ค้นหาข้อมูลจากบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ผู้เชื่อทุกคนมี "ทูตสวรรค์ประจำตัว"!

เปโตรถูกนำตัวออกจากคุกโดยทูตสวรรค์

ทูตสวรรค์ประจำตัวของเปโตรมาช่วยเขา ซึ่งทูตสวรรค์ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า
เป็นสิ่งพิเศษที่มีชีวิตเป็นอมตะ ไม่ใช่คนทำดี ไม่ต้องสะสมบุญ
เขาทำตามคำสั่งพระเจ้า และผู้ที่เชื่อในพระเจ้า

ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ได้บันทึกเรื่องราวของทูตสวรรค์ไว้มากมายหลายตอน ซึ่งเกี่ยวข้องกับมนุษย์แทบทั้งสิ้น เพราะพระเจ้าสร้างทูตสวรรค์เพื่อมาช่วยเหลือมนุษย์

“ดูเถิด เราใช้ทูต (Angel) ของเราเดินนำหน้าพวกเจ้า เพื่อคอยระวังรักษาพวกเจ้าตามทาง นำไปถึงที่ซึ่งเราได้เตรียมไว้ จงเอาใจใส่ฟังคำพูดของทูตนั้น และเชื่อฟังคำของเขา อย่าฝ่าฝืนเขา เพราะเขาจะไม่ยกโทษให้เจ้าเลย ด้วยว่าเขากระทำในนามของเรา”
อพยพ 23:20-21

“ถ้ามีทูตสวรรค์ (Messenger) องค์หนึ่งมาเพื่อเขา เป็นล่าม หนึ่งในพัน เพื่อแถลงแก่มนุษย์ว่าอะไรถูกเพื่อเขา”אם יש עליו מלאך מליץ אחד מני אלף להגיד לאדם ישרו׃
โยบ 23:20 (ในภาษาฮีบรูเรียกทูตสวรรค์ว่า "มาลัค" แปลว่า "ผู้ส่งข่าว")

“เพราะพระองค์จะรับสั่งเหล่าทูตสวรรค์ (Angle) ของพระองค์ในเรื่องท่าน ให้ระแวดระวังท่านในทางทั้งปวงของท่าน”
สดุดี 91:11

จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่ง ด้วยเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ทูตสวรรค์ประจำของเขาเฝ้าอยู่เสมอ ต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์”
มัทธิว 18:10

และเหตุการณ์สำคัญในคัมภีร์ใหม่

มีทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏ.. ..กระตุ้นเปโตรที่สีข้างให้ตื่นขึ้นแล้วว่า ลุกขึ้นเร็วๆ” โซ่นั้นก็หลุดตกจากมือของเปโตร.. ..เปโตรจึงตามออกไป และไม่รู้ว่าการซึ่งทูตทำนั้นเป็นความจริง คิดว่าได้เห็นนิมิต เมื่อออกไปพ้นทหารยามชั้นที่หนึ่งและที่สองแล้ว ก็มาถึงประตูเหล็กที่จะเข้าไปในเมือง ประตูนั้นก็เปิดเองให้ท่านทั้งสอง ท่านจึงออกไปเดินตามถนนแห่งหนึ่ง และในทันใดนั้นทูตสวรรค์ก็ได้อันตรธานไปจากเปโตร ครั้นเปโตรรู้สึกตัวแล้วจึงว่า “เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ารู้แน่ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงใช้ทูตของพระองค์มาช่วยข้าพเจ้า ให้พ้นจากอำนาจของเฮโรด และพ้นจากการมุ่งร้ายของพวกยิว”
กิจการ 12:7-11

เขาทั้งหลายจึงว่า “เป็น เทวทูตประจำตัว เปโตร”
กิจการ 12:15

เมื่อทูตสวรรค์ (Angel) ไม่ใช่เทวดา?

ทูตสวรรค์หรือแองเจิล เกิดจากพระเจ้าเป็นผู้สร้าง 
และไม่ใช่คนที่ทำดีแล้วไปเกิดเป็นทูตสวรรค์

ความเชื่อเรื่องเทวดามาจากศาสนาฮินดู 
และถูกนำมาใช้กับความเชื่อของชาวสยาม

เทวนิยมหมายถึงการเชื่อเรื่องการมีเทวดา
แต่อเทวนิยมไม่เชื่อเรื่องมีเทวดา

ผมเกิดในครอบครัวชาวพุทธในเมืองไทย พ่อของผมจบการศึกษาทางธรรมในระดับขั้นเปรียญเก้า เมื่อสึกออกมาจึงถูกเรียกว่า “มหา” ตามธรรมเนียมนิยมที่เรียกขานกัน ซึ่งผมเองได้ยินพ่อถูกเรียกอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก

แน่นอนว่าเรื่องราวของความเป็นชาวพุทธในประเทศไทยนั้น เรียกได้ว่าผมมีความเข้าใจแบบไทยๆ มาตั้งแต่เกิดว่า เมืองไทยคือเมืองพุทธ บรรยากาศความเป็นไปก็เหมือนคนไทยทั่วๆ ไป

ยิ่งเข้าเรียนในระดับประถมศึกษาก็มีความเข้าใจมากขึ้น และเรียนรู้เพิ่มขึ้นโดยการสั่งสอนของครูสอนวิชาศีลธรรมว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแบบอเทวนิยม ไม่เชื่อในเรื่องพระเจ้า คือตรงกันข้ามแบบเทวนิยมที่เป็นของชาวคริสต์ ก็เข้าใจอย่างนี้มาตลอด

แต่พอโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ มานับถือในวิถีคริสต์ และศึกษาแบบเอาจริงเอาจังก็ต้องพิศวงงงงวย เพราะศาสนาพุทธในเมืองไทยเป็นพุทธแบบผสม คือยอมรับนับถือศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูของอินเดียด้วย แต่เอามาประยุกต์ แบบกึ่งเทวนิยม ซึ่งก็หมายความว่ามีการเคารพนับถือบูชาเทพเจ้าไปด้วย

เทพเทวะที่ผมคุ้นเคยตั้งแต่จำความได้คือ “พระอินทร์” ร่างกายสีเขียว ทั้งยังมีคำถามแบบปัญหาเชาว์ถามกันเล่นๆ ในวัยเด็กว่า “อะไรเอ่ย เขียนเหมือนพระอินทร์ บินเหมือนนก ศรปักอก นกก็ไม่ใช่” คำตอบก็คือ “แมลงทับ”

พระอินทร์ เป็นเทวดาที่ใหญ่สุดในความเชื่อและคำสอนแบบกึ่งเทวนิยมของไทยพุทธ

ในปัจจุบันได้ปรากฏว่ามีเทพเทวะอินเดียมามีอิทธิพลในเมืองไทยอย่างคึกคัก โดยมีพระพิฆเณศเป็นองค์นำ มีคนบูชากันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะพิธีกรรมของเหล่าผู้คนในวงการการแสดงที่เกี่ยวข้องกับพิธีแบบพราหมณ์

แต่จะว่าไปแล้ว ไทยเราก็นำเทพเทวะมาดัดแปลงมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “พระอิศวร” หรือ “พระศิวะ”, “พระวิษณุ” หรือ “พระนารายณ์” ส่วน “พระพรหม” เรียกเหมือนกัน

เอาเป็นว่าคนไทย ยอมรับว่ามีเทพเทวะอยู่จริง และสามารถดลบันดาลให้เกิดคุณและโทษกับมนุษย์ ซึ่งโดยปกติมักจะเรียกกันว่า “เทวดา” และมีหลายระดับ ปรากฏเป็นภาพวาดเหล่าเทวดาทั้งชายและหญิงเปลือยท่อนบน สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ พำนักอยู่บนสรวงสวรรค์ หากใครทำคุณงามความดี หลังจากตายไปก็จะได้ขึ้นสวรรค์ไปเกิดเป็นเทวดา จะมีหูทิพย์ ตาทิพย์ และอิ่มทิพย์ และยังมีความเชื่อว่ามีเทวดาประจำบุคคลอยู่ด้วย

ภาพของเทพเทวะที่อยู่ในจิตรกรรมฝาผนัง ถูกถ่ายทอดสู่การแสดงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโขน หรือละครทีวีแนวจักรๆ วงศ์ๆ ความคุ้นเคยในเรื่องเทพเทวะค่อยๆ ฝังตัวในอุดมคติของคนไทย และค่อยๆ เปลี่ยนไป จากเทพเทวะที่อยู่ในชุดฤดูร้อน กลับเปลี่ยนมามีปีกแบบนกแบบเทวดาฝรั่ง ภาพยนตร์หรือละครทีวีก็ยอมรับวัฒนธรรมตะวันตกที่เข้ามาในเมืองไทย มีการแปลภาษาเปรียบเทียบกัน คำว่า “เทวดา” จึงถูกนำไปเปรียบเทียบกับคำว่า “แองเจิล (angel) ” ซึ่งก็พอถูไถไปได้ แม้ความหมายจริงๆ อาจจะไม่ถูกต้องนักตามหลักความเชื่อของศาสนา

แต่ที่ทำให้เพี้ยนไปกว่านั้นก็คือ เมื่อต้นฉบับภาษาอังกฤษซึ่งมีคำว่า “แองเจิล (angel)” ปรากฏอยู่กลับถูกแปลว่า “นางฟ้า” เพราะผลพวงของเรื่องเทพนิยาย (อันนี้ก็แปลผิดอีก) ที่ฝรั่งเรียกว่า “แฟรี่ (fairy)” ไม่ใช่เทพ แต่เป็นเพียง “ภูตผีปิศาจ” ในนิทานฝรั่ง

หากศึกษาเชิงลึกไปอีกก็จะพบว่า “เทวดา” ของไทยกับของฝรั่งเป็นคนละเรื่องเลย ทั้งในแง่ความเชื่อ สถานภาพของเทวดา ทั้งการเรียก และอ้างถึง

“แองเจิล” ตามความเชื่อของฝรั่งหรือศาสนาคริสต์ ถูกแปลตรงๆ ว่า “ทูตสวรรค์” หรือ “เทวทูตของพระเจ้า” ซึ่งมีหน้าที่ส่งข่าวสารที่มาจากสวรรค์หรือจากพระเจ้ามาถึงมวลมนุษย์ และไม่ได้เกิดจากมนุษย์ที่ทำความดีจนได้ไปจุติบนสรวงสวรรค์ แต่ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า และมีระดับขั้นต่างๆ กัน ซึ่งแตกต่างจากเทพเทวะของอินเดียหรือของไทยอย่างสิ้นเชิง

ดังนั้น การที่เราจะเข้าใจเรื่องของ “แองเจิล” หรือ “ทูตสวรรค์” ตามความเชื่อของชาวคริสต์ ก็ต้องลบภาพความคิดเดิมๆ ทัศนะเดิมๆ ออกเสียก่อนที่จะอ่านเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ต่อไป

ซึ่งท่านผู้อ่านจะเข้าใจเพิ่มมากขึ้น และรู้ว่า “ทูตสวรรค์” ถูกสร้างมาเพื่อเป็นผู้ช่วยให้กับมนุษย์ทุกคน ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหน ทูตสวรรค์ถูกสร้างมาเพื่อท่านอย่างแน่นอน




คับบาลา (Kabbala) กับนามของทูตสวรรค์ทั้ง 72 นาม


คับบาลา ศาสตร์ลับของชาวยิวโบราณที่ค้นพบนามของทูตสวรรค์ในหนังสือสดุดี ซึ่งมีอยู่ถึง 71 ชื่อ และในปฐมกาลอีก 1 ชื่อ

โดยวิธีนี้ คุณจะพบกุญแจไขปริศนา ซึ่งเป็นรหัสภาษาฮีบรู 72 คำ จารึกได้เขียนรอบเครื่องรางโดยผู้รอบรู้ทั้ง 72 คน ซึ่งถูกค้นพบในสัญลักษณ์ของคาบาลาซึ่งเป็นทรงกลม ในแต่ละคำจารึกเหล่านี้ได้บรรจุนามของพระเจ้า และถือว่าเป็นนามของทูตสวรรค์ที่มีความหมายตรงกัน บาดหลวงฝรั่งเศสนาม De Villars ได้บรรยายถึงสิ่งน่ามหัศจรรย์นี้ ขณะที่เขาเอ่ยนาม “อักลา (Agla)” เพื่องานของเขาที่ Le Comte de Gabalis

บทความที่แปลได้ดีที่สุดคือฉบับอัมเตอร์ดัม โดย Jacques Lejeune ในปี 1700 ได้รับประกันความแน่นอนว่า พวกเราสามารถใช้นามเหล่านี้ในงานของเราแบบมหัศจรรย์ไม่มีวันสิ้นสุด แม้แต่เมื่อการสะกดคำอย่างหยาบคาย ก็ยังมีสิทธิในการร้องขอตามผู้ที่ปรารถนาให้เป็นความจริงเหล่านั้น ซึ่งต้องเพิ่มจินตนาการ และความเลื่อมใสศรัทธาของพวกเขา และหันหน้าไปทางทิศตะวันออก วิธีการทั้งหมดนี้ถูกเขียนใน “คัมภีร์แห่งคับบาลา (Kabbalistic Rite)” ซึ่งเป็นความเชื่อดั้งเดิมของยิวโบราณ

นักปรัชญาหรือผู้รู้กล่าวว่า นามเหล่านี้ได้เปิดเผยให้ยาโคบได้รู้ เมื่อเขามองเห็นในความฝันถึงบันได 72 ขั้น พร้อมกับทูตสวรรค์ 72 องค์ ซึ่งกำลังปีนขึ้นและลง จากสถานที่ที่เรียกว่า “ประตูสวรรค์” และสิทธินี้ถูกมอบไปยังโยเซฟ (ลูกชายคนโปรด) และถ่อยทอดจากพี่ชาย-น้องชายของเขา และเขาสามารถอธิบายความฝันได้ และสิ่งนี้ทำให้เขามีชื่อเสียงต่อหน้าฟาโรห์

ทูตสวรรค์ ผู้ช่วยของเรา (ที่ไม่เคยรู้ว่ามี)


     ทูตสวรรค์เป็นความเชื่อเรื่องหนึ่งที่ปรากฏอยู่ในหลายศาสนา ไม่ว่าจะเป็น ศาสนายิว คริสต์ และอิสลาม (ในศาสนาพุทธแม้จะมีเรื่องเทวดา แต่แตกต่างกับ 3 ศาสนานี้) ทุกศาสนาจะมีบันทึกกล่าวถึงทูตสวรรค์ว่าเป็นผู้ไม่มีจิตใจ ไม่มีร่างกาย และเป็นเพียงวิญญาณเท่านั้น พวกเขามีหน้าที่ในการรับใช้พระเจ้าผู้สูงสุด หรือรับใช้บุคคลที่เป็นตัวแทนของพระเจ้า (อย่างเช่น ผู้เผยพระวจนะ)

     พวกเขาได้รับการยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ดี และถูกกล่าวถึงอย่างบ่อยครั้งในพระคริสตธรรมคัมภีร์ คัมภีร์โตราห์ และคัมภีร์อัลกุรอาน ทูตสวรรค์ยังถูกแบ่งเป็นชั้นๆ ในแต่ละชั้นจะมีหน้าที่แตกต่างกัน ซึ่งพวกเขามีอยู่ทั้งหมด 3 ชั้น 9 คณะ


ชั้นเอก (The First Triad)

1. เสราฟิม Seraphim
     “เสราฟิม” คือทูตสวรรค์ชั้นสูงสุดของบรรดาเหล่าทูตสวรรค์ พวกเขายืนอยู่ข้างบัลลังก์ของพระเจ้า

     ..มีเสราฟิมยืนอยู่ แต่ละตนมีปีกหกปีก ใช้สองปีกบังหน้า และสองปีกคลุมเท้า และด้วยสองปีกบินไป ต่างก็ร้องต่อกันและกันว่า “บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ พระเจ้าจอมโยธา แผ่นดินโลกทั้งสิ้นเต็มด้วยพระสิริของพระองค์” (อิสยาห์ 6:3) หรือ คาโดซ คาโดซ คาโดซ (kadosh kadosh kadosh)

     พวกเขาเป็นดังแสงบริสุทธิ์ และติดต่อสื่อสารโดยตรงกับพระเจ้า เสราฟิมมีปีก 6 ปีก และหัว 4 หัว มีรัศมีด้วยไฟแห่งความรัก มีอยู่ 4 นามที่เกี่ยวกับเสราฟิมคือ กาบรีเอล (Gabriel), คีมูเอล (Kemuel), นาธานาเอล (Nathanael), และมาตาตรอน (Matatron) หรือซาตาน (Satan) ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับ “งูแมวเซา (Fiery Serpents)”

     มีหลายคนสับสนระหว่างลำดับของทูตสวรรค์ ระหว่างเสราฟิม และเทพบดี (Archangels) เพราะมีหลายตอนแปลคำว่า “เทพบดี (Archangels)” ว่า “หัวหน้าของทูตสวรรค์” จึงคิดว่าตำแหน่งนี้คือเทพสูงสุด แต่เมื่อดูหน้าที่ความรับชอบของเทพบดี ก็เป็นเพียงทูตสวรรค์ประเภทนักรบ จึงเป็นทูตสวรรค์ชั้นตรี และหัวหน้าทูตสวรรค์ในชั้นเดียวกัน ส่วนทูตสวรรค์นาม “เมตาตรอน (Metatron)” ก็คือซาตานนั่นเอง เป็นดังเจ้าแห่งความมืด หรือ “งูดึกดำบรรพ์” ในบางครั้ง และในบางบันทึกกล่าวว่าเขามีปีก 36 ปีก และมีตามากมาย

2. เครูบ Cherubim
     ..และทรงตั้งพวกเครูบ (หมายถึง ทูตสวรรค์จำพวกหนึ่ง) ทางด้านทิศตะวันออกแห่งสวนเอเดน และตั้งกระบี่เพลิงอันหนึ่งที่หมุน ได้รอบทิศไว้เฝ้าทางที่จะเข้าไปสู่ต้นไม้แห่งชีวิตนั้น.. (ปฐมกาล 3:24)

     ในภาษาฮีบรูสะกดคำนี้ว่า “เครูบ” ซึ่งหากแปลตรงๆ จะหมายความว่า “ใครคนหนึ่ง ผู้ที่ช่วยร้องขอให้” แต่เมื่อสรุปความทางภาษาจึงได้ความหมายว่า “ความรู้”

     ในตำนานอื่นๆ กล่าวถึง “คาริบู (Karibu)” คือความน่าสะพรึงกลัว เขามีร่างขนาดยักษ์ และเป็นผู้ดูแลวิหาร และพระราชวังวังในดินแดนซูเมอร์ และอาณาจักรบาบิโลน

     ในดินแดนตะวันออก เทพผู้พิทักษ์ของชาวอัสซีเรีย ก็มีปีกเหมือนกัน มีหัวเป็นนกอินทรี มีหน้าที่ปกป้องต้นไม้แห่งชีวิตตามตำนานความเชื่อของพวกเขา และมี 4 หน้า และ 4 ปีก
ในหนังสืออพยพบทที่ 25:18-21 กล่าวถึงหีบพันธสัญญาที่ออกแบบให้มีเครูบอยู่ด้วย

     ..จงทำเครูบทองคำสองรูป โดยใช้ฝีค้อนทำตั้งไว้ที่ปลายพระที่นั่งกรุณาทั้งสองข้าง ทำเครูบไว้ที่ปลายพระที่นั่งกรุณาข้างละรูป ทำเครูบนั้น และให้ตอนปลายทั้งสองข้างติดเป็นเนื้อเดียวกับพระที่นั่งกรุณา ให้เครูบกางปีกออกไว้เบื้องบนปกพระที่นั่งกรุณา ไว้ด้วยปีก และให้หันหน้าเข้าหากัน ให้เครูบหันหน้ามาตรงพระที่นั่งกรุณา แล้วจงตั้งพระที่นั่งกรุณานั้นไว้บนหีบ จงบรรจุพระโอวาทซึ่งเราจะให้ไว้แก่เจ้าไว้ในหีบนั้น..
แต่ในหนังสือ 1 ซามูเอล บทที่ 4 ข้อ 4 (ไทยคิงเจมส์) ได้บอกว่าหีบของพระเจ้า “ผู้ประทับระหว่างพวกเครูบ”

3. เทวบัลลังก์ Thrones
     เทวบัลลังก์ คือเทพผู้ปรนนิบัติพระเจ้าอย่างใกล้ชิด เปรียบเหมือนผู้เป็นสารถีขับราชรถของพระเจ้า ซึ่งรู้จักในนาม “กัลกาลิน (Galgalin)” หรือ “โอฟานิม (Ophanim)” “กัลกาล (Galgal)” ในภาษาฮีบรูมีความหมายว่า “รูม่านตา” และกงจักรหรือกงล้อ พวกเขาพำนักอยู่ในสวรรค์ชั้นที่สามหรือสี่ตามความเชื่อเรื่องสวรรค์ของชาวยิวโบราณ พวกเขาอาจอยู่ในบริเวณระหว่างสวรรค์กับโลกมนุษย์ “ราฟาเอล (Raphael)” คือหนึ่งนามในทูตสวรรค์คณะนี้ อยู่ในฐานะผู้คุมกฎ


ชั้นโท (The Second Triad)


4. เทพอาณาจักร The Dominions
     เทพอาณาจักร คือเทพที่ “กำหนดระเบียบ” ของทูตสวรรค์ หน้าที่ขึ้นอยู่กับ “ไดโอนีซิอัส (Dionysius)” พวกเขาพำนักอยู่ในสวรรค์ชั้นที่ 2 ตามความเชื่อของชาวยิวโบราณ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เก็บรายชื่อของผู้ที่จะได้อยู่ในสวรรค์

     พวกเขามีลักษณะเหมือนเทพเจ้า “คูริโอเตเตส (Kuriotetes)”, “ฮาชมัลลิม (Hashmallim)” หรือ “โดมิเนียน (Dominions)” ในคณะนี้มีผู้คุมกฎนามว่า “มูริเอล (Muriel)”, “ยาฮ์ริเอล (Yahriel)”, “ซาดคีเอล (Zadkiel) และ “ฮาชมาล(Hashmal)” (หรืออีกนามคือ “คาสมาล (Chasmal)” หรือ “เทพแห่งไฟ”)

5. รัศมีเทพ The Virtues
     บางครั้งก็ถูกเรียกว่า “ทาร์ชิชฮิม (Tarshishim)”, “ดูนามิส (Dunamis)” และ “มาลาคิม (Malakim)” ซึ่งมีความหมายว่า “ความหลักแหลม” หรือ “แสงสว่างแห่งปัญญา” และหน้าที่หลักของเทพคณะนี้คือ “การอวยพร” ซึ่งมักจะมาในรูปแบบของสิ่งมหัศจรรย์ หรือการอัศจรรย์

     ทั้งยังเป็นทูตสวรรค์ที่ไปเป็นเพื่อนร่วมทางกับพระคริสต์ในระหว่างเสด็จขึ้นสู่สวรรค์เพื่อรับพระเกียรติสูงสุด พวกเขาปรากฏในบันทึกโบราณของชาวยิวในหนังสือเรื่องอาดัมกับเอวา เกี่ยวกับการเกิดของคาอิน
ผู้นำของคณะนี้คือ “มีคาเอล (Michael)”, “กาบรีเอล (Gabriel)”, “ราฟาเอล (Raphael)”, “บาริเอล (Bariel)”, “ทรัชชิช (Trashish)” และก่อนจะตกจากสวรรค์ “ซาตานเอล (Satanel)”

6. ศักดิเทพ The Powers

     ศักดิเทพ มีสถานะเปรียบดัง “ผู้มีสิทธิอำนาจ”, “ผู้ควบคุมขุมพลัง” และ “จอมพลังมหากาฬ” กล่าวกันว่าพวกเขาเป็นทูตสวรรค์คณะแรกที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมาเลยทีเดียว พวกเขาพำนักอยู่ระหว่างสวรรค์ครั้งที่ 1 และชั้นที่ 2 มีหน้าที่คือต่อต้านพวกปิศาจและวิญญาณชั่วไม่ให้ครอบงำโลกมนุษย์

     มีผู้นำคือ “คามาเอล (Camael)” นามของเขาหมายความว่า “ผู้มองเห็นพระเจ้า” พวกนักเวท (Magus) เชื่อว่าเขาคือ 1 ในทุตสวรรค์ทั้งเจ็ดผู้ซึ่งรับใช้ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า บางความเชื่อกล่าวว่า “คามาเอล (Camael)” มีร่างกายเป็นเหมือนเสือดาว ยังมีที่แปลกไปกว่านั้นก็คือเขาเป็น “เจ้าแห่งนรก” แต่บางคนเชื่อว่าเขาคือ “เทพเจ้าสงคราม” เช่นเดียวกับ “มาร์ส” เทพเจ้าของโรมัน เขามีอำนาจในการออกคำสั่งเพื่อ “การแก้แค้น, การลงโทษ, การทำลาย และสั่งให้ตาย” ซึ่งเหมือนกัน “เคมมูเอล (Kemuel)” ผู้ไกล่เกลี่ยระหว่างอิสราเอลและสวรรค์ทั้งเจ็ด

     “คามาเอล (Camael)” คือทูตสวรรค์ที่ปล้ำสู้กับยาโคบ และที่ปรากฏกับพระเยซูในสวนเกทเสมนี และป้องกันโมเสสจากการรับบัญญัติจากพระเจ้าบนภูเขา ศักดิเทพเปรียบดังผู้นำทางจิตวิญญาณ พวกเขาคือทูตสวรรค์ผู้จะรักษาสมดุลระหว่างความดีและความชั่ว ในความหวังที่ว่าบุคคลที่ดีจะไม่ตกอยู่ในด้านมืด พวกเขาจะนำผู้หลงทางจากวัตถุประสงค์แห่งชีวิตเข้าสู่วิถีที่ควร

ชั้นตรี The Third Triad

7. เทพผู้ครอง The Principalities
     เทพผู้ครอง คือเหล่าทูตสวรรค์ผู้ที่อยู่ประจำเมืองใหญ่ และชนชาติต่างๆ ของโลกมนุษย์ ต่อมาพวกเขามีหน้าที่เป็นผู้ปกป้องพระศาสนา

     แม้พวกเขาไม่มีผู้นำ แต่ก็อาจจะมีบ้างเหมือนกันที่ถูกกล่าวถึง หนึ่งในนั้นก็คือ “นิสรอค (Nisrock)” ในความเชื่อของชาวอัสซีเรียน บอกว่าบางเวลาเทพองค์นี้เป็นหัวหน้าของปิศาจ เจ้าแห่งนรก

     “อนาเอล (Anael)” คือหนึ่งในบรรดาทูตสวรรค์ทั้งเจ็ดของการทรงสร้าง อนาเอลยังเป็นผู้ดูแลจัดการสวรรค์ชั้นที่ 2 และเกี่ยวข้องกับมนุษย์ในด้านเพศสัมพันธ์

     ทูตสวรรค์องค์อื่นๆ คือ “ฮามิเอล (Hamiel)” ซึ่งก็คือทูตสวรรค์ผู้ที่ส่งเอโนคไปสวรรค์
“เซอร์วิล (Cervil)” เทพแห่งกำลังผู้ที่ช่วยเหลือดาวิดเอาชนะโกลิอัทตามความเชื่อของยิวโบราณ

8. เทพบดี Archangels
     ในความเชื่อแบบคริสเตียน และชาวยิว กล่าวว่ามีเทพบดีอยู่ 7 องค์ แต่อย่างไรก็ตาม ในคัมภีร์อัลกุรอานบอกว่ามีเพียง 4 องค์ และมีชื่อระบุเอาไว้ด้วย 2 ใน 4 นั้นก็คือ “มีคาเอล (Michael)” และ “จีบริล (Jjibril)” หรือกาบรีเอล แต่ก็มีความแตกต่างจากความเชื่อชาวยิวและคริสเตียน

     พวกเขายอมรับว่า “กาบรีเอล (Gabriel)”, “ราฟาเอล (Raphael)”, “ยูริเอล (Uriel)” และ “มีคาเอล (Michael)” เป็นเทพบดี (Archangel) และนามอื่นๆ ก็มี “เรมิเอล (Remiel)”, “ซาริเอล (Sariel)”, “ราซิเอล (Raziel)”, “รากูเอล (Raguel)” “อนาเอล (Anael)” และ “เมตาตรอน (Metatron)” เทพบดีทำสงครามกับบุตรแห่งความมืด พวกทูตสวรรค์เป็นสิ่งสำคัญที่เชื่อมต่อระหว่างพระเจ้าและมนุษย์


9. ทูตสวรรค์ Angels
     ทูตสวรรค์ ถือเป็นเทพชั้นสุดท้าย ทูตสวรรค์อยู่ในระหว่างกลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า

     ทูตสวรรค์ในภาษาอังกฤษ “แองเจิล (Angel)” มีรากศัพท์มาจากคำกรีกว่า “แองเจลอส (Angelos)” ซึ่งพวกเปอร์เซียนเรียกต่างไปว่า “แองการอส (Angaros)” และในภาษาสันสกฤตเรียกว่า “แองเจเรส (Angeres)” แต่ในภาษาฮีบรูต่างไปจากภาษาอื่นอย่างสิ้นเชิงว่า “มาลักฮฺ (Malakh)” ซึ่งมีความหมายตรงตัวว่า “ผู้ส่งข่าว”