศคาริยาห์ อยู่ในเวรอาบียาห์ ภรรยาของเศคาริยาห์ ชื่อเอลีซาเบธ อยู่ในตระกูลอาโรน 
6 เขาทั้งสองเป็นคนชอบธรรมจำเพาะพระเจ้า และดำเนินตามบัญญัติและกฎหมายทั้งปวงของพระเป็นเจ้าไม่มีที่ติเลย 
7 แต่เขาไม่มีบุตร เพราะว่านางเอลีซาเบธเป็นหมัน และเขาทั้งสองก็ชราแล้ว 
8 ขณะที่เศคาริยาห์ทำหน้าที่ปุโรหิตเข้าเฝ้าพระเจ้า เมื่อกองเวรของท่านเข้าประจำการ
9 ท่านได้ฉลากตามธรรมเนียมของปุโรหิต ต้องเข้าไปในพระวิหารเผาเครื่องหอมบูชา
10 ส่วนบรรดาประชาชนก็อธิษฐานอยู่ภายนอก ในเวลาเผาเครื่องหอมนั้น
11 ทูตองค์หนึ่งของพระเจ้า มาปรากฏแก่เศคาริยาห์ยืนอยู่ที่ข้างขวาแท่นเผาเครื่องหอมบูชา
12 เมื่อเศคาริยาห์เห็นก็ตกใจกลัว
13 แต่ทูตองค์นั้นกล่าวแก่ท่านว่า “เศคาริยาห์เอ๋ย อย่ากลัวเลย ด้วยได้ทรงฟังคำอธิษฐานของท่านแล้ว นางเอลีซาเบธ ภรรยาของท่านจะมีบุตรเป็นผู้ชาย และท่านจงตั้งชื่อบุตรนั้นว่ายอห์น 
14 ท่านจะมีความปรีดาและยินดี และคนเป็นอันมากจะเปรมปรีดิ์ ที่บุตรนั้นบังเกิดมา 
15 เพราะว่าเขาจะเป็นใหญ่จำเพาะพระเจ้า เขาจะไม่กินน้ำองุ่นหมักและเหล้าเลย และจะประกอบไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ตั้งแต่ครรภ์มารดา 
16 เขาจะนำพงศ์พันธุ์อิสราเอล หลายคนให้หันกลับมาหาพระเจ้าของเขาทั้งหลาย 
17 เขาจะนำหน้าพระองค์โดยน้ำใจและฤทธิ์เดชของเอลียาห์ ให้พ่อกลับคืนดีกับลูก และคนดื้อด้านให้กลับได้ปัญญาของคนชอบธรรม เพื่อจัดเตรียมชนชาติหนึ่งไว้ให้สมแก่พระเจ้า” 
18 เศคาริยาห์จึงทูลทูตสวรรค์ว่า “ข้าพเจ้าจะรู้แน่ได้อย่างไร เพราะข้าพเจ้าก็ชราและภรรยาก็อายุมากแล้ว” 
19 ฝ่ายทูตสวรรค์นั้นจึงตอบว่า “เราคือกาเบรียลซึ่งยืนคอยรับใช้อยู่หน้าพระพักตร์พระเจ้า และทรงใช้ให้มาพูดกับท่านและนำข่าวดีนี้มาแจ้ง 
20 นี่แน่ะ เพราะท่านมิได้เชื่อถ้อยคำของเราถึงเรื่องที่จะบังเกิดขึ้นตามกำหนด ท่านก็จะเป็นใบ้ไปจนถึงวันที่การณ์เหล่านี้จะสำเร็จ” 
21 ฝ่ายคนทั้งหลายที่คอยเศคาริยาห์ก็ประหลาดใจเพราะท่านอยู่ในพระวิหารช้านาน
22 เมื่อท่านออกมาแล้วก็พูดกับเขาไม่ได้ คนทั้งหลายจึงหยั่งรู้ว่าท่านได้เห็นนิมิตในพระวิหาร ท่านใช้ใบ้กับเขา และยังเป็นใบ้อยู่
23 เมื่อหมดเวรของท่านแล้ว ท่านก็กลับไปบ้าน
24 ภายหลังนางเอลีซาเบธภรรยาของท่านก็ตั้งครรภ์ แล้วไปซ่อนตัวอยู่ห้าเดือนพูดว่า
25 “พระเจ้าได้ทรงกระทำเช่นนี้แก่ข้าพเจ้า ในวันที่พระองค์ได้ทอดพระเนตร เพื่อความอดสูของข้าพเจ้าที่มีอยู่ท่ามกลางคนทั้งปวงจะหมดสิ้นไปเสีย”




ลูกา บทที่ 1 ข้อ 26 เมื่อถึงเดือนที่หก พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์กาเบรียลนั้น ให้มายังเมืองหนึ่งในแคว้นกาลิลี ชื่อนาซาเร็ธ 
27 มาถึงหญิงพรหมจารีคนหนึ่ง ที่ได้หมั้นกันไว้กับชายคนหนึ่งที่ชื่อโยเซฟ เป็นคนในเชื้อวงศ์ดาวิด หญิงพรหมจารีนั้นชื่อมารีย์ 
28 ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น แล้วว่า “เธอผู้ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปรานมาก จงจำเริญเถิด พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ” 
29 ฝ่ายมารีย์ก็ตกใจเพราะคำของทูตนั้น และรำพึงว่า คำทักทายนั้นจะหมายว่าอะไร
30 แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธอว่า “มารีย์เอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นที่พระเจ้าทรงโปรดปรานแล้ว
31 ดูเถิด เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู
32 “บุตรนั้นจะเป็นใหญ่ และจะทรงเรียกว่าเป็นบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระเจ้าจะทรงประทานพระที่นั่งของดาวิดบรรพบุรุษของท่านให้แก่ท่าน
33 และท่านจะครอบครองพงศ์พันธุ์ของยาโคบสืบไปเป็นนิตย์ และแผ่นดินของท่านจะไม่รู้จักสิ้นสุดเลย”
34 ฝ่ายมารีย์ทูลทูตสวรรค์นั้นว่า “เหตุการณ์นั้นจะเป็นไปอย่างไรได้ เพราะข้าพเจ้ายังหาได้ร่วมกับชายไม่”
35 ทูตสวรรค์จึงตอบนางว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาบนเธอ และฤทธิ์เดชของผู้สูงสุดจะปกเธอ เหตุฉะนั้นบุตรที่จะเกิดมานั้น จะได้เรียกว่าวิสุทธิ์ และเรียกว่าพระบุตรของพระเจ้า
36 ดูซิ ถึงนางเอลีซาเบธญาติของเธอชราแล้ว ก็ยังตั้งครรภ์มีบุตรเป็นชายด้วย บัดนี้นางนั้นที่คนเขาถือว่าเป็นหญิงหมัน ก็มีครรภ์ได้หกเดือนแล้ว
37 เพราะว่าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งพระเจ้าทรงกระทำไม่ได้”
38 ส่วนมารีย์จึงทูลว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเป็นทาสีของพระเป็นเจ้า ข้าพเจ้าพร้อมที่จะเป็นไปตามคำของท่าน” แล้วทูตสวรรค์นั้นจึงจากเธอไป




ลูกา บทที่ 1 ข้อ 39 คราวนั้นมารีย์จึงรีบออกไปถึงเมืองหนึ่งในแถบภูเขาแห่งยูเดีย 
40 แล้วเข้าไปในเรือนของเศคาริยาห์ทักทายปราศรัยนางเอลีซาเบธ 
41 เมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินคำปราศรัยของมารีย์ ทารกในครรภ์ของเขาก็ดิ้น และนางเอลีซาเบธก็เต็มไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ 
42 จึงร้องเสียงดังว่า “ในบรรดาสตรีท่านได้รับพระพรมาก และทารกในครรภ์ของท่านก็ได้รับพระพรด้วย 
43 เป็นไฉนข้าพเจ้าจึงได้ความโปรดปรานเช่นนี้ คือ มารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าได้มาหาข้าพเจ้า
44 เพราะ ดูเถิด พอเสียงปราศรัยของท่านเข้าหูข้าพเจ้า ทารกในครรภ์ของข้าพเจ้าก็ดิ้นด้วยความยินดี
45 สตรีที่ได้เชื่อก็เป็นสุข เพราะว่าจะสำเร็จตามพระดำรัสจากพระเป็นเจ้าที่มาถึงเขา
46 นางมารีย์จึงว่า “จิตใจของข้าพเจ้าก็ยกย่องพระเจ้า
47 และวิญญาณของข้าพเจ้าก็เกิดความยินดีในพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของข้าพเจ้
48 เพราะพระองค์ทรงห่วงใยฐานะอันยากต่ำแห่งทาสีของพระองค์ เพราะนั่นแหละ ตั้งแต่นี้ไปคนทุกชั่วอายุจะเรียกข้าพเจ้าว่าผาสุก
49 เพราะว่าผู้ทรงฤทธิ์ได้ทรงกระทำการใหญ่กับข้าพเจ้า พระนามของพระองค์ก็บริสุทธิ
50 พระกรุณาของพระองค์มีแก่บรรดาผู้ยำเกรงพระองค์ทุกชั่วอายุสืบไป
51 พระองค์ทรงสำแดงฤทธิ์ด้วยพระกรของพระองค์ พระองค์ทรงกระทำให้คนที่มีใจเย่อหยิ่งแตกฉานซ่านเซ็นไป
52 พระองค์ทรงถอดเจ้านายจากพระที่นั่ และพระองค์ทรงยกผู้น้อยขึ้น
53 พระองค์ทรงโปรดให้คนอดอยาก อิ่มด้วยสิ่งดี และทรงกระทำให้คนมั่งมีไปมือเปล่า
54 พระองค์ทรงช่วยอิสราเอลผู้รับใชของพระองค์ คือพระองค์ทรงจดจำพระกรุณา
ของพระองค์
55 ที่มีต่ออับราฮัม และต่อพงศ์พันธุ์ของท่านเป็นนิตย์ ตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้กับบรรพบุรุษของเรา”
56 มารีย์อาศัยอยู่กับนางเอลีซาเบธประมาณสามเดือน แล้วจึงกลับไปยังบ้านของตน
57 ครั้นเวลาซึ่งนางเอลีซาเบธจะคลอดบุตรครบถ้วนแล้ว นางก็คลอดบุตรเป็นชาย
58 เพื่อนบ้านและญาติพี่น้องของนางได้ยินว่า พระเจ้าได้ทรงสำแดงพระมหากรุณาแก่นาง เขาทั้งหลายก็พากันเปรมปรีดิ์ด้วย
59 ครั้นถึงวันที่แปดแล้ว เขาก็พากันมาให้ทารกนั้นเข้าสุหนัต(พิธีตัดหนังปลายองคชาติ โดยพิธีนี้ผู้ชายเข้าศาสนายิว) และเขาจะให้ชื่อทารกว่าเศคาริยาห์ตามชื่อบิดา
60 ฝ่ายมารดาจึงตอบว่า “ไม่ใช่ แต่ต้องให้ชื่อว่ายอห์น”
61 เขาพากันตอบว่า “ไม่มีผู้ใดในพวกญาติของท่านที่มีชื่ออย่างนั้น”
62 แล้วเขาจึงใช้ใบ้กับบิดาถามว่า ท่านอยากจะให้บุตรนั้นชื่ออะไร
63 บิดาจึงขอกระดานชนวนมา เขียนว่า “ชื่อของบุตรคือ ยอห์น” คนทั้งหลายก็ประหลาดใจนัก
64 ในทันใดนั้นปากและลิ้นของท่านก็คืนดีอีก แล้วท่านกล่าวสรรเสริญพระเจ้า
65 เพื่อนบ้านของท่านก็บังเกิดความกลัว และเหตุการณ์ทั้งปวงนั้นก็เลื่องลือไปทั่วแถบภูเขาแคว้นยูเดีย
66 บรรดาคนที่ได้ยินก็จดจำไว้ในใจ และว่า “แล้วทารกนั้นจะเป็นอะไรข้างหน้า” ด้วยว่าพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่กับเขา
67 ฝ่ายเศคาริยาห์ผู้เป็นบิดาประกอบไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วได้ทำนายว่า
68 “สาธุการแด่พระเจ้าของพวกอิสราเอล ด้วยว่าพระองค์ทรงเยี่ยมเยียนและช่วยไถ่ชนชาติของพระองค์
69 และได้ทรงให้ผู้ช่วยทรงฤทธิ์เกิดมา ในวงศ์ของดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์
70 ตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้ตั้งแต่โบราณ โดยปากของผู้เผยพระวจนะบริสุทธิของพระองค์
71 คือทรงให้รอดพ้นจากพวกศัตรูของเราทั้งหลาย และพ้นจากมือของคนทั้งปวงที่ชังเรา
72 ดังนั้นจึงทรงสำแดงพระกรุณาซึ่งทรงสัญญาแก่บรรพบุรุษของเรา และทรงระลึกถึงพันธสัญญาบริสุทธิ์ของพระองค์
73 คือคำปฏิญาณซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำไว้กับอับราฮัมบรรพบุรุษของเราว่า
74 เมื่อเราทั้งหลายพ้นจากมือศัตรูของเราแล้ว จะทรงโปรดให้เราปรนนิบัติพระองค์โดยปราศจากความกลัว
75 ด้วยความบริสุทธิ์และด้วยความชอบธรรม จำเพาะพระพักตร์พระองค์ตลอดชีวิตของเรา
76 ท่านทารกเอ๋ย เขาจะเรียกท่านว่าเป็นผู้เผยพระวจนะของผู้สูงสุด เพราะว่าท่านจะนำหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า และจัดเตรียมมรรคาของพระองค์ไว้
77 เพื่อจะให้ชนชาติของพระองค์มีความรู้ถึงความรอด ที่มาทางการทรงยกบาปของเขา
78 โดยพระทัยเมตตากรุณาแห่งพระเจ้าของเรา แสงอรุณจากเบื้องสูงจึงมาเยี่ยมเยียนเรา
79 ส่องสว่างแก่คนทั้งหลายผู้อยู่ในที่มืด และในเงาแห่งความมรณา เพื่อจะนำเท้าของเราไปในทางสันติสุข”
80 ฝ่ายทารกนั้นก็ได้เจริญวัยขึ้น และวิญญาณจิตก็มีกำลังทวีขึ้น ท่านไปอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร จนถึงวันที่ท่านจะได้มาปรากฏแก่ชนชาติอิสราเอล




มัทธิว บทที่ 1 ข้อ 18 เรื่องพระกำเนิดของพระเยซูคริสต์เป็นดังนี้ คือมารีย์ผู้เป็นมารดาของพระเยซูนั้น เดิมโยเซฟได้สู่ขอหมั้นกันไว้แล้ว ก่อนที่จะได้อยู่กินด้วยกันก็ปรากฏว่า มารีย์มีครรภ์แล้วด้วยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ 
19 แต่โยเซฟคู่หมั้นของเขาเป็นคนมีธัมมะ ไม่พอใจที่จะแพร่งพรายความเป็นไปของเธอ หมายจะถอนหมั้นเสียลับๆ 
20 แต่เมื่อโยเซฟยังคิดในเรื่องนี้อยู่ ก็มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้า มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า “โยเซฟบุตรดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้าเลย เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิ์ในครรภ์ของเธอเป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์
21 เธอจะประสูติบุตรชาย แล้วเจ้าจงเรียกนามท่านว่า เยซู เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขา”
22 ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่งตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า
23 ดูเถิด หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่า อิมมานูเอล
(แปลว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา)
24 ครั้นโยเซฟตื่นขึ้นก็กระทำตามคำซึ่งทูตของพระเจ้าสั่งนั้น คือได้รับมารีย์มาเป็นภรรยา
25 แต่มิได้สมสู่กับเธอจนประสูติบุตรชายแล้ว และโยเซฟเรียกนามของบุตรนั้นว่าเยซู




ลูกา บทที่ 1 ข้อ 1 อยู่มาคราวนั้น มีรับสั่งจากมหาจักรพรรดิซีซาร์ ออกัสตัส ให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน 
2 นี่เป็นครั้งแรกที่ได้จดทะเบียนสำมะโนครัว เมื่อคีรินิอัสเป็นเจ้าเมืองซีเรีย 
3 คนทั้งปวงต่างคนต่างได้ไปขึ้นทะเบียนยังเมืองของตน 
4 ฝ่ายโยเซฟก็ขึ้นไปจากเมืองนาซาเร็ธ แคว้นกาลิลีถึงเมืองของดาวิดชื่อเบธเลเฮมแคว้นยูเดียด้วย เพราะว่าเขาเป็นวงศ์วานและเชื้อสายของดาวิด 
5 เขาได้ไปกับมารีย์ที่เขาได้หมั้นไว้แล้ว เพื่อจะขึ้นทะเบียน และนางมีครรภ์ 
6 เมื่อเขาทั้งสองยังอยู่ที่นั่น ก็ถึงเวลาที่มารีย์จะประสูติบุตร 
7 นางจึงประสูติบุตรชายหัวปี เอาผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรางหญ้า เพราะว่าไม่มีที่ว่างให้เขาในโรงแรม



ลูกา บทที่ 2 ข้อ 8 ในแถบนั้นมีคนเลี้ยงแกะอยู่ในทุ่งนา เฝ้าฝูงแกะของเขาในเวลากลางคืน 
9 มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้ามาปรากฏแก่เขา และพระสิริของพระเป็นเจ้าส่องล้อมรอบเขา และเขากลัวนัก 
10 ฝ่ายทูตองค์นั้นกล่าวแก่เขาว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเรานำข่าวดีมายังท่านทั้งหลาย คือความปรีดียิ่งซึ่งจะมาถึงคนทั้งปวง 
11 เพราะว่าในวันนี้พระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลาย คือพระคริสตเจ้า มาบังเกิดที่เมืองดาวิด 
12 นี่จะเป็นหมายสำคัญแก่ท่านทั้งหลาย คือท่านจะได้พบพระกุมารนั้นพันผ้าอ้อมนอนอยู่ในรางหญ้า
13 ในทันใดนั้น มีชาวสวรรค์หมู่หนึ่งมาอยู่กับทูตองค์นั้นร่วมสรรเสริญพระเจ้าว่า
14 “พระสิริจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด ส่วนบนแผ่นดินโลก สันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวง ซึ่งพระองค์ทรงโปรดปรานนั้น
15 เมื่อทูตสวรรค์เหล่านั้น ไปจากเขาขึ้นสู่สวรรค์แล้ว พวกเลี้ยงแกะได้พูดกันว่า “ให้เราไปยังเมืองเบธเลเฮมดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ซึ่งพระเป็นเจ้าได้ทรงแจ้งแก่เรา” 

16 เขาก็รีบไปแล้วพบนางมารีย์กับโยเซฟ และพบพระกุมารนั้นนอนอยู่ในรางหญ้า
17 ครั้นเขาได้เห็นแล้ว จึงเล่าเรื่องซึ่งเขาได้ยินถึงพระกุมารนั้น
18 คนทั้งปวงที่ได้ยินก็ประหลาดใจ ด้วยเนื้อความที่คนเลี้ยงแกะได้บอกแก่เขา
19 ฝ่ายนางมารีย์ก็เก็บบรรดาสิ่งเหล่านั้นไว้ในใจและรำพึงอยู่
20 คนเลี้ยงแกะจึงกลับไปยกย่องสรรเสริญพระเจ้า เพราะเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งเขาได้ยิน และได้เห็นดังได้กล่าวไว้แก่เขาแล้ว




ลูกา บทที่ 2 ข้อ 21 ครั้นครบแปดวัน เป็นวันให้พระกุมารนั้นเข้าสุหนัต เขาจึงให้นามว่าเยซู ตามซึ่งทูตสวรรค์ได้กล่าวไว้ก่อน เมื่อยังมิได้ปฏิสนธิ์ในครรภ์ 
22 เมื่อถึงเวลาทำพิธีชำระตัวตามธรรมบัญญัติของโมเสส เขาจึงนำพระกุมารไปยังกรุงเยรูซาเล็มจะถวายแด่พระเป็นเจ้า
23 ตามที่เขียนไว้แล้วในธรรมบัญญัติของพระเป็นเจ้าว่า “บุตรชายทุกคนที่เบิกครรภ์ครั้งแรก จะได้เรียกว่าเป็นบุตรที่ถวายแด่พระเจ้า” 
24 และถวายของบูชาตามที่ได้ตรัสสั่งไว้แล้ว ในธรรมบัญญัติของพระเป็นเจ้า คือ นกเขาคู่หนึ่ง หรือนกพิราบหนุ่มสองตัว
25 นี่แน่ะ มีชายคนหนึ่งในกรุงเยรูซาเล็มชื่อสิเมโอน เป็นคนชอบธรรมและเกรงกลัวพระเจ้า และคอยเวลาซึ่งพวกอิสราเอลจะได้รับความบรรเทาทุกข์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตกับท่าน
26 พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงสำแดงแก่ท่านว่า ท่านจะไม่ตายจนกว่าจะได้เห็นพระคริสต์ของพระเป็นเจ้า
27 สิเมโอนเข้าไปในบริเวณพระวิหาร โดยพระวิญญาณทรงนำ และเมื่อบิดามารดาได้นำพระกุมารเยซูเข้าไป เพื่อจะกระทำแก่พระกุมารตามธรรมเนียมแห่งธรรมบัญญัติ
28 สิเมโอนจึงอุ้มพระกุมาร และสรรเสริญพระเจ้าว่า
29 “ข้าแต่พระเจ้า บัดนี้พระองค์ทรงให้ทาสของพระองค์ไปเป็นสุข ตามพระดำรัสของพระองค์
30 เพราะว่าตาของข้าพระองค์ได้เห็นความรอดของพระองค์แล้ว
31 ซึ่งพระองค์ได้ทรงจัดเตรียมไว้ต่อหน้าบรรดาชนชาติทั้งหลาย
32 เป็นสว่างส่องแสงแก่คนต่างชาติ และเป็นศักดิ์ศรีของพวกอิสราเอลชนชาติของพระองค์”
33 ฝ่ายบิดามารดาของพระกุมารก็ประหลาดใจ เพราะถ้อยคำซึ่งท่านได้กล่าวถึงพระกุมารนั้น
34 แล้วสิเมโอนก็อวยพรแก่เขา แล้วกล่าวแก่นางมารีย์มารดาพระกุมารนั้นว่า “ดูก่อน ท่านทรงตั้งพระกุมารนี้ไว้ เป็นเหตุให้หลายคนในพวกอิสราเอลล้มลงหรือยกตั้งขึ้น และจะเป็นหมายสำคัญซึ่งคนปฏิเสธ
35 เพื่อความคิดในใจของคนเป็นอันมากจะได้ปรากฏแจ้ง ถึงหัวใจของท่านเองก็ยังจะถูกดาบแทงทะลุด้วย”
36 ยังมีผู้เผยพระวจนะหญิงคนหนึ่งชื่ออันนา บุตรีฟานูเอลในเผ่าอาเชอร์ นางเป็นคนชรามากแล้ว มีสามีตั้งแต่สาวๆและอยู่ด้วยกันเจ็ดปี
37 แล้วก็เป็นม่ายมาจนถึงแปดสิบสี่ปี นางมิได้ไปจากบริเวณพระวิหารเลย อยู่นมัสการถืออดอาหารและอธิษฐานทั้งกลางวันกลางคืน
38 ในขณะนั้นผู้หญิงคนนี้ก็เข้ามาโมทนาพระเจ้า และกล่าวถึงพระกุมารให้คนทั้งปวงที่คอยการทรงไถ่กรุงเยรูซาเล็มฟัง




มัทธิว บทที่ 2 ข้อ 1 พระเยซูได้ทรงบังเกิดที่บ้านเบธเลเฮมแคว้นยูเดียในรัชกาลของกษัตริย์เฮโรด ภายหลังมีพวกโหราจารย์จากทิศตะวันออกมายังกรุงเยรูซาเล็ม ถามว่า 
2 “กุมารผู้ที่บังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิวนั้นอยู่ที่ไหน เราได้เห็นดาวของท่านปรากฏขึ้น เราจึงมาหวังจะนมัสการท่าน” 
3 ครั้นกษัตริย์เฮโรดได้ยินดังนั้นแล้ว ก็วุ่นวายพระทัย ทั้งชาวกรุงเยรูซาเล็มก็พลอยวุ่นวายใจไปด้วย 
4 แล้วท่านให้ประชุมบรรดามหาปุโรหิตกับพวกธรรมาจารย์ของประชาชน ตรัสถามเขาว่า “ผู้เป็นพระคริสต์นั้นจะบังเกิดแห่งใด”
5 เขาทูลว่า “ที่บ้านเบธเลเฮมแคว้นยูเดีย เพราะว่าผู้เผยพระวจนะได้เขียนไว้ ดังนี้ว่า
6 บ้านเบธเลเฮมในแผ่นดินยูเดีย จะเป็นบ้านเล็กน้อยที่สุด ในสายตาของบรรดาผู้ครอง แผ่นดินยูเดียก็หามิได้ เพราะว่าเจ้านายคนหนึ่งจะออกมา จากท่าน ผู้ซึ่งจะครอบครองอิสราเอล ชนชาติของเรา”
7 แล้วเฮโรดจึงเชิญพวกโหราจารย์เข้ามาเป็นการลับ ถามเขาได้ความถ้วนถี่ถึงเวลาที่ดาวนั้นได้ปรากฏขึ้น
8 แล้วท่านได้ให้พวกโหราจารย์ไปยังบ้านเบธเลเฮมสั่งว่า “จงไปค้นหากุมารนั้นเถิด เมื่อพบแล้วจงกลับมาแจ้งแก่เรา เพื่อเราจะได้ไปนมัสการท่านด้วย”




มัทธิว บทที่ 2 ข้อ 9 โหราจารย์เหล่านั้น จึงไปตามรับสั่ง และดาวซึ่งเขาได้เห็นเมื่อปรากฏขึ้นนั้นก็ได้นำหน้าเขาไป จนมาหยุดอยู่เหนือสถานที่ที่กุมารอยู่นั้น 
10 เมื่อพวกโหราจารย์ได้เห็นดาวนั้นแล้ว ก็มีความยินดียิ่งนัก 
11 ครั้นเข้าไปในเรือนก็พบกุมารกับนางมารีย์มารดา จึงกราบถวายนมัสการกุมารนั้น แล้วเปิดหีบหยิบทรัพย์ของเขา ออกมาถวายแก่กุมารเป็นเครื่องบรรณาการ คือ ทองคำ กำยาน และมดยอบ 
12 แล้วพวกโหราจารย์ได้ยินคำเตือนในความฝัน มิให้กลับไปเฝ้าเฮโรด เขาจึงกลับไปยังเมืองของตนทางอื่น



มัทธิว บทที่ 2 ข้อ 13 ครั้นเขาไปแล้วก็มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้า ได้มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันแล้วบอกว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดาหนีไปประเทศอียิปต์ และคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้า เพราะว่าเฮโรดจะแสวงหากุมาร เพื่อจะประหารชีวิตเสีย” 
14 ในเวลากลางคืนโยเซฟจึงลุกขึ้น พากุมารกับมารดาไปยังประเทศอียิปต์ 
15 และได้อยู่ที่นั่นจนเฮโรดสิ้นพระชนม์ ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่งได้ตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า เราได้เรียกบุตรของเราให้ออกมาจากอียิปต์



มัทธิว บทที่ 2 ข้อ 16 ครั้นเฮโรดเห็นว่าพวกโหราจารย์หลอกท่าน ก็กริ้วโกรธยิ่งนัก จึงใช้คนไปฆ่าเด็กผู้ชายทั้งหลาย ในบ้านเบธเลเฮมและที่ใกล้เคียงทั้งสิ้น ตั้งแต่อายุสองขวบลงมา ซึ่งพอดีกับเวลาที่ท่านได้ทราบจากพวกโหราจารย์นั้น 
17 ครั้งนั้นก็สำเร็จตามพระวจนะที่ตรัสโดยเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะว่า 
18 ได้ยินเสียงในหมู่บ้านรามาห์ เป็นเสียงโอดครวญและร่ำไห้ คือนางราเชลร้องไห้คร่ำครวญ เพราะบุตรทั้งหลายของตน นางไม่รับฟังคำปลอบเล้าโลม เพราะบุตรทั้งหลายนั้นไม่มีแล้ว



มัทธิว บทที่ 2 ข้อ 19 ครั้นเฮโรดสิ้นพระชนม์แล้ว ทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้ามาปรากฏในความฝันแก่โยเซฟ ที่ประเทศอียิปต์สั่งว่า 
20 “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดามายังแผ่นดินอิสราเอล เพราะผู้ที่เป็นภัยต่อชีวิตของกุมารนั้นตายแล้ว” 
21 โยเซฟจึงลุกขึ้นพากุมารกับมารดามายังแผ่นดินอิสราเอล 
22 แต่เมื่อได้ยินว่า อารเคลาอัสครอบครองแคว้นยูเดียแทนเฮโรดผู้เป็นบิดา จะไปที่นั่นก็กลัว และเมื่อได้ทราบคำเตือนในความฝัน จึงเลยไปยังแคว้นกาลิลี 
23 ไปอาศัยในเมืองหนึ่งชื่อนาซาเร็ธ เพื่อจะสำเร็จตามพระวจนะ ซึ่งตรัสโดยผู้เผยพระวจนะว่า เขาจะเรียกท่านว่า ชาวนาซาเร็ธ



ลูกา บทที่ 2 ข้อ 39 ครั้นโยเซฟกับนางมารีย์ได้กระทำการทั้งปวง ตามธรรมบัญญัติของพระเป็นเจ้าเสร็จแล้ว จึงกลับไปถึงนาซาเร็ธเมืองของตนในแคว้นกาลิลี 
40 พระกุมารนั้นก็เจริญวัยแข็งแรงขึ้น ประกอบด้วยสติปัญญาและพระคุณของพระเจ้าอยู่กับท่าน

และคลิปด้านล่างนี้เป็นตอนที่ 6 ของ unseen Christmas เป็นบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามบันทึกของ "มัทธิว" และ "ลูกา" ทั้งหมดมี 13 เหตุการณ์ เชิญชมได้เลยครับ




วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

คลิปเรื่อง "เป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์

เป็นคลิปส่วนหนึ่งของโครงการ ประกาศพระกิตติคุณภายใน 2 ปี 1 จิตวิญญาณ Epaenetus Project ในหัวข้อเรื่อง "เป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์"


ปก DVD เรื่องนี้

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เรื่อง "การแสดงทัศนะในที่ที่มีความคิดต่าง" บทเรียนมาจากหนังสือกิจการบทที่ 17


วันอาทิตย์ที่ 4 พย. 2012 ที่ Koffee Church รามอินทรา กม. 2 ผมจะแบ่งปันเรื่อง "การแสดงทัศนะในที่ที่มีความคิดต่าง" บทเรียนมาจากหนังสือกิจการบทที่ 17 เป็นตอนที่เปาโลไปประกาศกับกลุ่มนักปรัชญา การแสดงทัศนะต่อคนมีความรู้ มีการศึกษา อาจทำให้เราขาดความมั่นใจในพระเจ้าไปได้ แต่เปาโลเอาอยู่ เพราะสุดท้ายก็มีคนสนใจเรื่องที่ท่านพูด

กิจการบทที่ 17 ข้อ 22 ฝ่ายเปาโลจึงยืนขึ้นกลางสภาอาเรโอปากัสแล้วกล่าวว่า “ดูก่อนท่านชาวกรุงเอเธนส์ โดยประการต่างๆข้าพเจ้าเห็นได้ว่า ท่านทั้งหลายเป็นนักศาสนา
23 เพราะว่าเมื่อข้าพเจ้าเดินทางมาสังเกตดูสิ่งที่ท่านนมัสการนั้น ข้าพเจ้าได้พบแท่นแท่นหนึ่ง มีคำจารึกไว้ว่า 'แด่พระเจ้าที่ไม่รู้จัก' เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมาประกาศ และแสดงให้ท่านทั้งหลายทราบ ถึงพระเจ้าที่ท่านไม่รู้จักแต่ยังนมัสการอยู่
24 พระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกกับสิ่งทั้งปวงที่มีอยู่ในนั้น พระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก มิได้ทรงสถิตในปูชนียสถานซึ่งมือมนุษย์ได้กระทำไว้
25 พระองค์มิจำต้องให้มือมนุษย์มาปรนนิบัติ ดังว่ามีความต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานชีวิตและลมหายใจ และสิ่งสารพัดแก่คนทั้งปวงต่างหาก
26 พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติ สืบสายโลหิตอันเดียวกันให้อยู่ทั่วพิภพโลก และได้ทรงกำหนดเวลาและเขตแดนให้เขาอยู่
27 เพื่อเขาจะได้แสวงหาพระเจ้าและมุ่งหวังจะคลำหาให้พบพระองค์ ที่จริงพระองค์มิทรงอยู่ห่างไกลจากเราทุกคนเลย
28 ด้วยว่า 'เรามีชีวิต และไหวตัว และเป็นอยู่ในพระองค์' ตามที่กวีบางคนในพวกท่านได้กล่าวว่า 'แท้จริงเราทั้งหลายเป็นเชื้อสายของพระองค์'
29 เหตุฉะนั้นเมื่อเราเป็นเชื้อสายของพระเจ้าแล้ว เราก็ไม่ควรถือว่าพระเจ้าทรงเป็นทอง เงิน หรือหิน อันเป็นปฏิมากรสำเร็จด้วยศิลปะและความคิดของมนุษย์
30 ในเวลาเมื่อมนุษย์ยังไร้เดียงสา พระเจ้ามิได้ทรงถือโทษ แต่เดี๋ยวนี้ พระเจ้าได้ตรัสสั่งแก่มนุษย์ทั้งปวงทั่วทุกแห่งให้กลับใจใหม่
31 เพราะพระองค์ได้ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้ ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโลกตามความชอบธรรม โดยมนุษย์ผู้นั้นซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้ และพระเจ้าได้ทรงโปรดให้คนทั้งปวงมีความแน่ใจในเรื่องนี้ โดยทรงให้มนุษย์ผู้นั้นคืนชีวิต”


ในกจ. 17:18 [TBS1971])
"...ปรัชญาเมธีบางคนในพวกเอปิคูเรียน และในพวกสโตอิกได้มาพบท่าน บางคนกล่าวว่า “คนเก็บเดนความรู้เล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้จะใคร่มาพูดอะไรให้เราฟังเล่า” บางคนกล่าวว่า “ดูเหมือนเขาเป็นคนนำพระต่างประเทศเข้ามาเผยแพร่เพราะเปาโลได้ประกาศพระนามพระเยซู และเรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตาย..."

จากข้อความนี้ระบุว่ามีนักปรัชญา 2 สำนักคือ "เอปิคูเรียน" และ "สโตอิก" สนใจมาพบเปาโล แล้วคน 2 สำนักนี้เชื่ออะไร หากไปค้นหาจากตำราคู่มือหนังสืิอ "กิจการ" อาจจะไม่มีการเอ่ยถึงทั้ง 2 สำนักนี้เลย แต่ใน "theWord" ของสมาคมฯ ได้มีคำอธิบายดังนี้

พวกเอปิคูเรียนและในพวกสโตอิก พวกเอปิคูเรียนเป็นลูกศิษย์ของเอปิคูรัสซึ่งเป็นนักปรัชญาที่มีชีวิตอยู่ระหว่างปี 340-270 ก่อน ค.ศ. ท่านสอนว่าพวกเทพและเจ้าอาจไม่มีอิทธิพลเหนือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลก จุดประสงค์ของชีวิตคือการแสวงหาความสุขและความพอใจในโลกนี้ ส่วนพวกสโตอิกเป็นลูกศิษย์ของนักปรัชญาที่ชื่อ ซีโน ท่านมีชีวิตระหว่างปี 340-265 ก่อน ค.ศ. ท่านเน้นเรื่องการมีเหตุผล ศีลธรรมจรรยาและการบังคับตนเองอยู่เสมอ

ประกาศ...จากความตาย ผู้ฟังอาจเข้าใจว่าเปาโลประกาศพระใหม่สององค์คือ “พระเยซู” และ “การเป็นขึ้นมาจากความตาย” เพราะมีเรื่องที่เล่ากันต่อๆ มาว่า เทพองค์หนึ่งเป็นขึ้นมาจากความตายโดยมีเทพีที่ชื่อ “อานาสตาเซีย” มาทำให้เป็นขึ้น คำว่า “เป็นขึ้นจากความตาย” มาจากคำภาษากรีกว่า “อานาสตาเซีย” ซึ่งเอามาจากชื่อของเทพีองค์นี้


สำนัก "เอปิคูเรียน" มีเจ้าสำนักคือ "เอปิคูรัส" (341-270 กคศ.) ตัวเจ้าสำนักเองเริ่มศึกษาปรัชญาตั้งแต่อายุ 18 เดินทางมาเอเธนส์ และตลอดชีวิตของเขาผลิตผลงานไม่น้อยกว่า 300 เรื่อง ปรัชญาของสำนักนี้อยู่ในยุคปลายของปรัชญากรีกก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นอาณาจักรโรมัน

ทัศนะทางปรัชญาที่ชัดเจนก็คือมีเป้าหมายอยู่ที่การช่วยให้มนุษย์ดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข มนุษย์มีความทุกข์เพราะกลัวเทพเจ้า.. ความกลัวเกิดจากความโง่เขลา หากรู้ความจริง ความกลัวจะหมดไป

สำนักนี้ไม่ยอมรับเรื่องเทพเจ้าสร้างโลก แต่ก็ยังยอมรับว่าเทพเจ้าแยกตัวออกจากโลกไม่เกี่ยวกัน

สรุปว่า สำนักนี้จะเรียกว่าเป็นพวกวัตถุนิยมก็ว่าได้ เพราะเน้นเรื่องความสุขในการดำเนินชีวิต ไม่สนใจเทพเจ้าจะมาบันดาลอะไร ถ้าตนเองทำได้เอง แล้วมีความสุข ก็ทำเถิด

ลองมาอ่านปรัชญาของสำนักนี้ดูครับ

"ความสุขทุกอย่างเป็นความดีในตัวเอง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าความสุขทุกอย่างมีค่าควรแสวงหา... ความทุกข์ทุกอย่างเป็นความชั่ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าความทุกข์ทุกอย่างเป็นเรื่องควรหลีกเลี่ยง"
"ถ้าเทพเจ้าประสงค์จะขจัดความเลวร้ายในโลก แต่ทำไม่ได้ เทพเจ้าก็ไร้ความสามารถ ถ้าเทพเจ้ามีความสามารถแต่ไม่ประสงค์จะขัดความเลวร้ายในโลก เทพเจ้าก็แล้งน้ำใจ
ถ้าเทพเจ้าไม่มีทั้งความสามารถและความประสงค์ที่จะขจัดความเลวร้ายในโลก เทพเจ้าก็ไร้ความสามารถและแล้งน้ำใจ
ถ้าเทพเจ้ามีทั้งความสามารถและความประสงค์ที่จะขจัดความเลวร้ายในโลก แล้วความเลวร้ายเกิดขึ้นในโลกได้อย่างไร?"

ในยุคปัจจุบัน มีคนอ้างว่าตนเองเป็นเอปิคูเรียน นั่นคือ โธมัส เจฟเฟอร์สัน ประธานาธิบดีคนที่ 3 ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเคยประกาศเอาไำว้ว่า "ข้าพเจ้าเป็นเอปิคูเรียน ข้าพเจ้าพิจารณาเห็นว่าคำสอนที่แท้จริงของเอปิคิวรุสเสนอเหตุผลเพียบพร้อมให้กับจริยศาสตร์ที่ชาวกรีกและชาวโรมันส่งทอดมายังพวกเรา"

เจฟเฟอร์สันได้ตัดการอัศจรรย์ต่างๆ ออกจากพระคัมภีร์ โดยเหลือแต่คำสอนของพระเยซูเท่านั้น



อีกสำนักคือ "สโตอิก" เจ้าสำนักคือ "เซโนแห่งคิติอุม" (334-262 กคศ.) เกิดที่เมืองคิติอุม เกาะไซปรัส ปรัชญาของสำนักนี้ส่งผลให้ชาวโรมันชั้นสูง

ชื่อ "สโตอิก" มาจากสำนักปรัชญาตั้งขึ้นบริเวณซุ้มประตูเมือง ซึ่งเรียกประตูเมืองว่า "สโตอา" ในภาษากรีก ก็เลยตั้งชื่อสำนักว่าประตูเมือง

พวกสโตอิกเชื่อว่า พระเจ้าเป็นไฟอันประณีตที่สุด จากนั้นพระองค์ก็เปลี่ยนเป็นลม จากลมกลายเป็นน้ำ จากน้ำกลายเป็นดิน แล้วสรรพสิ่งก็เกิดขึ้น พระเจ้าเป็นวิญญาณของโลกที่แทรกสถิตอยู่ในสรรพสิ่งของโลก

พวกนี้ยังเชื่ออีกว่า พระเจ้าเป็นปัญญาอันสมบูรณ์และเป็นวจนะ (Logos) คือกฎแห่งเหตุผลที่จัดระเบียบให้กับจักรวาล

กวีของสโตอิกนามว่า "เคลอันธีส" แต่งบทสรรเสริญเทพเจ้าซุสดังนี้
"ข้าแต่ซุสผู้ประเสริฐเหนือเทพเจ้าทั้งปวง
ที่คนรู้จักในหลายพระนาม
ทรงเปี่ยมด้วยฤทธานุภาพ
โลกเกิดมาจากพระองค์
พระองค์ทรงใช้กฎปกครองโลก
พวกเราสรรเสริญพระองค์
เพราะพวกเราเกิดมาจากพระองค์
ดังนั้นข้าฯ จึงแต่งบทสวดสรรเสริญพระองค์
และขอสวดสรรเสริญพระองค์"

ซึ่งเป็นบทกวีที่เปาโลกอ้างถึงในกิจการ บทที่ 17 ข้อ 28 ด้วยว่า ‘เรามีชีวิต และไหวตัว และเป็นอยู่ในพระองค์’ ตามที่กวีบางคนในพวกท่านได้กล่าวว่า ‘แท้จริงเราทั้งหลายเป็นเชื้อสายของพระองค์’ 

สำนักนี้มีความพยายามรวมศาสนาและปรัชญาเข้าด้วยกัน เมื่อคริสตศาสนาเข้ามาในอาณาจักรโรมันจึงเข้าทาง เพราะชาวโรมันชั้นสูงสนใจปรัชญาของสโตอิกมากว่าเอปิคูเรียนที่ชนะใจชาวกรีก

ดังนั้นปรัชญาหรือความเชื่อต่างๆ ที่นอกเหนือจากความเชื่อทางศาสนาจะรับอิทธิพลของปรัชญาสโตอิกสอดแทรกอยู่ในคำสอนของคริสต์ศาสนาในยุคเริ่มต้น จนสู่ยุควิทยาศาสตร์

วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

บรรยากาศในค่ายภาคใต้ฟื้นฟู 2012







ที่คจ.ความหวังสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 19-21 ตุลาคม 2012

วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555

DVD ชุดใหม่ "ดิฉันไม่ใช่โสเภณี Mary Magdalene" เสร็จแล้ว


สั่งซื้อได้แล้วครับ พร้อมส่ง ชุดละ 200 บาท มี DVD 2 แผ่น

เป็นบันทึกการบรรยายสด เกี่ยวกับเ้รื่องของ "มารีย์ ชาวมักดาลา" กับข้อกล่าวหาสะท้านโลกที่มีมานานกว่า 1,000 ปี

ที่ผ่านมา เรื่องราวของเูธอถูกปรุงแต่งดุจดังนิยาย จากหญิงสามัญธรรมดาผู้ติดตามพระคริสต์ กลับกลายเป็นผู้ปกป้องเชื้อสาย ประวัิติศาสตร์นำเธอไปสู่ฝรั่งเศส และข้อหาที่มาจากการเข้าใจคลาดเคลื่อน ทำให้เธอถูกมองว่าเป็น "หญิงชั่ว" หรือ "โสเภณี" เพียงเพราะเหตุการณ์ซ้ำซ้อน และัชื่อ "มารีย์" ที่เหมือนกัน

สนใจชมฉบับเต็มความยาว 1 ชม. 24 นาที 47 วินาที

ติดต่อสั่งซื้อได้ที่ emagicclub@gmail.com


วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

ซาโลมอน เขียนสุภาษิตในบทที่ 7 กล่าวถึงพฤติกรรมเหล่าภรรยาของตน


ข้อ 1 บุตรชายของเราเอ๋ย จงรักษาถ้อยคำของเรา
จงสะสมบัญญัติของเราไว้กับเจ้า
ข้อ 2 จงรักษาบัญญัติของเรา และดำรงชีวิตอยู่
จงรักษาคำสอนของเราอย่างกับแก้วตาของเจ้า
ข้อ 3 มัดมันไว้ที่นิ้วมือของเจ้า
เขียนมันไว้บนแผ่นจารึกแห่งใจของเจ้า
ข้อ 4 จงพูดกับปัญญาว่า
“เธอเป็นพี่สาวของฉัน”
และจงเรียกความรอบรู้ว่า
“เพื่อนสนิท”
ข้อ 5 เพื่อปัญญานี้จะพิทักษ์เจ้าไว้ให้พ้นจากหญิงชั่ว
จากหญิงสัญจรที่พูดจาพะเน้าพะนอ
ข้อ 6 เพราะที่หน้าต่างบ้านของเรา
เราได้มองออกไปตามบานเกล็ด
ข้อ 7 เราเห็นว่าท่ามกลางคนเขลา
และท่ามกลางคนหนุ่มๆที่เราพิเคราะห์ดูนั้น
ก็มีหนุ่มคนหนึ่งไร้สามัญสำนึก
ข้อ 8 ผ่านไปตามถนนใกล้ทางแยกไปบ้านของนาง
เดินตามถนนซึ่งไปบ้านนาง
ข้อ 9 ในเวลาโพล้เพล้ ในเวลาเย็น
เวลาค่ำคืนและความมืด
ข้อ 10 และนี่แน่ะ หญิงคนหนึ่งมาพบเขา
แต่งตัวอย่างหญิงแพศยาหัวใจเจ้าเล่ห์
ข้อ 11 นางจัดจ้านและหัวเห็ด
เท้าของนางไม่อยู่กับบ้าน
ข้อ 12 ประเดี๋ยวอยู่ถนน ประเดี๋ยวอยู่ที่ลานเมือง
และนางหมอบคอยอยู่ทุกมุม
ข้อ 13 นางฉวยเขาได้และจุบเขา
นางพูดกับเขาอย่างไม่มียางอายว่า
ข้อ 14 “ฉันจำต้องถวายเครื่องสักการบูชา
และวันนี้ฉันได้แก้บนแล้ว
ข้อ 15 ฉันจึงออกมาหาเธอ
เสาะเธอ และฉันพบเธอแล้ว
ข้อ 16 ฉันได้ประดับเตียงของฉันด้วยผ้าคลุม
เป็นผ้าลินินอียิปต์สีต่างๆ
ข้อ 17 ฉันได้อบที่นอนของฉันด้วยมดยอบ
กฤษณา และอบเชย
ข้อ 18 มาเถอะ ให้เรามาอิ่มด้วยความรักจนรุ่งเช้า
ให้เราทำตัวของเราให้ปีติยินดีด้วยความรัก
ข้อ 19 เพราะผัวของฉันไม่อยู่บ้าน เขาไปทางไกล
ข้อ 20 เขาเอาเงินไปถุงหนึ่ง
พอวันเพ็ญเขาจึงกลับมา”
ข้อ 21 นางหว่านล้อมด้วยวาจาโอ้โลม
นางบังคับเขาด้วยคำพูดพะเน้าพะนอ
ข้อ 22 เขาก็ติดตามนางไปทันที
อย่างวัวตัวผู้ไปสู่การฆ่า
หรืออย่างกวางติดแน่น
ข้อ 23 จนลูกธนูปักเข้าไปถึงตับ
อย่างนกรนเข้าไปหาบ่วง
เขาหาทราบไม่ว่า นี่มีค่าถึงชีวิต
ข้อ 24 โอ บุตรชายเอ๋ย บัดนี้จงฟังเรา
และจงตั้งใจต่อถ้อยคำจากปากของเรา
ข้อ 25 อย่าให้ใจของเจ้าหันไปตามทางของนาง
อย่าเจิ่นอยู่ในวิถีของนางนั้น
ข้อ 26 เพราะนางได้ฟัดเหยื่อลงเสียเป็นอันมาก
เออ บรรดาที่นางฆ่าเสียนั้นก็เป็นจำนวนมากมาย
ข้อ 27 เรือนของนางเป็นทางไปสู่แดนผู้ตาย
ลงไปถึงห้วงแห่งความตาย


ในข้อ 14 “ฉันจำต้องถวายเครื่องสักการบูชา และวันนี้ฉันได้แก้บนแล้ว" คือลักษณะของการไหว้รูปเคารพรูปแบบหนึ่ง คือการล่วงประเวณี ในสมัยซาโลมอน น่าจะมีการกราบไหว้รูปเคารพมากกว่าสมัยใดๆ เลยก็ว่าได้ และยังสร้างเสาสูงตรงข้ามเยรูซาเล็มไว้อีกด้วย

ใน 1 พกษ. 11 ข้อ 7 แล้วซาโลมอนได้ทรงสร้างปูชนียสถานสูงสำหรับพระเคโมช สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของโมอับ ในภูเขาที่อยู่ตรงข้ามเยรูซาเล็ม

ซาโลมอนมีโอกาสพลาดถึง 1,000 เท่าที่จะหลงเจิ่นไป

ใน สภษ.1:1 สุภาษิตของซาโลมอน พระราชาแห่งอิสราเอล โอรสของดาวิดทรงพระราชนิพนธ์ไว้ และใน บทที่ 25 ข้อ 1 ต่อไปนี้เป็นสุภาษิตของซาโลมอนด้วยเหมือนกัน ซึ่งคนของเฮเซคียาห์ พระราชาแห่งยูดาห์ได้คัดลอกไว้ และใน 1 พกษ บทที่ 4 ข้อ 32 พระองค์ตรัสสุภาษิตสามพันข้อด้วย และบทเพลงของพระองค์มีหนึ่งพันห้าบท นั่นหมายความว่า ซาโลมอนแต่งสุภาษิตเองด้วย

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

การตีความพระคัมภีร์จากพระกิตติคุณพ้อง เรื่องผู้หญิงกับน้ำมันหอมนารดา


พระกิตติคุณพ้อง 3 เล่ม มัทธิว บทที่ 26 ข้อ 6-13 มาระโก บทที่ 14 ข้อ 3-9 และยอห์น บทที่ 12 ข้อ 1-8 เรื่องหญิงคนหนึ่งกับน้ำหอมนารดาราคาแพง

หลักการเดียวกับการสืบพยาน เพราะแต่ละคนพูดไม่เหมือนกัน 100% แต่เล่าเรื่องสอดคล้องกัน ทั้งสถานที่ บุคคล และบทสนทนา

บทสรุปทางขวามือมาจากข้อมูลจากผู้เล่าทั้งสามคน มัทธิว และมาระโกสนใจบทสนทนามากกว่าระบุชื่อบุคคล ในขณะที่ยอห์นระบุชื่อบุคคลค่อนข้างละเอียดกว่าคนอื่น เขาระบุชื่อคนถึง 5 คน (ลาซารัส, มารธา, มารีย์, ยูดาสอิสคาริโอท และพระเยซู)

พระเยซูไปอีกสถานที่หนึ่ง แต่เหตุการณ์ซ้ำก็เกิดขึ้นอีก

หญิงล่วงประเวณีที่ไม่ได้ระบุชื่อ
แต่ดูเรื่องด้านบน ยอห์นเป็นคนที่ชอบระบุชื่อคน
มารีย์ ชาวมักดาลา ถูกยัดตำแหน่งหญิงโสเภณี
ในเหตุการณ์นี้ และภาพยนตร์ทุกเรื่องก็มักจะสื่อเช่นนั้น

เหตุการณ์ตอนนี้ถูกต้องตามพระคัมภีร์
ยกเว้นเรื่องมารีย์ชาวมักดาลาคือโสเภณี

วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

"อับราม" ออกจากเมืองเออร์ สู่คานาอัน และอียิปต์


"อับราม" ออกจากเมืองเออร์เพราะเมืองนั้นนมัสการเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ ดวงดาว และดวงอาทิตย์ ตามคำท้าทายของพระเจ้า

ในปฐมกาล บทที่ 12 ข้อ 1 พระเจ้าตรัสแก่อับรามว่า “เจ้าจงออกจากเมือง จากญาติพี่น้อง จากบ้านบิดาของเจ้า ไปยังดินแดนที่เราจะบอกให้เจ้ารู้
ข้อ 2 เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ เราจะอวยพรแก่เจ้า จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โตเลื่องลือไป แล้วเจ้าจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับพร
ข้อ 3 เราจะอำนวยพรแก่คนที่อวยพรเจ้า เราจะสาปคนที่แช่งเจ้า บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า”
ข้อ 4 ฝ่ายอับรามก็ไปตามพระดำรัสของพระเจ้า โลทก็ไปด้วย เมื่ออับรามออกจากเมืองฮารานนั้น อายุได้เจ็ดสิบห้าปี
ข้อ 5 อับรามพานางซารายภรรยาของตน กับโลทบุตรของน้องชายและทรัพย์สมบัติที่ได้สะสมไว้ ทั้งบรรดาผู้คนที่ได้ไว้ที่เมืองฮารานนั้นออกเดินทาง ไปยังแผ่นดินคานาอัน เมื่อไปถึงแคว้นคานาอันแล้ว
ข้อ 6 อับรามก็เดินผ่านเขตแดนมาถึงสถานที่เมืองเชเคม คือ ที่ต้นก่อหลวง ณ โมเรห์ คราวนั้นคนคานาอันอยู่ที่แผ่นดินนั้น
ข้อ 7 พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ให้ปรากฏแก่อับราม ตรัสว่า “ดินแดนนี้เราจะยกให้พงศ์พันธุ์ของเจ้า” อับรามสร้างแท่นที่นั่นถวายบูชาแก่พระเจ้าผู้สำแดงพระองค์ ให้ปรากฏแก่ท่าน
ข้อ  8 อับรามย้ายไปจากที่นั่น  มาถึงภูเขาทางทิศ ตะวันออกของเมืองเบธเอล   จึงตั้งเต็นท์อยู่ที่นั่น   ให้เมืองเบธเอลอยู่ทางทิศตะวันตกและเมืองอัยอยู่ทิศตะวันออก   ส่วนท่านสร้างแท่นบูชาพระเจ้าที่นั่น   และนมัสการออกพระนามพระเจ้า

นับเป็นการท้าทายอย่างมากกับการที่อับรามต้องออกจากบ้านเกิดเมืองนอนที่เมืองเออร์ ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์เพราะมีแม่น้ำไทกริส และแม่น้ำยูเฟรติส อับรามคงไม่นิยมการบูชาเทพเจ้าจึงยอมออกจากเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์ไปยังดินแดนอื่นที่ไม่รู้จัก


แม้แต่อับรามก็เคยกลัวตายเหมือนกัน

ในปฐมกาล บทที่ 12 ข้อ 9 แล้วอับรามก็เดินทางต่อไป ยกเต็นท์เดินทางเรื่อยไปเป็นระยะๆยังเนเกบ (ที่ใต้ เมืองใต้)
ข้อ 10 เกิดกันดารอาหารที่แคว้นคานาอัน อับรามจึงไปอาศัยอยู่ที่ประเทศอียิปต์ ด้วยว่าในคานาอันอดอยากอาหารนัก
ข้อ 11 เมื่อใกล้จะเข้าอียิปต์ อับรามก็พูดกับนางซารายภรรยาว่า “ฉันรู้ว่าเจ้าเป็นหญิงรูปงาม
ข้อ 12 เมื่อคนอียิปต์เห็นเจ้า เขาจะว่า 'หญิงคนนี้เป็นภรรยาของเขา' แล้วก็จะฆ่าฉันเสีย แต่จะไว้ชีวิตเจ้า
ข้อ 13 ขอให้บอกว่าเจ้าเป็นน้องสาวของฉัน เพื่อฉันจะได้รับการต้อนรับอย่างดีเพราะเจ้า และเขาจะไว้ชีวิตฉันเพราะเจ้า”
ข้อ 14 เมื่ออับรามเข้าไปในอียิปต์แล้ว คนอียิปต์ก็เห็นว่านางมีรูปร่างงามนัก
ข้อ 15 เมื่อพวกจ้านายของฟาโรห์ (พระราชาทุกๆ องค์ของอียิปต์ มิใช่พระนามเฉพาะ) เห็นนางแล้ว ก็ทูลยกย่องนางนั้นให้ฟาโรห์ทราบ เขาจึงพานางไปอยู่ในวังของฟาโรห์
ข้อ 16 ฝ่ายฟาโรห์ก็โปรดปรานอับรามมากเพราะเห็นแก่นางนั้น อับรามก็ได้แกะ วัว ลาผู้ ทาส ทาสี ลาตัวเมีย และอูฐจำนวนมาก
ข้อ 17 แต่พระเจ้าทรงทำให้เกิดภัยพิบัติร้ายแรงต่างๆ แก่ฟาโรห์ และราชวงศ์ของท่าน เพราะเรื่องนางซารายภรรยาของอับราม
ข้อ 18 ฟาโรห์จึงเรียกอับรามมา ตรัสว่า “ทำไมเจ้าทำแก่เราอย่างนี้เล่า ทำไมเจ้ามิได้บอกเราว่านางเป็นภรรยาของเจ้า
ข้อ 19 ทำไมเจ้าว่า 'เธอเป็นน้องสาวของข้าพระบาท' เราจึงเลี้ยงนางไว้เพื่อเป็นภรรยาของเรา นี่แน่ะภรรยาของเจ้า จงรับไปแล้วออกไปเถิด”
ข้อ 20 ฟาโรห์จึงรับสั่งให้พวกคนใช้เอาใจใส่อับราม พวกคนใช้จึงนำอับรามเดินทางกลับไป พร้อมกับภรรยาและทรัพย์สมบัติทั้งหมดของท่าน