ค้นหาข้อมูลจากบล็อกนี้

วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2552

ทูตสวรรค์และกำเนิดซาตาน


ศจ.ดร. สุรศักดิ์ กิติเรืองแสง
BIT Delivery 2008 ครั้งที่ 5 คริสตจักรสะพานเหลือง
เรื่อง ทูตสวรรค์และกำเนิดซาตาน
เมื่อวันที่ 30/11/2008
สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์

ต้นกำเนิดของทูตสวรรค์
ทูตสวรรค์ เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งทรงสร้าง (สดุดี 148:2-5)
ความเข้าใจของชาวยิว ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดมาจากพระเจ้าทั้งหมด แม้ว่าพระคัมภีร์จะไม่ได้กล่าวชัดเจนว่าทูตสวรรค์ถูกสร้างเมื่อไร แต่ในโยบ 38:4-7 ได้บอกไว้ว่าน่าจะมีทูตสวรรค์อยู่ก่อนที่โลกจะถูกสร้าง

ลักษณะของทูตสวรรค์
ทูตสวรรค์ คือ สิ่งมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณ มีความฉลาด มีอารมณ์ และเจตนารมณ์
ความฉลาด (มัทธิว 8:29; 2โครินธ์ 11:3; 1เปโตร 1:12)
มีการแสดงออกทางอารมณ์ (ลูกา 2:13; ยากอบ 2:19; วิวรณ์ 12:17)
เจตนารมณ์ (ลูกา 8:28-31; 2ทิโมธี 2:26; ยูดา 6)
จากพระคัมภีร์บางตอน ได้กล่าวว่า ทูตสวรรค์สามารถปรากฎเป็นลักษณะเหมือนคนได้
ทูตสวรรค์มีทั้งดีและชั่วร้าย
ทางคาทอลิก เชื้อว่าทูตสวรรค์แบ่งออกเป็น 9 ชั้น

พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ เพื่อบอกว่า
a. ทูตสวรรค์ไม่ใช่มนุษย์ที่รับพระสิริ
มนุษย์เราถูกสร้างมาตามพระฉายาของพระเจ้า และเราก็แสดงออกถึงลักษณะของพระเจ้า แต่เราไม่ได้เป้นพระเจ้ามนุษย์กับทูตสวรรค์ต่างกัน

มัทธิว 22:30 ผู้เชื่อจะเป็นเหมือนทูตสวรรค์

สดุดี 8:5 พระเจ้ามนุษย์ให้ต่ำกว่าทูตสวรรค์เพียงชั่วระยะหนึ่ง

1โครินธ์ 6:3 ท้ายสุดมนุษย์ผู้ที่เชื่อก็จะพิพากษาทูตสวรรค์

b. ไม่มีรูปทางกายภาพ
เป็นวิญญาณ (ฮีบรู 1:14) ไม่มีรูปร่าง แต่มีตัวตน
"ทูตสวรรค์ทั้งปวง เป็นเพียงวิญญาณที่รับใช้พระเจ้า ที่ทรงส่งไปปรนนิบัติบรรดาคนที่จะได้รับความรอดไม่ใช่หรือ?" (ฮีบรู 1:14 ThaiTSV2002)
เราทุกคน น่าจะมีประสบการณ์ที่ได้รับการคุ้มครอง ได้รับการช่วยเหลือจากทูตสวรรค์ แม้ว่าเราจะไม่เห็นก็ตาม เพราะพระเจ้าทรงให้ทูตสวรรค์คอยดูแลปกป้องช่วยเหลือเรา
บางครั้งก็สามารถปรากฎเป็นลักษณะบุคคลได้

c. เป็นหมู่เหล่า ไม่ใช่เผ่าพันธุ์
สดุดี 148:2 ทูตสวรรค์เป็นกอง แต่ไม่ใช่เผ่าพันธุ์
ลูกา 20:34-36 ไม่มีการสมรส ไม่มีการตาย
ในภาษากรีก คำว่าทูตสวรรค์ เป็นนามเพศชาย แต่จริงๆ แล้วไม่มีเพศ

d. มีปัญญาสูงกว่าปัญญามนุษย์ แต่ไม่สัพพัญญู

ความรอบรู้ของทูตสวรรค์มีความจำกัดเพราะทูตสวรรค์เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา ซึ่งหมายความว่าเหล่าทูตสวรรค์ไม่ได้รอบรู้ไปหมดทุกอย่างเหมือนที่พระเจ้าทรงรอบรู้ (มัทธิว 24:36)
ในศตวรรษที่ 1 รวมถึงพระธรรมโคโลสี ได้บอกว่ามีคนบางกลุ่ม ที่นมัสการทูตสวรรค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
แต่ดูเหมือนว่าทูตสวรรค์จะมีความรอบรู้มากกว่ามนุษย์ (2ซามูเอล 14:20)

ปัญญาของทูตสวรค์นั้นสูงกว่าของมนุษย์ เนื่องจากสาเหตุ 3 อย่าง
1. ถูกสร้างขึ้นมาในจักรวาลให้อยู่ในระดับที่สูงกว่ามนุษย์
2. ศึกษาพระคัมภีร์และโลกอย่างละเอียดมากกว่ามนุษย์มาก (ยากอบ 2:19; วิวรณ์ 12:12)
3. ได้รับสติปัญญาจากการเฝ้าดูกิจกรรมของมนุษย์มาเป็นเวลาช้านาน จึงไม่ต้องศึกษาอดีตเหมือนมนุษย์ เรียนรู้ประสบการณ์เหล่านั้นมาแล้วจึงรู้ว่าคนอื่น ๆ มีปฏิกิริยาหรือตอบโต้

e. มีพลังมากกว่ามนุษย์ แต่ไม่ได้มีฤทธานุภาพสูงสุด
2เปโตร 2:11 ฤทธานุภาพเหนือกว่ามนุษย์
เช่น ช่วยออกจากคุก (กิจการ 5:19; 12:7
กลิ้งก้อนหินออกจากอุโมงค์ (มัทธิว 28:2)
พลังจำกัด (วิวรณ์ 12:7)

f. มีภาวะสูงกว่ามนุษย์ แต่ไม่ได้อยู่ทุกหนทุกแห่ง
ไม่สามารถอยู่ต่างสถานที่ในเวลาเดียวกันได้

ประเภทของทูตสวรรค์
ทูตสวรรค์ดี
1. เหล่าทูตสวรรค์ การใช้คำในภาษากรีก มีความหมายถึง ผู้สื่อข่าว ที่จะเป็นมนุษย์หรือทูตสวรรค์ก็ได้
พระเยซูก็เคยกล่าวถึงกองของทูตสวรรค์ (มัทธิว 26:53)
ทูตสวรรค์มากมายเหลือคณานับ เป็นโกษ ๆ แสน ๆ
"แต่ไม่ใช่อย่างนั้น ท่านทั้งหลายมาถึงภูเขาศิโยน และมาถึงนครของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ คือนครเยรูซาเล็มแห่งสวรรค์ และมาถึงที่ชุมนุมรื่นเริงของทูตสวรรค์มากมายเหลือที่จะนับได้" (ฮีบรู 12:22 ThaiTSV2002)

2. พวกเครูบ อาจมีความหมายว่า ปกคลุม หรือพิทักษ์รักษา เช่น ปฐมกาล 3:24; 2พงศ์กษัตริย์ 19:15
"พระองค์​ทรง​ขับไล่​ชาย​นั้น​ออกไป และ​ทรง​ตั้ง​เหล่า​เครูบ(หมาย​ถึง ทูตสวรรค์​จำพวก​หนึ่ง) ​ทาง​ด้าน​ทิศ​ตะวันออก​ของ​สวน​เอเดน และ​ตั้ง​ดาบ​เพลิง​อัน​หนึ่ง​ที่​หมุน​ ได้​ไว้​เฝ้า​ทาง​ที่​จะ​ไป​สู่​ต้นไม้​แห่ง​ชีวิต​นั้น" (ปฐมกาล 3:24 ThaiTSV2006)
11ชื่อ​แม่น้ำ​สาย​ที่​หนึ่ง​คือ​ปิโชน เป็น​แม่น้ำ​ที่​ไหล​รอบ​แผ่นดิน​ฮาวิลาห์​ทั้ง​หมด ที่​มี​แร่​ทองคำ 12ทองคำ​ที่​บริเวณ​นั้น​เป็น​ทองคำ​เนื้อ​ดี และ​มี​ยาง​ไม้​ตะคร้ำ(ไม้​ยืนต้น​ชนิด​หนึ่ง​ที่​มี​ยางไม้​สี​เหลือง ใส และ​มี​กลิ่น​หอม) ​และ​โมรา 13ชื่อ​แม่น้ำ​สาย​ที่​สอง​คือ​กิโฮน ไหล​รอบ​แผ่นดิน​คูช​ทั้ง​หมด
เครูปได้บังไว้ ไม่ให้มนุษย์เห็น เช่นเดียวกับหีบพันธสัญญา

3. เสราฟิม ใน 1ซามูเอล 4:4; สดุดี 80:1; สดุดี 80:1; 99:1 พระเจ้าทรงประทับเหนือพวกเครูบ
อิสยาห์ 6:2,6 เสราฟินยืนอยู่เหนือพระองค์ เป็นพวกที่นำนัสการในสวรรค์ งานของพวกนี้เกี่ยวข้องกับการนมัสการและความบริสุทธิ์

4. สิ่งมีชีวิต ภาษาไทยแปลว่า สัตว์ (วิวรณ์ 4:6-9) น่าจะเป็นทูตอีกพวกหนึ่ง
สัตว์ 4 ตัวนี้ บางครั้งก็แปลว่ารวมถึงพระคัมภีร์ 4 เล่ม ได้แก่
มัทธิว อธิบายพระเยซู ผู้ซึ่งเป็นสิงห์แห่งยูดาห์ คือเป็นกษัตยิ์
มาระโก อธิบายพระเยซูผู้รับใช้
ลูกา อธิบายถึงพระเยซูผู้เป็นบุตรมนุษย์
ยอห์น อธิบายพระเยซูผู้ซึ่งเป็นพระวาทะทีได้บังเกิดเป็นมนุษย์

5. อัครเทวทูตาธิบดี มีเพียง 2 ครั้ง คือ ยูดาห์ 9 และ 1เธสะโลนิกา 4:16
ทูตผู้มีฤทธิ์ 7 องค์ คือ อูรีเอล ราฟาเอล รากูเอล มีคาเอล ซารีเอล กาเบรียล และ เรมีเอล (ชื่อจะลงท้ายด้วย "เอล" หรือ "el" เนื่องจากทูตสวรรค์เป็นทูตของพระเจ้า) ชื่อเหล่านี้บางชื่อจะอยู่ในส่วนของอธิกธรรม

6. ผู้พิทักษ์ ดาเนียล 4:13 ผู้พิทักษ์องค์บริสุทธิ์

7. บุตรของพระเจ้า
ในพระคัมภีร์ไทยแปลได้ว่า บรรดาเทพบุตร และอาจหมายถึงบุตรชายของพระเจ้า (ปฐมกาล6:2)

กิจกรรมของทูตสวรรค์
1. สรรเสริญพระเจ้า
2. นมัสการพระเจ้า
3. ชื่นชมยินดีในสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ
4. ปรนนิบัติพระเจ้า
5. ปรากฎอยู่จำเพาะพระพักตร
6. เป็นเครื่องมือที่พระเจ้าทรงใช้ในการพิพากษา
7. นำคำตอบสำหรับคำอธิษฐาน
8. ช่วยนำคนมาหาพระคริสต์
9. เฝ้าติดตามความระเบียบเรียบร้อย การงาน ความทุกข์ยากของคริสเตียน
10. หนุนใจในยามอันตราย
11. ดูแลผู้ชอบธรรมในยามที่เขาเสียชีวิต

ทูตสวรรค์เป็นสิ่งที่ทรงสร้างที่แตกต่างไปจากมนุษย์โดยสิ้นเชิง มนุษย์ไม่ได้กลายเป้นทูตสวรรค์เมื่อเสียชีวิต ทูตสวรรค์ไม่มีวันตายและไม่เคยเป็นมนุษย์ พระจเทรงสร้างทูตสวรรค์เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ ไม่มีที่ไหนที่กล่าวว่าทูตสวรรค์ถูกสร้างขึ้นมาตามพระฉายาของพระเจ้า เป็นสิ่งมีชีวิตและจิตวิญญาณที่สามรารถมีตัวตนได้ในระดับหนึ่ง มนุษย์มีตัวตนและมีจิตวิญญาณ สิ่งที่ยิ่งใหหญ่ที่สุดที่เราสามารถเรียนรู้จากทูตสวรรค์ได้ คือ พวกเขาเชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้าอย่างทันทีทันใดโดยไม่มีคำถาม
มนุษย์เรา เป็นเหมือนทูตของพระองค์ ที่จะนำข่าวประเสริฐไปบอกแต่ผู้คน แต่มนุษย์เราก็ไม่ใช่ทูตสวรรค์

กำเนิดซาตาน
ซาตานเป็นทูตสวรรค์ที่หลุดจากตำแหน่งในสวรรค์ อันเนื่องจากความบาป และในตอนนี้มันอยู่มุมตรงข้ามกับพระเจ้าเต็มที่ ทำทุกสิ่งเท่าที่อำนาจของมันจะทำได้เพื่อขัดขวางพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อมนุษยชาติ

ซาตานถูกสร้างขึ้นมาในตอนแรกในฐานทูตสวรรค์ที่บริสุทธิ์
อิสยาห์ 14:12 ก่อนที่มันจะล้มลงในความบาป มันมีชื่อว่า "ลูซิเฟอร์"
เอเซเคียล 28:12-14 ซาตานถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นเครูบ และเป็นทูตสวรรค์ระดับสูงสุดที่พระเจ้าทรงสร้าง แต่มันเกิดหลงรูปงามและฐานของตัวเอง จนเกิดความทะนงตนขึ้นมา และตัดสินใจวง่ามันอยากจะนั่งบนพระบัลลังค์อยู่สูงสุด ซึ่เงป็นของพระเจ้า อิสยาห์ 14:13-14
ซาตานกลายเป็นผู้ครอบครองโลกนี้ ซึ่งเดินออกห่างจากพระเจ้า และเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ (ยอห์น 12:31; 2โครินธ์ 4:4; เอเฟซัส 2:2)
มันเป็นผู้กล่าวโทษ (วิวรณ์ 12:10)
ผู้ล่อใจให้ชั่ว (มัทธิว 4:3,1; 1เธสะโลนิกา 3:5)
และผู้ล่อลวง (ปฐมกาล 3; 2โครินธ์ 4:4; วิวรณ์ 20:3)
ความหมายที่แท้จริงของชื่อของมัน คือ ปรปักษ์ หรือ "ผู้ซึ่งเป็นศัตรู" อีกชื่อหนึ่งที่ซาตานถูกเรียก คือ ผีมาร ซึ่งหมายความว่า "ผู้ใส่ร้าย"

แม้ว่ามันจะถูกขับออกจากสวรรค์ มันก็ยังพยายามยกบัลลัก์ให้สูงกว่าพระเจ้า ลอกเลียนทุกอย่างที่พระเจ้าทรงกระทำ ด้วยหวังที่จะได้รับการนมัสการจากมนุษย์และทำให้อาณาจักรของพระเจ้าปั่วป่วน
ซาตานคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังลัทธิเทียมเท็จและศาสนาของโลก ทุกศาสนาตัวจริง มันจะทำทุกอย่างเท่าที่มันจะมีอำนาจที่จะทำได้เพื่อต่อต้านพระเจ้า และคนที่ติดตามพระองค์ แต่จุดหมายปลายทางของมันได้ถูกประทับตราไว้แล้ว นั่นคือ บึงไฟนรกชั่วรันดร์ (วิวรณ์ 20:10)

จริงๆ แล้วซาตานไม่ได้มีอำนาจมากมาย แต่ในปัจจุบันจะเห็นว่าการงานของมารเกิดได้ เนื่องจากมนุษย์ยอม และเชื่อฟังมัน

คริสเตียนถูกผีมารครอบงำได้ไหม?

คำตอบ: พระคัมภีร์ไม่ได้บอกชัดเจนว่าคริสเตียนจะถูกครอบงำโดยผีมารได้ไหม แต่เนื่องจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่ในเรา (โรม 8:9-11; 1 โครินธ์ 3:16; 6:19) จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงอนุญาตให้ผีมารเข้าครอบครองผู้ที่พระองค์ทรงสถิตอยู่

เรารู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สามารถถูกโต้แย้งได้ แต่เราเชื่อมั่นคงว่าคริสเตียนไม่สามารถถูกครอบงำโดยผีมารได้ เราเชื่อว่ามีข้อแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างการถูกครอบงำกับการถูกก่อกวน/รบกวนโดยผีมาร การถูกครอบงำหมายถึงการมีอำนาจควบคุมเหนือความคิด และ/หรือการกระทำของคน ๆ นั้น (ลูกา 4:33-35; 8:27-33; มัทธิว 17:14-18)

การครอบงำ/มีอิทธิพลต่อชีวิต หมายถึงผีมารหรือพวกของมันโจมตีคนๆ นั้นฝ่ายวิญญาณ และ/หรือบังคับให้คน ๆ นั้นทำความบาป (1 เปโตร 5:8-9; ยากอบ 4:7)

ท่านจะสังเกตว่าตลอดทั่วพันธสัญญาใหม่ที่พูดถึงสงครามฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์ไม่เคยบอกให้เราขับวิญญาณชั่วออกจากผู้เชื่อ (เอเฟซัส 6:10-18) แต่บอกให้เราต่อสู้กับมัน (1 เปโตร 5:8-9; ยากอบ 4:7) ไม่ใช่ขับมันออกไป

ข้าพเจ้าไม่เคยมีความคิดอยู่ในสมองเลยว่าพระเจ้าจะทรงอนุญาตให้ลูกๆ ของพระองค์ ผู้ที่พระองค์ทรงไถ่ไว้ด้วยพระโลหิตของพระคริสต์ (1 เปโตร 1:18-19) และทรงสร้างขึ้นมาใหม่ (2 โครินธ์ 5:17) – ถูกผีมารซาตานครอบงำและควบคุมได้ แน่นอน, ในฐานะผู้เชื่อ, เราขับเขี้ยวกับซาตานและสมุนของมัน แต่ไม่ใช่ภายในเรา ข้อพระคัมภีร์ 1 ยอห์น 4:4 กล่าวว่า “ลูกทั้งหลายเอ๋ย ท่านเป็นฝ่ายพระเจ้า และได้ชนะเขาเหล่านั้น เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงอยู่ในท่านทั้งหลายเป็นใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่ในโลก”

ใครคือผู้ที่ทรงสถิตอยู่ในเรา? พระวิญญาณบริสุทธิ์ ใครคือผู้ที่อยู่ในโลก? ซาตานและสมุนของมัน

บทความจาก https://www.gotquestions.org/Thai/Thai-Christian-possessed.html

พระคัมภีร์พูดว่าอย่างไรเกี่ยวกับการถูกผีมารครอบงำ/โดนผีมารครอบงำ?

คำตอบ: พระคัมภีร์มีตัวอย่างสองสามตัวอย่างเกี่ยวกับคนถูกผีมารครอบงำหรือตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของผีมาร จากตรงนี้เราจะมาดูกันถึงอาการบางอย่างของคนที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของผีมาร และจะได้รู้ว่าผีมารเข้าครอบงำผู้คนได้อย่างไรพร้อมกันไป

ต่อไปนี้เป็นข้อพระคัมภีร์บางข้อ( มัทธิว 9:32-33; 12:22; 17:18; มาระโก 5:1-20; 7:26-30; ลูกา 4:33-36; ลูกา 22:3; กิจการ 16:16-18) จากข้อพระคัมภีร์บางข้อเราจะเห็นว่าการถูกครอบงำโดยผีมารก่อให้เกิดอาการผิดปกติทางร่างกาย, เช่น พูดไม่ได้ เป็นลมชัก มองไม่เห็น ฯลฯ ในบางกรณีมันจะทำให้คน ๆ นั้นทำสิ่งที่ชั่วร้าย, ยูดาสเป็นตัวอย่างสำคัญตัวอย่างหนึ่ง

ในหนังสือกิจการ 16:16-18 วิญญาณชั่วดูเหมือนว่าจะทำให้ทาสหญิงคนหนึ่งรู้บางสิ่งบางอย่างเหนือความสามารถของเธอเอง ในกรณีของคนที่ถูกผีกลุ่มใหญ่สิงที่แดนกาดารา เขามีกำลังเหนือธรรมชาติ เดินแก้ผ้าไปทั่ว และอาศัยอยู่ในอุโมงค์ฝังศพ

ส่วนกษัตริย์ซาอูลหลังจากที่ทรงกบฏต่อพระเจ้า วิญญาณชั่วก็ได้รับอนุญาตให้ทรมานพระองค์(1 ซามูเอล 16:14-15; 18:10-11; 19:9-10) พระอาการที่มองเห็นได้คือทรงมีอารมณ์หงุดหงิด อยากและพร้อมที่จะฆ่าดาวิดได้ทุกเมื่อยังมีอาการอีกมากมายของการถูกครอบงำโดยวิญญาณชั่ว เช่น
การมีอาการผิดปกติทางร่างกายที่ไม่ได้มาจากปัญหาทางร่างกายตามปกติ,
บุคลิกภาพเปลี่ยนไป เช่น มีอารมณ์หดหู่มากผิดปกติ หรือ ก้าวร้าวอย่างไม่มีเหตุผล,
มีกำลังมากเกินปกติ, ไม่อาย, หรือ วางตัวในสังคมอย่าง “ปกติ” ไม่ได้ หรือบางทีก็สามารถให้ข้อมูลที่โดยปกติคนอื่นไม่สามารถรู้ได้ มันเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องรู้ว่าอาการเหล่านี้ทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดอาจมีคำอธิบายอย่างอื่นได้

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะไม่ตัดสินโดยทันทีว่าคนที่มีความรู้สึกหดหู่ หรือเป็นโรคลมชัก จะต้องถูกครอบงำโดยผีมาร แต่ข้าพเจ้าคิดว่าวัฒนธรรมตะวันตกไม่ค่อยเห็นว่าการเข้ามาเกี่ยวข้องของมารซาตานในชีวิตผู้คนเป็นเรื่องใหญ่นักนอกจากอาการทางร่างกายและอารมณ์ที่แปลกไปแล้ว เราสามารถสังเกตอาการของคนที่ถูกวิญญาณชั่วเข้าครอบงำได้จากอาการทางจิตวิญญาณด้วย

อาการเหล่านี้อาจจะเป็นการไม่ยอมยกโทษ (2 โครินธ์ 2:10-11) และการเชื่อในคำสอนที่ผิด, โดยเฉพาะคำสอนที่เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์และการถวายพระองค์เป็นเครื่องไถ่บาป (2 โครินธ์ 11:3-4,13-15; 1 ทิโมธี 4:1-5; 1 ยอห์น 4:1-3)

เมี่อพูดเกี่ยวกับการเข้าไปเกี่ยวข้องกับผีมารในชีวิตของคริสเตียน อัครทูตเปโตรเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าผู้เชื่อสามารถถูกอิทธิพลของผีมารควบคุมได้ (มัทธิว 16:23) บางคนเรียกคริสเตียนที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของผีมารอย่างแรงถูก “ผีเข้า” แต่ในพระคัมภีร์ไม่มีตัวอย่างให้เห็นเลยว่าผู้เชื่อในพระคริสต์ถูกครอบครองโดยผีมาร และนักศาสนศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าคริสเตียนไม่สามารถถูกครอบครองโดยผีมารได้ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่ในเขา (2 โครินธ์ 1:22; 5:5; 1 โครินธ์ 6:19)

เราไม่รู้แน่นอนว่าคนๆ หนึ่งถูกวิญญาณชั่วเข้าครอบครองได้อย่างไร หากยกกรณีของยูดาสเป็นตัวอย่าง เราจะเห็นว่าเขาเปิดใจต่อสิ่งชั่วร้าย (ในกรณีนี้คือความละโมบ – ยอห์น 12:6)

ดังนั้นจึงอาจเป็นไปได้ว่าหากคนๆ หนึ่งยอมเปิดใจให้ความบาปบางอย่างเข้ามาจนติดเป็นนิสัย … มันก็จะกลายเป็นการเชิญชวนให้ผีมารเข้ามาครอบครองเขา จากประสบการณ์ของมิชชั่นนารี ดูเหมือนว่าวิญญาณชั่วสามารถเข้าครอบครองได้โดยการกราบไหว้รูปเคารพของคนนอกศาสนา และการมีสิ่งของที่ใช้เกี่ยวกับเวทย์มนต์คาถาไว้ในครอบครอง

พระคัมภีร์บอกซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าการกราบไหว้รูปเคารพก็เหมือนกับการกราบไหว้ผีมารวิญญาณชั่ว (เลวีนิติ 17:7; เฉลยธรรมบัญญัติ 32:17; สดุดี 106:37; 1 โครินธ์ 10:20) ดังนั้นจึงไม่เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจว่าการเกี่ยวข้องและปฏิบัติตามศาสนาเหล่านั้นสามารถนำไปสู่การเข้าครอบครองของผีมารได้

ข้าพเจ้าเชื่อโดยถือข้อพระคัมภีร์ต่างๆ ข้างต้นเป็นหลัก ประกอบกับประสบการณ์ของมิชชั่นนารีหลาย ๆ ท่าน ว่ามีคนหลายคนที่เปิดชีวิตตัวเองให้กับผีมารวิญญาณชั่วด้วยการไม่ยอมทิ้งความบาปบางอย่าง หรือโดยการเข้าไปเกี่ยวข้องกับลัทธิบางอย่าง (โดยรู้หรือไม่รู้ตัวก็ได้) ตัวอย่างคือ อาจเป็นความประพฤติที่ผิดศีลธรรม; การเสพยาเสพติด/ของมึนเมา … เพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้สติสัมปชัญญะของผู้คนเปลี่ยนไป; ความดื้อรั้น, ความขมขื่น, การนั่งทางใน เป็นต้น ในวัฒนธรรมตะวันตกเราจะเห็นว่ามีการเผยแพร่ศาสนาตะวันออกมากขึ้นภายใต้ชื่อว่าศาสนานิวเอจ

มีบางอย่างที่เราต้องจำไว้ให้ดี นั่นคือซาตานและสมุนที่ชั่วร้ายของมันไม่สามารถทำอะไรใครได้หากไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า (โยบ 1, 2) และด้วยเหตุนี้, ในขณะที่ซาตานคิดว่ามันกำลังทำให้ความต้องการของมันสำเร็จ, จริง ๆ แล้วมันกำลังทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จนั่นเอง… แม้กระทั่งเรื่องการทรยศของยูดาส…

มีบางคนลุ่มหลงอยู่กับกิจกรรมลึกลับหรือเกี่ยวกับเวทย์มนต์คาถาซึ่งไม่ปลอดภัย การกระทำเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องฉลาดและไม่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ หากเราติดตามพระเจ้าด้วยชีวิตของเรา สวมยุทธภัณฑ์ของพระองค์ และพึ่งพาพระกำลังของพระองค์ (ไม่ใช่ของเราเอง) (เอเฟซัส 6:10-18) เราไม่มีอะไรที่ต้องกลัวพวกวิญญาณชั่วเพราะพระเจ้าทรงครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่ง

บทความจาก https://www.gotquestions.org/Thai/Thai-demon-possession.html

ซาตานคือใคร? (1)


คำตอบ: ความเชื่อของคนเกี่ยวกับซาตานมีตั้งแต่ไม่เป็นเรื่องไปถึงเป็นเรื่องที่ต้องนำมาขบคิด คือ จากการเป็นคนตัวเล็กๆ สีแดงมีเขา นั่งอยู่บนไหล่ท่านคอยชวนให้ท่านทำบาป ไปจนถึงการสื่อความหมายว่ามันเป็นตัวแห่งความชั่วร้าย แต่พระคัมภีร์บอกเราชัดเจนว่าซาตานเป็นใคร, และมันมีผลต่อชีวิตของเราอย่างรา ง่ายๆ

พระคัมภีร์บอกว่าซาตานเป็นทูตสวรรค์ที่หลุดจากตำแหน่งของมันในสวรรค์อันเนื่องมาจากความบาป และในตอนนี้มันอยู่มุมตรงข้ามกับพระเจ้าเต็มที่ ทำทุกสิ่งเท่าที่อำนาจของมันจะทำได้เพื่อขัดขวางพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อมนุษยชาติ

ซาตานถูกสร้างขึ้นมาในตอนแรกในฐานะทูตสวรรค์ที่บริสุทธิ์ หนังสืออิสยาห์ 14:12 บอกว่าก่อนที่มันจะล้มลงในความบาปมันมีชื่อว่าลูซิเฟอร์

หนังสือเอเสเคียล 28:12-14 บอกว่าซาตานถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นเครูป, และเป็นทูตสวรรค์ระดับสูงสุดที่พระเจ้าได้ทรงสร้าง แต่มันเกิดหลงรูปงามและฐานะของตัวเองจนเกิดความทะนงตนขึ้นมา และตัดสินใจว่ามันอยากจะนั่งบนพระบัลลังก์อยู่สูงสุดซึ่งเป็นของพระเจ้า (อิสยาห์ 14:13-14; เอเสเคียล 28:15; 1 ทิโมธี 3:6)

ความยโสของมันทำให้มันล้มลงในความบาป ให้สังเกตคำว่า “ข้าจะ…” ในหนังสืออิสยาห์ 14:12-15 เพราะความบาปของมันพระเจ้าจึงทรงโยนมันออกจากสวรรค์

ซาตานกลายเป็นผู้ครอบครองโลกนี้ซึ่งเดินออกห่างจากพระเจ้า และเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ (ยอห์น 12:31; 2 โครินธ์ 4:4; เอเฟซัส 2:2)

มันเป็นผู้กล่าวโทษ (วิวรณ์ 12:10),

ผู้ล่อใจให้ชั่ว (มัทธิว 4:3; 1 เธสะโลนิกา 3:5),

และผู้ล่อลวง (ปฐมกาล 3; 2 โครินธ์ 4:4; วิวรณ์ 20:3)

ความหมายที่แท้จริงของชื่อของมันคือปรปักษ์ หรือ “ผู้ซึ่งเป็นศัตรู” อีกชื่อหนึ่งที่ซาตานถูกเรียก คือ ผีมาร ซึ่งหมายความว่า “ผู้ใส่ร้าย”

แม้ว่ามันจะถูกขับออกจากสวรรค์, มันก็ยังพยายามยกบัลลังก์ของมันให้สูงกว่าของพระเจ้า มันลอกเลียนทุกอย่างที่พระเจ้าทรงกระทำ ด้วยหวังที่จะได้รับการนมัสการจากมนุษย์และทำให้อาณาจักรของพระเข้าปั่นป่วน ซาตานคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังลัทธิเทียมเท็จและศาสนาของโลกทุกศาสนาตัวจริง มันจะทำทุกอย่างเท่าที่มันมีอำนาจที่จะทำได้เพื่อต่อต้านพระเจ้า และคนที่ติดตามพระองค์ แต่จุดหมายปลายทางของมันได้ถูกประทับตราไว้แล้ว นั่นคือ บึงไฟนรกชั่วนิรันดร์ (วิวรณ์ 20:10)

พระคัมภีร์พูดเกี่ยวกับผีมารไว้ว่าอย่างไรบ้าง?

คำตอบ: วิวรณ์ 12:9 เป็นข้อพระคัมภีร์ที่บอกเกี่ยวกับผีมารไว้อย่างชัดเจนที่สุด “พญานาคใหญ่ซึ่งเป็นงูดึกดำบรรพ์ ที่เขาเรียกกันว่ามารและซาตาน ผู้ล่อลวงมนุษย์ทั้งโลกก็ถูกผลักทิ้งลงไป พญานาคและบริวารของมันก็ถูกผลักทิ้งลงไปในแผ่นดินโลก”

พระคัมภีร์บอกว่าผีมารคือพวกทูตสวรรค์ที่ล้มลงในความบาป - ทูตสวรรค์รวมถึงซาตานที่กบฏต่อพระเจ้า – พระคัมภีร์พูดถึงเรื่องการที่ซาตานถูกผลักตกลงมาจากสวรรค์ไว้ในหนังสือ อิสยาห์ 14:12-15 และ เอเสเคียล 28:12-15 หนังสือ วิวรณ์ 12:4 พูดเหมือนกับว่าซาตานดึงเอาทูตสวรรค์หนึ่งในสามมากับมันด้วยตอนที่มันทำบาป

หนังสือยูดาห์ข้อ 6 พูดถึงทูตสวรรค์ที่ทำบาป ดังนั้นมันจึงเป็นไปได้ว่าผีมารคือทูตสวรรค์ที่ทำตามอย่างซาตานโดยการทำบาปกับพระเจ้าตอนนี้ ซาตานและสมุนที่ชั่วร้ายของมันกำลังคอยจ้องที่จะทำลายและหลอกลวงผู้ที่ติดตามพระเจ้าและนมัสการพระองค์ (1 เปโตร 5:8; 2 โครินธ์ 11:14-15)

ผีมารถูกอธิบายว่าเป็นวิญญาณชั่ว (มัทธิว 10:1) ผีโสโครก (มาระโก 1:27) และทูตของซาตาน (วิวรณ์ 12:9) ซาตานและสมุนของมันล่อลวงโลก (2 โครินธ์ 4:4),

โจมตีคริสเตียน (2 โครินธ์ 12:7; 1 เปโตร 5:8)

และทำสงครามกับทูตสวรรค์ที่ดี (วิวรณ์ 12:4-9)

ผีมารเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีรูปร่าง แต่มันสามารถปลอมตัวให้เห็นเป็นรูปร่างได้ (2 โครินธ์ 11:14-15)

ผีมาร/ทูตสวรรค์ที่ล้มลงในความบาปเป็นศัตรูของพระเจ้า – แต่เป็นศัตรูที่แพ้ไปเรียบร้อยแล้ว พระองค์ผู้สถิตอยู่ในท่านทั้งหลายเป็นใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่ในโลก (1 ยอห์น 4:4)

บทความจาก https://www.gotquestions.org/Thai/Thai-demons.html

พระคัมภีร์พูดเกี่ยวกับทูตสวรรค์ว่าอย่างไร?


คำตอบ: ทูตสวรรค์คือสิ่งมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณ มีความฉลาด มีอารมณ์ และ เจตนารมณ์ ทูตสวรรค์มีทั้งดีและชั่วร้าย ทูตสวรรค์มีความฉลาด (มัทธิว 8:29; 2 โครินธ์ 11:3; 1 เปโตร 1:12) มีการแสดงออกทางอารมณ์ (ลูกา 2:13; ยากอบ 2:19; วิวรณ์ 12:17) และเจตนารมณ์ (ลูกา 8:28-31: 2 ทิโมธี 2:26; ยูดา 6) 1:14 ทูตสวรรค์เป็นวิญญาณ (ฮีบรู 1:14) ที่ไม่มีรูปร่าง แต่การไม่มีรูปร่างไม่ได้หมายถึงว่าทูตสวรรค์ไม่มีตัวตน (เช่นเดียวกับพระเจ้า)

ความรอบรู้ของทูตสวรรค์มีความจำกัดเพราะทูตสวรรค์เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา ซึ่งหมายความว่าเหล่าทูตสวรรค์ไม่ได้รอบรู้ไปหมดทุกอย่างเหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงรอบรู้ ((มัทธิว 24:36)
แต่ดูเหมือนว่าทูตสวรรค์จะมีความรอบรู้มากกว่ามนุษย์ นี่อาจเป็นเพราะสาเหตุสามอย่าง คือ
1) ทูตสวรรค์ถูกสร้างขึ้นมาในจักรวาลให้อยู่ในระดับสูงกว่ามนุษย์ ดังนั้นเหล่าทูตสวรรค์จึงมีความรู้ที่มากกว่าโดยปริยาย
2) ทูตสวรรค์ศึกษาพระคัมภีร์และโลกอย่างละเอียดกว่ามนุษย์มากจึงได้รับสติปัญญาจากการศึกษานั้น (ยากอบ 2:19; วิวรณ์ 12:12)
3) ทูตสวรรค์ได้รับสติปัญญาจากการเฝ้าดูกิจกรรมของมนุษย์มาเป็นเวลาช้านาน ทูตสวรรค์ไม่จำเป็นที่จะต้องศึกษาอดีตเหมือนมนุษย์; ทูตสวรรค์เรียนรู้ประสบการณ์เหล่านั้นมาแล้วจึงรู้ว่าคนอื่น ๆ มีปฏิกิริยาหรือตอบโต้อย่างไรในสถานการณ์นั้น ๆ และสามารถทำนายค่อนข้างจะถูกต้องว่าเราจะมีปฏิกิริยาอย่างไรในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน แม้ว่าทูตสวรรค์จะมีเจตนารมณ์ แต่พวกเขาก็ต้องจำนนต่อเจตนารมณ์ของพระเจ้าเช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่พระองค์ทรงสร้าง ทูตสวรรค์ที่ดีถูกพระเจ้าส่งมาให้ช่วยผู้เชื่อ (ฮีบรู 1:14)

กิจกรรมต่าง ๆ ดังต่อไปนี้คือกิจกรรมที่พระคัมภีร์บอกว่าเป็นกิจกรรมของทูตสวรรค์:

ก. สรรเสริญพระเจ้า (สดุดี 148:1,2; อิสยาห์ 6:3)
ข. นมัสการพระเจ้า (ฮีบรู 1:6; วิวรณ์ 5:8-13)
ค. ชื่นชมยินดีในสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ (โยบ 38:6-7)
ง. ปรนนิบัติพระเจ้า (สดุดี 103:20; วิวรณ์ 22:9)
จ. ปรากฏอยู่จำเพาะพระพักตร์ของพระเจ้า (โยบ 1:6; 2:1)
ฉ. เป็นเครื่องมือที่พระเจ้าทรงใช้ในการพิพากษา (วิวรณ์ 7:1; 8:2)
ช. นำคำตอบสำหรับคำอธิษฐานมาให้ (กิจการ 12:5-10)
ซ. ช่วยในการนำคนมาหาพระคริสต์ (กิจการ 8:26; 10:3)
ฌ. เฝ้าติดตามความเป็นระเบียบเรียบร้อย, การงาน, และความทุกข์ยากของคริสเตียน
ญ. หนุนใจในยามอันตราย (กิจการ 27:23,24)
ฎ. ดูแลผู้ชอบธรรมในยามที่เขาเสียชีวิต (ลูกา 16:22)

ทูตสวรรค์เป็นสิ่งที่ทรงสร้างที่แตกต่างไปจากมนุษย์โดยสิ้นเชิง มนุษย์ไม่ได้กลายเป็นทูตสวรรค์เมื่อเสียชีวิต ทูตสวรรค์ไม่มีวันและไม่เคยเป็นมนุษย์ พระเจ้าทรงสร้างทูตสวรรค์เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ ไม่มีที่ไหนในพระคัมภีร์ที่กล่าวว่าทูตสวรรค์ถูกสร้างขึ้นมาตามพระฉายของพระเจ้าดังที่ได้ทรงสร้างมนุษย์ (ปฐมกาล 1:26) ทูตสวรรค์เป็นสิ่งมีชีวิตและจิตวิญญาณที่สามารถมีตัวตนได้ในระดับหนึ่ง มนุษย์มีตัวตนและมีจิตวิญญาณ สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราสามารถเรียนรู้จากทูตสวรรค์ได้ คือ พวกเขาเชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้าอย่างทันทีทันใดโดยไม่มีคำถาม

วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2552

คิดอย่างผู้ใหญ่

ผมเอาบทความที่เคยใช้สอนในค่ายอนุชนมาลง เพื่อทบทวนความจำ และเพื่อให้สอดคล้องกับช่วงเวลานี้ที่มีบางคนไม่เข้าใจและชอบมาตัดสินว่าเราต้องทำอย่างนี้อย่างนั้น..


คิด..อย่างผู้ใหญ่ (1) : เลิกอาการเด็ก
เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก ใคร่ครวญหาเหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกอาการเด็กเสีย 1 โครินธ์ 13:11

· ส่วนร่างกาย
· ส่วนอารมณ์
· ส่วนสังคม

คิด..อย่างผู้ใหญ่ (2) : คิด..อย่างผู้ใหญ่
ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ความคิดของท่านอย่าให้เป็นอย่างเด็ก ในเรื่องความชั่วร้ายจงเป็นอย่างทารก แต่ฝ่ายความคิดจงให้เป็นอย่างผู้ใหญ่ 1 โครินธ์ 14:20

· เข้าใจอารมณ์ตนเอง
· จัดการกับอารมณ์ตนเองได้
· ผสานอารมณ์ด้วยเหตุผล
· ใช้อารมณ์ให้เป็นประโยชน์
· เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่น

คิด..อย่างผู้ใหญ่ (3) : จนกว่า.. จะโต
จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์ เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ คือพระคริสต์ เอเฟซัส 4:13-15

Fallibility แปลว่า โอกาสที่จะผิดพลาดได้ ซึ่งย่อมผิดพลาดได้ แนวคิดนี้หมายความว่า ความเข้าใจของเราเกี่ยวกับโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ ไม่สมบูรณ์โดยรากเหง้า ความเข้าใจของเรามีโอกาสที่จะผิดพลาดได้ ไม่มีใครรู้สัจธรรมโดยสมบูรณ์ เพราะว่าจะมีความแตกต่างกันระหว่างความเป็นจริงกับความเข้าใจอยู่เสมอ

ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น 1 ยอห์น 1:9

คิด..อย่างผู้ใหญ่ (4) : เป็นผู้ใหญ่..ในพระคริสต์
พระองค์นั้นแหละเราประกาศอยู่ โดยเตือนสติทุกคนและสั่งสอนทุกคนให้มีสติปัญญาทุกอย่าง เพื่อจะได้ถวายทุกคนให้เป็นผู้ใหญ่แล้วในพระคริสต์ โคโลสี 1:28

คิด..อย่างผู้ใหญ่ (5) : อาหารสำหรับผู้ใหญ่
ถึงแม้ว่าขณะนี้ท่านทั้งหลายควรจะเป็นครูได้แล้ว แต่ท่านก็ต้องให้คนอื่นสอนท่านอีก ในเรื่องหลักธรรมเบื้องต้นแห่งพระวจนะของพระเจ้า ท่านทั้งหลายต้องกินน้ำนมไม่ใช่อาหารแข็ง เพราะว่าทุกคนที่ยังกินน้ำนมนั้น ยังไม่เข้าใจในเรื่องความชอบธรรม เพราะเขายังเป็นผู้เยาว์ อาหารแข็งเป็นอาหารสำหรับผู้ใหญ่ สำหรับผู้ที่ได้รับการฝึกหัดอบรมให้สามารถรู้จักผิดชอบชั่วดีแล้ว ฮีบรู 5:12-14

เหตุฉะนั้นผู้ใดรู้ว่าอะไรเป็นความดีและไม่ได้กระทำ คนนั้นจึงมีบาป ยากอบ 4:17

รู้แล้วไม่สอนผู้อื่นต่อ เท่ากับไม่ได้ทำหน้าที่คริสเตียนให้เต็มที่
ไม่รู้แล้วสอนผู้อื่น เป็นเหตุให้ผู้อื่นเข้าใจพระคำผิดๆ
ก็หลงทางทั้งผู้สอน ทั้งผู้รับการสอน
ไม่รู้แต่อ้างว่ารู้ แล้วสอนผู้อื่นต่อ อันตรายที่สุด!

คิด..อย่างผู้ใหญ่ (6) : สู่ความเป็นผู้ใหญ่
เหตุฉะนั้นขอให้เราผ่านหลักธรรมเบื้องต้นแห่งคริสตศาสนา ไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ ไม่วางรากฐานซ้ำอีก คือเรื่องการกลับใจจากการประพฤติที่นำไปสู่ความตาย เรื่องความเชื่อในพระเจ้า ฮีบรู 6:1

สู่ความมีวุฒิภาวะ (Maturity) หมายถึง การพัฒนาไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่
1. พัฒนาจากการพึ่งผู้อื่น (Dependent) ไปสู่ความเป็นอิสระ (Independent)
2. พัฒนาจากความสนุกสนาน (Pleasure) ไปสู่ความเป็นจริง (Reality)
3. พัฒนาจากความไม่รู้ (Ignorance) ไปสู่การมีความรู้ (Knowledge)
4. พัฒนาจากการไม่มีความสามารถ (Incapability) ไปสู่การมีความสามารถ (Capability)
5. พัฒนาจากการสับสนทางเพศ (Diffused) ไปสู่การคบเพื่อนต่างเพศ (Heterosexuality)
6. พัฒนาจากการไร้ศีลธรรมจรรยา (Amoral) ไปสู่ความมีศีลธรรม (Moral)
7. พัฒนาจากยึดตนเองเป็นหลัก (Self-Centered) ไปสู่ยึดผู้อื่นเป็นหลัก (Other-Centered)

เฝ้าเดี่ยวอย่างผู้ใหญ่ (1) : เด็ก กับ ทาส
ข้าพเจ้าหมายความว่า ตราบใดที่ทายาทยังเป็นเด็กอยู่ เขาก็ไม่ต่างอะไรกับทาสเลย ถึงแม้เขาจะเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทั้งปวง กาลาเทีย 4:1

เฝ้าเดี่ยวอย่างผู้ใหญ่ (2) : เด็ก เท่ากับ ทาส
ฝ่ายเราก็เหมือนกัน เมื่อเป็นเด็กอยู่ เราก็เป็นทาสของวิญญาณต่างๆ แห่งสากลจักรวาล กาลาเทีย 4:3

วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2552

ทูตสวรรค์ : มีทั้งดี-เลว และน่าชัง


ทูตสวรรค์ประจำตัวของผู้เชื่อจะเป็นฝ่ายดี
แต่บางคนยังไม่เคยรู้เลยว่าตนเองมี
ต่อไปนี้เป็นบทความแปลของ ซู โบห์ลิน (ซึ่งเป็นทัศนะหนึ่ง ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณด้วย และใช้พระคัมภีร์ในการตัดสินว่าอะไรถูกต้อง)

ตอนฉันมีอายุได้ประมาณ 13 ปี ฉันได้เจอกับทูตสวรรค์ ฉันกำลังจะขึ้นไปชั้นบนซึ่งเป็นห้องของฉัน เมื่อฉันกำลังเอื้อมไปที่ราวจับ ในทันใดนั้น ก็มีบางอย่างปัดมือของฉัน ฉันก็เลยหงายหลัง ในระหว่างที่กำลังล่วงลงไปนั้น ฉันก็รู้สึกว่ามีมือที่แข็งแรงผลักดันให้ฉันตั้งตัวตรง ไม่มีใครอยู่ที่นั่น ใช่ ไม่มีใครจริงๆ

เรื่องของทูตสวรรค์ มันน่าหลงใหลเสมอ และในบทความนี้ที่เกี่ยวกับทูตสวรรค์ : มีทั้งดี เลว และความน่าชัง
ทูตสวรรค์ที่ดีก็คือความบริสุทธิ์อย่างหนึ่ง ส่วนทูตสวรรค์ที่เลวก็คือความชั่วร้าย พระคริสตธรรมคัมภีร์เรียกว่า “มาร” หรือ “วิญญาณชั่ว” และทูตสวรรค์ที่น่าชังหรือปิศาจ ก็คือการปลอมตัวเป็นทูตสวรรค์ที่ดี ทูตสวรรค์ที่น่าชังเหล่านี้ได้ล่อลวงคนมากมายที่อยู่ในวัฒนธรรมความเชื่อของแต่ละท้องที่ซึ่งเรียกรวมๆ ว่า “พวกบูชาเทพเจ้า (ทูตสวรรค์)”

ทูตสวรรค์ที่ดี

ในหนังสือฮีบรูเรียกทูตสวรรค์ว่า “ทูตสวรรค์ทั้งปวง เป็นแต่เพียงวิญญาณผู้ปรนนิบัติ ที่พระองค์ทรงส่งไปช่วยเหลือบรรดาผู้ที่จะได้รับความรอดกระนั้นมิใช่หรือ” (ฮีบรู 1:14)

งานของเหล่าทูตสวรรค์มากมายเกี่ยวกับพวกเรา และงานเหล่านั้นก็สามารถดูได้จากตัวอย่างในพระคัมภีร์เช่นเดียวกับเรื่องเล่าประสบการณ์ในปัจจุบัน

หน้าที่

พระเจ้าทรงใช้ทูตของพระองค์สำหรับงานของพระองค์ ตัวอย่างคือเรื่องทูตสวรรค์ที่นำอาหารมามอบให้กับเอลียาห์ คือขนมปังและน้ำ ในขณะที่เขาหลบหนีจากพระนางเยเซเบล หลังจากได้รับชัยชนะที่เขาคารเมล

“และท่านก็นอนลงหลับอยู่ใต้ต้นซาก ดูเถิด มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาถูกต้องท่าน และพูดกับท่านว่า “ลุกขึ้นรับประทานซี” และท่านก็มองดู ดูเถิด ตรงที่ศีรษะของท่านมีขนมปังที่ปิ้งบนก้อนหินร้อนและ มีไหน้ำลูกหนึ่งท่านก็รับประทานและดื่ม และนอนลงอีก” (1 พงศ์กษัตริย์ 19:5-6)

ในปี 1944 ซูซี่ แวร์ ภรรยาศิษยาภิบาล ผู้ยากจนคนหนึ่ง และทำงานด้านการประกาศในสวิตเซอร์แลนด์ เธอได้อธิษฐานว่า “พระเจ้า ลูกต้องการมันฝรั่ง 5 ปอนด์ แป้งสำหรับทำขนมปัง 2 ปอนด์ แอปเปิล ลูกแพร์ กระหล่ำดอก แครอท เนื้อลูกวัวทอดทุกๆ วันเสาร์ และเนื้อวัวทุกๆ วันอาทิตย์” ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา มีใครคนหนึ่งเคาะอยู่ที่หน้าประตูบ้าน และเขาเป็นหนุ่มน้อยที่ถือกระจาดของอยู่ในมือ เขากล่าวว่า “คุณนายแวร์ครับ ผมนำของที่คุณต้องการมาให้ครับ” ซึ่งทุกอย่างตรงกับที่เธออธิษฐานทุกอย่าง แม้แต่แป้งสำหรับทำขนมปัง หลังจากนั้นหนุ่มน้อยคนนั้นจากไป ซึ่งแม้แต่อาจารย์แวร์และภรรยา พยายามจะมองไปที่หน้าต่างของบ้านว่าเขาเดินไปทางไหน แต่ชายคนนั้นก็หายไปเฉยๆ ไม่เห็นว่าเขาไป

ผู้ให้คำแนะนำ

บางครั้ง ทูตสวรรค์ก็ให้คำแนะนำ ดังนั้นคนของพระเจ้าจะรู้ว่าอะไรที่เขาต้องทำ ทูตสวรรค์ปรากฏต่อโยเซฟในความฝัน และบอกเขาให้รับมารีย์มาเป็นภรรยาของเขา และตั้งชื่อบุตรว่า เยซู

..แต่เมื่อโยเซฟยังคิดในเรื่องนี้อยู่ ก็มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้า มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า “โยเซฟบุตรดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้าเลย เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิ์ในครรภ์ของเธอเป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ เธอจะประสูติบุตรชาย แล้วเจ้าจงเรียกนามท่านว่า เยซู เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขา” (มัทธิว 1:20-21)

และอีกเหตุการณ์ที่ทูตสวรรค์ได้แนะนำให้ฟีลิปไปพบกับขันทีชาวเอธิโอเปียเพื่อนำเขามาสู่พระคริสต์
..แต่ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้สั่งฟีลิปว่า “จงลุกขึ้น ไปยังทิศใต้ตามทางที่ลงไปจากกรุงเยรูซาเล็มถึงเมืองกาซา” (กิจการ 8:26)

เพื่อนของฉันชื่อ “ลี” มีประสบการณ์ว่าเขาได้รับการแนะนำจากทูตสวรรค์ เมื่อคนอื่นๆ ที่อยู่ในกองทัพถูกเกณฑ์ให้ไปยังพื้นที่สีแดงซึ่งเป็นเขตอันตราย เขาได้อธิษฐานขอความเข้มแข็ง มีผู้ส่งข่าวล่องหนมาหาเขา และบอกให้เขาขยับจากที่ตั้งไปอีก 10 ฟุต “จงอย่ากลัว เจ้าจะไม่ตาย เราจะช่วยท่าน และคุ้มครองท่าน”

ผู้ให้การสนับสนุน, ผู้ช่วยเหลือ

บรรดาทูตสวรรค์ของเรามีอำนาจในการช่วยเหลือ ดังเช่นตัวอย่างของชีวิตเปาโล เมื่อเขา และเพื่อนเดินทางบนเรือได้เผชิญหน้ากับพายุที่รุนแรง และกำลังจะอับปาง ทูตสวรรค์ได้มาปรากฏแก่เขา

..เพราะว่าเมื่อคืนนี้เอง ทูตองค์หนึ่งของพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าได้ปรนนิบัติได้มายืนอยู่ใกล้ข้าพเจ้า ทูตนั้นกล่าวว่า 'เปาโลเอ๋ย อย่ากลัวเลย เจ้าจะต้องเข้าเฝ้าซีซาร์ ส่วนคนทั้งปวงที่อยู่ในเรือกับเจ้านั้น ดูเถิด พระเจ้าจะทรงโปรดให้รอดตาย เพราะอำนวยตามคำเจ้า' (กิจการ 27:23-24)

มีคุณแม่คนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ลูกสาวของเธอจะต้องผ่าตัดมะเร็ง ที่นั่นมีนางพยาบาลคนหนึ่งที่สูงมาก เธอไว้ผมยาวถักเปีย ดูทะมัดทะแมง เธอทำงานตลอดทั้งคืน เธอดูแลเด็กหญิงอย่างเข้มแข็ง แต่อ่อนโยน และคุยกับแม่ของเด็กเกี่ยวกับพระเจ้า และสิ่งที่ดีของพระองค์ หลังจากพวกเขากลับไปบ้าน คุณแม่ตัดสินใจเขียนจดหมายขอบคุณสำหรับการดูแลของนางพยาบาล และได้โทรถามโรงพยาบาลว่านางพยาบาลคนนั้นชื่ออะไร แต่ทุกๆ คน หรือแม้แต่หัวหน้าของนางพยาบาล ไม่รู้จักผู้หญิงคนนั้น หรือผู้หญิงที่มีลักษณะแบบนั้น เธอจึงเชื่อว่าพระเจ้าส่งทูตสวรรค์ที่จะช่วยให้เธอผ่านความกังวลใจในคืนอันมืดมิดคืนนั้นไปได้

ผู้ปกป้อง

ในโลกใบนี้เป็นสถานที่อันตราย และทูตสวรรค์สามารถให้การป้องกันเหนือธรรมชาติได้ ในหนังสือดาเนียลบทที่ 6 ได้กล่าวถึงเรื่องของทูตสวรรค์จะปิดปากสิงโต เมื่อดาเนียลถูกนำเข้าไปในถ้ำของมัน

มีสาวน้อยผู้หนึ่งนามว่า “ไมร่า” เธอทำงานเกี่ยวกับกลุ่มวัยรุ่นที่เมืองฟิลลาเดเฟีย มีแก๊งตรงข้ามชอบมาขู่ทำร้ายคนที่ทำงานในนั้น และพวกเขาก็คอยรบกวนไมร่าเป็นประจำ

คืนหนึ่ง เมื่อเธออยู่ตามลำพังในที่ทำงาน เธอต้องออกไปเป็นพยานเรื่องของพระเยซูกับแก๊งวัยรุ่นที่อยู่ตรงข้ามให้ได้ ขณะที่เธอเปิดประตูออก และอธิษฐานขอการปกป้อง

กลุ่มวัยรุ่นพวกนั้นหยุดการตะโกนโวยวายในทันที และมองหน้ากันและกัน หันไปหันมา ไมร่าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

หลังจากเหตุการณ์นั้น เจ้าหน้าที่ได้สอบถามแก๊งวัยรุ่นนั้นว่าทำไมพวกเขาถึงไม่รบกวนข่มขู่ไมร่าอีกในคืนนั้น

เด็กหนุ่มคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า “พวกเราไม่กล้ายุ่งกับเธอหรอก แฟนของเธอสูงตั้ง 7 ฟุต” ผู้จัดการจึงถามต่อว่า “ผมไม่ยักรู้ว่าไมร่ามีแฟนแล้ว แต่คืนนั้น เธอทำงานคนเดียวตามลำพัง” คนอื่นๆ ในแก๊งยืนยันว่า “ไม่ๆ เราเห็นเขา เขาอยู่ข้างหลังเธอ ตัวเบ้อเริ่ม และใส่เสื้อสีขาว”

อีกเรื่องหนึ่ง มีผู้หญิงอายุยังน้อยคนหนึ่งเดินกลับบ้านจากที่ทำงานที่บรู๊คลิน เธอต้องเดินผ่านตึกที่มีชายน่ากลัวอยู่ที่นั่น เธอรู้สึกกลัว และอยากผ่านที่นั่นไปเร็วๆ และเธอได้อธิษฐานสำหรับการปกปักรักษา ซึ่งเธอจะปลอดภัยโดยพระเจ้า และเมื่อถึงบริเวณนั้น เธอรู้สึกว่าชายคนนั้นมองดูเธออยู่ แต่เขาไม่ได้ขยับตัว ในช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากเธอกลับถึงบ้าน เธอก็ได้ยินเสียงไซเรนและมองเห็นแสงไฟจากรถตำรวจ

วันถัดไปเพื่อนบ้านของเธอเล่าให้ฟังว่า มีคนถูกข่มขืน ในที่ๆ เธอเดินผ่านมาหลังจากเธอเดินผ่านชายคนนั้น
เธอรู้สึกงงว่าถ้าผู้ชายที่เธอเดินผ่านเมื่อคืนนั้นคือผู้ต้องหาคดีข่มขืน เพราะอะไรเธอจึงรอดมาได้ เธอจึงไปพบตำรวจ และสอบถามเขาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น เธอไปดูคนร้าย และถามตำรวจว่า “ทำไม เขาไม่ทำร้ายฉัน ทั้งๆ ที่ฉันดูบอบบางกว่าผู้หญิงคนต่อมาเสียอีก” ตำรวจเองก็อยากรู้เหมือนกัน ตามที่เธอเล่าให้ฟัง จึงไปสอบสวนคนร้าย เขาให้การว่า “ฉันจำเธอได้ ที่ไม่กล้ายุ่งกับเธอ เพราะเธอมากับชายร่างยักษ์ 2 คน ที่เดินขนาบข้างเธออยู่”

ผู้ช่วยเหลือ


บางครั้ง ทูตสวรรค์ได้ให้การช่วยเหลือผู้คนที่ตกอยู่ในอันตราย นั่นคือหน้าที่ของทูตสวรรค์ของพระเจ้า ดังเช่น ชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก ที่ถูกโยนลงในกองเพลิง พวกเขาได้รับการช่วยเหลือจากเปลวไฟ (ดาเนียล บทที่ 3)
เพื่อนของฉันชื่อ “จอห์น” บอกฉันว่า คืนหนึ่ง เขาและเพื่อนกำลังเดินกลับบ้าน มีแก๊งอันธพาลประมาณ 12 ถึง 15 คน เข้ามาขวางพวกเขา จอห์นถูกต่อย 2 ครั้ง และล้มลงกับพื้น เขาคิดว่ากำลังถูกปล้นและถูกทำร้ายร่างกายอีกหลายครั้ง แต่กลับไม่ใช่อย่างที่คิด สิ่งที่ตรงกันข้าม เขาได้ยินเสียงห่างออกไปประมาณ 6 ฟุตว่า “โอเค ๆ เราจะไปแล้ว” เขาเงยหน้าขึ้น และมองเห็นบุรุษลึกลับที่ห่างออกไปประมาณ 25 ฟุต ยืนพิงที่กำแพง แต่ไม่มีแก๊งอันธพาลสักคน พวกเขาหายไปแล้ว และที่นั่นก็ไม่มีใครอีก นอกจากจอห์น

นักรบจากสวรรค์


หน้าที่ของนักรบ(ทูต)สวรรค์ดูจะเป็นวิธีพิเศษ ผู้พยากรณ์เอลีชาอธิษฐานต่อพระเจ้าขอให้พระองค์เปิดตาคนรับใช้ของเขา ดังนั้นเขาจึงสามารถมองเห็นกองทัพเทวทูตที่มีอำนาจของพระเจ้าที่ส่งมาปกป้องพวกเขา

ที่เยอรมัน สมัยพวกนาซีเรืองอำนาจ หญิงคนหนึ่งและลูกน้อยของเธอได้รับการซ่อนตัวโดยกลุ่มแม่ชีที่มีสถานที่ที่ปลอดภัย ในคืนวันหนึ่ง ทุกคนได้อธิษฐานขอการปกป้องจากพระเจ้า แต่เด็กน้อยได้ลืมตาขึ้นก่อนที่จะกล่าวคำว่า “อาเมน” เด็กบอกกับแม่ว่า “เขามาที่นี่ครับ” และชี้ไปที่ช่องทางข้างบนหลังคา เมื่อถูกสอบถามมากๆ เด็กก็อธิบายอีกว่า “เขาเห็นคนมาที่นี่จริงๆ” พยาบาลถามว่า “เธอพูดอะไรของเธอน่ะ” และเด็กก็บอกว่า มองเห็นคนถือโคมไฟไปที่มุมของที่ซ่อน ดังนั้นทุกคนจึงไปหลบซ่อนที่ใต้หลังคา ตามที่เด็กมองเห็นนักรบแห่งสวรรค์ชี้นำไป และทุกคนก็ปลอดภัย

ผู้ปกป้อง

พวกเรามีทูตสวรรค์ผู้ปกป้องคุ้มครองไหม ? แม้คัมภีร์ไบเบิ้ลจะไม่ได้ให้คำตอบอย่างชัดเจนนัก แต่พระเยซูตรัสว่า “จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่ง ด้วยเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ทูตสวรรค์ประจำของเขาเฝ้าอยู่เสมอ ต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์” (มัทธิว 18:10) และในสดุดี 91:11 “เพราะพระองค์จะรับสั่งเหล่าทูตสวรรค์ ของพระองค์ในเรื่องท่าน ให้ระแวดระวังท่านในทางทั้งปวงของท่าน”

วันหนึ่ง เมื่อลูกชายของฉันซึ่งยังเป็นเด็กเล็กๆ ขณะที่ฉันอุ้มเขาอยู่ แล้วเขาก็ดันตัวออกจากฉันและหัวทิ่มไปที่กำแพง ไม่มีทางที่ฉันจะช่วยเขาได้ทัน แต่ฉันดูเหมือนมีสิ่งที่อธิบายไม่ได้ว่ามาหยุดเขาไว้เพียงแค่นิ้วเดียวก่อนถึงกำแพงนั้น แล้วเขาก็หล่นลงที่พรมอย่างนุ่มนวล ฉันรู้สึกเลยว่านั่นคือมือของทูตสวรรค์ที่เป็นนวมกันชนของเขา

นี่เป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยของพันๆ เรื่องที่เกี่ยวกับทูตสวรรค์ผู้ที่ให้การคุ้มครอง และช่วยชีวิตคน ทั้งเป็นคริสเตียนและไม่เป็นคริสเตียน แต่คำถามของคนขี้สงสัยก็คงยังมีอยู่ เช่นทูตสวรรค์อยู่ที่ไหนเมื่อเด็กผู้หญิงถูกข่มขืน และคนขับรถเมาเหล้าชนเข้ากับรถยนต์ของวัยรุ่น และคนร้ายระเบิดตึกที่มีคนบริสุทธิ์อยู่เป็นร้อย?

ทูตสวรรค์ยังคงอยู่ที่นั่น ทำหน้าที่เกี่ยวกับความบาดเจ็บ และความตาย เราไม่รู้ถึงบทบาทที่แท้จริงของทูตสวรรค์ในท่ามกลางบรรยากาศที่น่าสะพรึงกลัว เพราะว่างานของพวกไม่ปรากฏให้เห็น และไร้ซึ่งความรู้สึก

เบื้องหลังคำถามที่ว่า “ทูตสวรรค์อยู่ที่ไหน?” เป็นปัญหาที่ตอบยากมาก เพราะพระเจ้าแสนดีทำไมจึงอนุญาตทำให้มีความเจ็บปวด และความทุกข์ ในหนังสือโยบ ได้แสดงถึงสิ่งสำคัญอยู่ 2 เรื่อง ที่เกี่ยวกับความเจ็บปวด

สิ่งแรก คือ เมื่อเภทภัย และความทุกข์โจมตีพวกเราในทุกเรื่องที่เราปกครองดูแลอยู่ นั่นอาจจะมีบางสิ่งที่สำคัญ และใหญ่กว่าอยู่ในโลกของจิตวิญญาณที่มองไม่เห็น

สอง พระเจ้าไม่เคยให้คำตอบกับโยบเมื่อเขาร้องถามที่จะรู้เหตุผลว่า “ทำไม” พระองค์เพียงตอบว่า “เราคือพระเจ้า ทางของเรา เจ้าไม่สามารถเข้าใจ เจ้าต้องไว้วางใจในเรา เพราะเรารู้ว่าเรากำลังทำอะไร” ข้อเท็จจริงก็คือพระเจ้าควบคุมทุกอย่าง พระองค์อนุญาตให้ความเจ็บปวด และความทุกข์ เป็นเหตุไปสู่การความสุขสมบูรณ์ เราต้องจำไว้ว่าเมื่อดูเหมือนว่าทูตสวรรค์ละทิ้งพวกเรา ไม่มีเพราะพวกเขาละทิ้ง แต่เพราะพระเจ้าอนุญาต

ทูตสวรรค์เลว

เมื่อมีทูตสวรรค์ที่ดี ย่อมมีทูตสวรรค์ที่เลว เมื่อแรกเริ่มพวกเขาถูกสร้างเป็นทูตสวรรค์อันศักดิ์สิทธิ์ แต่ประมาณหนึ่งในสามของพวกเขา ทำการกบฏต่อต้านพระเจ้า และตกจากตำแหน่งของพวกเขา

ซาตาน เป็นผู้นำของเหล่าปิศาจ หรือ ทูตสวรรค์ที่ไม่บริสุทธิ์ เป็นผู้กล่าวเท็จ ฆาตกร และขโมย (ยอห์น 10:10) เขาเกลียดพระเจ้า และเขาเกลียดอย่างแรงกับคนของพระเจ้า พระคัมภีร์บอกเราว่า มันเที่ยวหาหาเหยื่อเหมือนสิงโตคำรามที่หาเหยื่อมากัดกิน (1 เปโตร 5:8) เราต้องจำไว้ว่าซาตานและสมุนของมัน มีอำนาจเหนือธรรมชาติเช่นกัน และซาตานปลอมตัวเองเป็นทูตสวรรค์แห่งแสงสว่าง (2 โครินธ์ 11:14)

การปลอมตัวเป็นทูตสวรรค์ที่ดี ซึ่งเบื้องหลังคือทูตสวรรค์เลวแฝงตัวอยู่ในวัฒนธรรมความเชื่อของพวกเรา ขณะที่มีหนังสือคริสเตียนที่น่ามหัศจรรย์หลายเล่ม เล่าเรื่องของทูตสวรรค์ที่ดี การช่วยเหลือผู้คน

มีหนังสือมากมาย ทั้งหนังสือพิมพ์ และการสัมนา ได้เปิดเผยงานของมาร ความหลอกลวงชนิดที่น่าเกลียดที่สุด เพราะว่าเมื่อคุณเริ่มต้นพูดคุยทูตสวรรค์ มันจะจบลงด้วยการกับมารร้าย

ทูตสวรรค์ที่น่าชัง

ศัตรูฝ่ายจิตวิญญาณของพวกเราใช้เทคนิคการบิดเบือนซึ่งเป็นวิธีเก่าแก่ การสนใจในทูตสวรรค์จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจเพราะไม่มีการสอน และไม่มีใครเคยเห็น ลัทธิติดต่อทูตสวรรค์จึงกลายเป็นเรื่องของพวกนิวเอจ (New Age) ซึ่งเป็นความเชื่อโบราณของลัทธิบูชาเทพเจ้า ลัทธิ Pantheism จะมีความเชื่อในทุกสิ่ง พระเจ้าไม่มีตัวตนเช่นเดียวกับทุกส่วนที่ทรงสร้าง เป็นหนึ่งเดียวกันที่ยิ่งใหญ่ ทั้งหมดคือหนึ่งเดียว พระเจ้าคือหนึ่งเดียว พวกเราคือพระเจ้า และปรัชญานิวเอจจึงหวนกลับมาอีกครั้ง

คุณคงรู้ว่ารอบๆ ตัวคุณมีทูตสวรรค์ที่น่าชัง หรือวิญญาณชั่ว ตบตาเราเหมือนทูตสวรรค์จริงๆ เมื่อคุณได้อ่านเรื่องราวดังต่อไปนี้

1. การติดต่อกับทูตสวรรค์
ตอนนี้มีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ “ถามทูตสวรรค์ของคุณ” และ “100 วิธีที่จะดึงดูดทูตสวรรค์” แต่ในพระคัมภีร์ไม่เคยบอกเรื่องการติดต่อทูตสวรรค์มาก่อน เมื่อผู้คนเริ่มติดต่อกับทูตสวรรค์ นั่นไม่ใช่ทูตสวรรค์ที่ดีที่ให้คำตอบ แต่เป็นวิญญาณชั่วที่ปลอมมา โดยพวกมันเองเปิดเผยตัวว่าเป็นทูตสวรรค์ที่ดี คนที่ไม่รู้จะบอกความแตกต่างอย่างไร

2. การรักทูตสวรรค์ของเรา การอธิษฐานกับทูตสวรรค์ของเรา
บางคนเชื่อว่า “ทูตสวรรค์ผู้เชี่ยวชาญ” พวกชาวลัทธิบอกว่าพวกเขารักทูตสวรรค์ของพวกเขา และสามารถเรียกมาช่วยให้มีสุขภาพดี ช่วยเยียวยารักษา ช่วยให้เจริญ และช่วยแนะนำ

แต่ทูตสวรรค์คือผู้รับใช้ของพระเจ้า และทั้งหมดนี้มาพร้อมกับความสำคัญและสง่าราศีแด่พระเจ้า ไม่ใช่คนรับใช้ของพระองค์ พระเจ้าตรัสว่า “เราคือเยโฮวาห์ นั่นเป็นนามของเรา สง่าราศีของเรา เรามิได้ให้แก่ผู้อื่น หรือให้คำที่สรรเสริญเราแก่รูปแกะสลัก” (อิสยาห์ 42:8) พระคัมภีร์ไม่ได้พูดถึงการรักทูตสวรรค์ แต่ให้รักพระองค์เท่านั้น รวมทั้งพระคำของพระองค์ และผู้คน (เพื่อนบ้าน) และก็ไม่เคยบอกพวกเราที่จะอธิษฐานอ้อนวอนต่อทูตสวรรค์ นอกจากพระองค์เท่านั้น

3. วิธีการ ความรู้ หรือความเข้าใจแจ่มแจ้งจากทูตสวรรค์ผู้สอนเรื่องทูตสวรรค์บางคนกำลังประกาศว่าทูตสวรรค์กำลังพยายามอย่างหนักที่จะติดต่อพวกเรา ดังนั้นเราจึงสามารถเข้าถึงจิตวิญญาณนั้นได้ ความรู้ทูตสวรรค์ คือการผสมผสานเรื่องของความจริงและโกหก และไม่เคยอยู่บนพื้นฐานความจริงของพระคัมภีร์

มีทูตสวรรค์อยู่ 4 นามที่ถูกอ้างถึงในวรรณกรรมที่เกี่ยวกับทูตสวรรค์ เช่น มีคาเอล กาบรีเอล ยูรีเอล และราฟาเอล มีคาเอล และกาบรีเอลเป็นทูตสวรรค์ที่ถูกพูดถึงในพระคัมภีร์ชัดๆ แต่อีก 2 ชื่อมาจากหนังสือเล่มแรกของเอโนค (อะโพรคาฟา) ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องราวอันแปลกประหลาดของทูตสวรรค์ทั้งสี่

“อปอลลิโยน (APOLLYON)” ก็เป็นทูตสวรรค์แห่งบาดาลอยู่ในวิวรณ์บทที่ 9 ข้อ 11 และซาตาน ก็คือทูตสวรรค์ที่ไม่ดีตกจากการเป็นทูตสวรรค์ ผู้ที่สอนเรื่องทูตสวรรค์ตามความเป็นจริงจะต้องแนะนำวิธีการของมารด้วย

4. ความรู้พิเศษ หรือการสอนจากทูตสวรรค์

นาโอมี อัลไบรท์ (Naomi Albright) ได้สอนความหมายที่ลึกซึ้งของสี และหมายเลข และลำดับตัวอักษร ซึ่งเธอการเรียกว่า “ความรู้ที่มาจากเบื้องบน และนำมาแสดงรายละเอียดมากมายโดยหัวหน้าเทวทูตชั้นสูง” สิ่งที่นางอัลไบรท์บอกเล่านั้น ก็เพื่อที่จะเน้นการสอนสิ่งสำคัญคือ สิ่งแรก พระเจ้ารับรองศาสนาทั้งหมด และสอง มีการสร้างหลักการใหม่

คำสอนทั้งสองนี้ แสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวของพวกนิวเอจเกี่ยวกับทูตสวรรค์ ซึ่งจะสนับสนุนความเชื่อจอมปลอม ซึ่งสิ่งนั้นเป็นเมล็ดพันธุ์จากนรก โดยวิญญาณชั่วกำลังเลี้ยงดูความเชื่อนี้ในคำสอนจากครูเหล่านั้น

การสอนเรื่องทูตสวรรค์ จึงเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิบูชาเทพเจ้า ผู้เรียนรู้สามารถแบ่งจากส่วนอื่นๆโดยเข้าสู้ความลึกซึ้งเกี่ยวกับความรู้ที่ทูตสวรรค์มอบให้ และในที่สุด ผู้ปฏิบัติจะติดต่อกับทูตสวรรค์ได้หรือได้พบกับทูตสวรรค์ที่ส่องแสง (ซึ่งอาจจะกลายเป็นมารทีหลัง)

พวกเราต้องจำไว้ว่า ทูตสวรรค์ของพระเจ้าไม่ใช่ครู พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า พวกเขาคือผู้ส่งข่าว พระเจ้าได้แสดงทุกสิ่งให้พวกเรารู้ว่าเราต้องการสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตและความเชื่อ

“ด้วยเห็นแล้วว่าฤทธิ์เดชอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ได้ให้สิ่งสารพัดแก่เราที่จะให้มีชีวิตและทางที่เป็นอย่างพระเจ้า โดยรู้จักพระองค์ผู้ได้ทรงเรียกเราให้ถึงสง่าราศีและคุณธรรม” (2 เปโตร 1:3)

5. มนุษย์มาจากพระเจ้าข้อมูลเกี่ยวกับทูตสวรรค์น่าชัง มักจะกล่าว่า เราเป็นหนึ่งกับสวรรค์ พวกเราบริสุทธิ์ พวกเราคือพระเจ้า ในหนังสือเรื่องทูตสวรรค์ ของคาเรนโกลแมน (Karen Goldman) เป็นหนังสือคู่มือสำหรับการรู้จักทูตสวรรค์ เธอชอบพูดว่า “ทูตสวรรค์ต้องไม่ตกจากท้องฟ้า พวกเขาจะปรากฏขึ้นจากภายในใจ และวัตถุประสงค์ในชีวิต คือการรู้จักทูตสวรรค์ของตัวเอง ในหนทางนี้ที่พวกเราจะพบว่ามันเป็นประสบการณ์หนึ่งที่ถูกต้อง"

การติดต่อแบบนี้ อาจเป็นช่องสัญญาณจากมารที่วางท่าเหมือนอย่างทูตสวรรค์ที่มีนามว่า “DAEPHRENOCLES” “แสงมหัศจรรย์จากทูตสวรรค์ จากพระเจ้าไปถึงเทวทูต ไปถึงจิตวิญญาณธรรมชาติ นำทุกสิ่งมาถึงคุณ คุณจะรู้สึกได้ถึงความปลาบปลื้มจากสวรรค์ คุณบริสุทธิ์แล้วตอนนี้”

หนังสือหลายเล่มที่อ้างอิงถึงทูตสวรรค์ยืนยันว่า “ทูตสวรรค์อยู่ภายใน” แต่จริงๆ แล้ว ทูตสวรรค์คือส่วนที่แยกออกจากการทรงสร้าง พวกเขาถูกสร้างก่อนมนุษย์ เป็นชนิดที่แตกต่างกัน พวกเขาไม่ได้อยู่ภายในตัวเรา

แม้แต่ในภาพยนตร์เรื่อง "It's a Wonderful Life (มันเป็นชีวิตที่น่ามหัศจรรย์)" ก็นำเสนอว่า เมื่อพวกเราได้ยินกระดิ่งส่งเสียง (กรุ๊งกริ๊ง) นั่นคือเสียงปีกของทูตสวรรค์ หรือไม่ก็คนทำสิ่งที่ดีอย่างจริงจังก็จะได้เป็นทูตสวรรค์เมื่อพวกเขาตาย (ความเชื่อแบบฮินดู และพุทธ) พวกเราเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ทูตสวรรค์ และอย่างแน่นอน ไม่ใช่พระเจ้าด้วย อะไรคือความต้องการในลัทธิที่จะตอบสนองเรื่องทูตสวรรค์เพี้ยนๆ มาจากการทรงสร้างของพระคำพระเจ้า

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2552

ชาวคาทอลิก เชื่อเรื่องทูตสวรรค์ประจำตัว

หมายเหตุ : การลงข้อมูลนี้ต้องการที่จะสื่อว่า ความเชื่อเรื่องทูตสวรรค์ประจำตัวเป็นเรื่องที่แพร่หลายทั่วไปในหมู่ชาวคริสต์ แต่มีบางกลุ่มกลับต่อต้านและกล่าวหาตามจดหมายในกระทู้ ในหัวข้อ "ประวติศาสตร์ซ้ำรอย" ที่ผ่านมา..

สภาวะของทูตสวรรค์

จำนวนของทูตสวรรค์นั้นเหลือคณนา เป็นจิตที่รับใช้พระเจ้าไปช่วยเหลือมนุษย์ เป็นภาพสะท้อนฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล พระเจ้าทรงกล่าวถึงบรรดาทูตสวรรค์ว่า “ทรงใช้ลมเป็นทูตนำสาร ทรงใช้เปลวเพลิงเป็นผู้รับใช้ของพระองค์” (ฮบ 1:7)

พระศาสนจักรจึงสรุปคำสอนว่า “ ความมีอยู่จริงของจิตบริสุทธิ์ที่ไม่มีร่างกายซึ่งพระคัมภีร์เรียกเป็นประจำว่าทูตสวรรค์ เป็นข้อความจริงของความเชื่อ ” บรรดาทูตสวรรค์ “ เป็นผู้รับใช้และผู้ส่งข่าวของพระเจ้า ” “ ทูตสวรรค์ในฐานะที่เป็นจิตล้วนจึงมีสติปัญญาและอำเภอใจ เป็นบุคคลที่ถูกสร้างและไม่รู้จักตาย มีความศักดิ์สิทธิ์ครบครันเหนือกว่าสิ่งสร้างทั้งหลายที่มองเห็นได้ ”

แจอรเกตเต ฟาเนียล ผู้ได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ชาวคานาดา ผู้ที่ปีแอร์ โจวาโนวิช ได้ไปเยี่ยมถึงที่บ้านของเธอที่เมืองมองเตรียลในปี 1994 ต่อหน้าบาทหลวงคุณพ่อวิญญาณรักษ์ของเธอชื่อ คุณพ่อกี จีรา ขณะนั้นเธอมีอายุได้ 76 ปีแล้ว ได้บรรยายถึงการได้เห็นทูตสวรรค์ของเธอว่า “ สวยงามมากค่ะ ( เจอรแจตตายิ้มราวกับเด็กสาวๆ ) สวมอาภรณ์สีขาว แต่ความสวยงามของมนุษย์ไม่อาจที่จะเปรียบกับความสวยงามของท่านได้ ดิฉันไม่เคยเห็นมนุษย์คนไหนที่สวยงามอย่างนี้เลยค่ะ เวลาถวายบูชามิสซาดิฉันยังเห็นเทวดาองค์อื่นๆอีกด้วยพวกท่านยืนถวายนมัสการแล้วก็กราบลงต่อหน้าการประทับอยู่จริงของพระเป็นเจ้าบนพระแท่น ดิฉันไม่เข้าใจว่าทำไมบางคนรวมทั้งพระสงฆ์บางองค์ด้วยจึงไม่ยอมเชื่อว่าอารักขเทวดาอยู่เคียงข้างเราตลอดเวลา ”

บทบาทหน้าที่ของบรรดาทูตสวรรค์

นอกจากบรรดาทูตสวรรค์จะเป็น “ เป็นผู้รับใช้และผู้ส่งข่าวของพระเจ้า ” ทูตสวรรค์จำนวนมากยังมีหน้าที่ประจำอื่นๆ เช่น การปกป้องดูแลทวีป ประเทศชาติ หรือเมือง

เราทราบว่ามีทูตสวรรค์อุปถัมภ์ของชาติต่างๆ นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 นักบุญเกลเมนแห่งอาเล็กซานเดรียกล่าวว่า “ พระเจ้าทรงบัญชาให้ทูตสวรรค์แยกย้ายกันไปอยู่ตามชาติต่างๆ ”

ในพระคัมภีร์มีการกล่าวถึงเทวดาอารักขาพวกกรีกและพวกเปอร์เซีย นักบุญเปาโล กล่าวถึงทูตสวรรค์ที่อารักขามาซิโดเนีย และอัครเทวดามีคาแอล นอกจากเป้นจอมทัพสวรรค์ ยังถือว่าเป็นผู้อารักขาประชากรอิสราแอลด้วย

พระสันตะปาปาจอห์น ปอล ที่ 2 ตรัสเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 1986 ว่า “ เราพอที่จะยืนยันได้ว่าหน้าที่ของบรรดาทูตสวรรค์เป็นเสมือนทูตของพระเจ้าทรงชีวิตที่สัมพันธ์ไม่เฉพาะกับแต่ละบุคคลหรือกับบุคคลที่ได้รับการเลือกสรรเท่านั้น แต่กับคนทั้งชาติด้วย ”

ทูตสวรรค์เป็นผู้พิทักษ์เราแต่ละคน

คริสต์ศาสนามีข้อคำสอนที่ว่า มีทูตสวรรค์ดูแลเราแต่ละคนอยู่ พระเยซูคริสต์ได้ตรัสเรื่องนี้มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่า “จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นคนธรรมดา ๆ เหล่านี้คนใดเลย เราบอกท่านทั้งหลายว่า ตลอดเวลาในสวรรค์ ทูตสวรรค์ของเขาเฝ้าชมพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ” (มธ 18:10)

ทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์เรา ท่านจะอยู่กับเราตลอดเวลา ท่านพิทักษ์เราจากพลังชั่วทุกอย่าง กี่ครั้งแล้วที่ท่านได้ช่วยเราให้รอดพ้นจากภยันตรายทั้งกายและใจ ท่านได้ช่วยเราให้รอดพ้นจากการประจญล่อลวงอย่างนับครั้งไม่ถ้วน

ในศตวรรษที่ 5 มีเหตุการณ์ที่บันทึกในประวัติศาสตร์ที่ อัตตีลา นำทัพชาวฮั่นบุกตีทั่วยุโรปจนมาถึงกรุงโรม และกลับถอยทัพกลับไปเฉยๆเมื่อพบกับพระสันตะปาปาเลโอ(ปัจจุบันได้รับการประกาศเป็นนักบุญแล้ว) ว่ากันว่าเวลาที่นักบุญพระสันตะปาปาเลโอองค์ใหญ่ออกจากกรุงโรมเพื่อจะได้ไปพบกับอัตตีลา กษัตริย์ของพวกฮั่นซึ่งต้องการยึดกรุงโรมนั้น ทูตสวรรค์ได้ปรากฏมาอย่างยิ่งใหญ่หลังพระสันตะปาปา อัตตีลามีความเกรงกลัวต่อปรากฏการณ์นี้มากจนถึงกับได้สั่งให้กองทัพถอยทัพกลับจากสถานที่แห่งนั้น เป็นไปได้ไหมว่านั่นเป็นอารักขเทวดาของพระสันตะปาปา แต่ที่แน่นอนที่สุดคือ กรุงโรมได้รอดพ้นจากโศกนาฏกรรมที่น่าสะพรึงกลัวนั้น เป็นความจริงที่ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์โลก

ในหนังสือของเขาที่มีชื่อว่า “ บัญชาให้เดินหน้าเพื่อให้สงครามสิ้นสุดลง ” โกร์รี เทน บูม เขียนเล่าว่า ในช่วงกลางๆศตวรรษที่ยี่สิบ ที่ประเทศประเทศซาอีร์ ในตอนกลางของแอฟริกาตะวันตก ในช่วยสงครามกลางเมืองพวกกบฏบางคนต้องการที่จะยึดโรงเรียนที่อยู่ภายใต้การดูแลของพวกธรรมทูต(มิชชันนารี)เพื่อจะได้ฆ่าทิ้งทุกคนที่อยู่ที่นั่น ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปในเขตนั้นได้ พวกกบฏคนหนึ่งได้เล่าให้ฟังทีหลังว่า “ พวกเราเห็นทหารสวมเครื่องแบบสีขาวจำนวนร้อยๆ พวกเราจึงได้ยกเลิก ” ทุกคนที่รอดชีวิตเชื่อว่าบรรดาทูตสวรรค์ได้ช่วยให้พวกเด็กๆและธรรมทูตรอดพ้นจากความตายอย่างแน่นอน

นักบุญมาร์การิตา มารีอา อาลาก๊อก (ค.ศ. 1647 – 1690) ซิสเตอร์ผู้มีพระพรพิเศษในการมองเห็นและพูดคุยกับชาวสวรรค์ เขียนลงในหนังสือชีวประวัติของตนว่า “ ครั้งหนึ่งเจ้าปีศาจได้แกล้งผลักดิฉันลงจากบันไดสูงในขณะที่ในมือถือเตาไฟร้อนๆและไม่อยากให้ถ่านไฟร้อนนี้หกออกนอกเตาหรือเพื่อไม่ให้มันทำอันตรายต่อใคร ดิฉันก็พบว่าตัวดิฉันอยู่บนพื้นและทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็คิดว่าตัวของดิฉันคงไหม้เกรียมไปหมดแล้ว แต่ว่าในการตกลงมานั้นดิฉันมีความรู้สึกว่าอารักขเทวดาผู้ซื่อสัตย์ของดิฉันได้พยุงตัวดิฉันไว้ ทั้งนี้เพราะว่าดิฉันได้ยินเสียงที่ทำให้ดิฉันรู้ว่าเป็นท่านนั่นเอง ”

มีนักบุญอีกหลายต่อหลายองค์ที่ได้กล่าวถึงความช่วยเหลือที่ได้รับจากอารักขเทวดาของตน นักบุญบราซิลเรียกท่านว่า “ เพื่อนร่วมทาง ” นักบุญเกรโกรีแห่งนิสสาเรียกท่านว่า “ ผู้ปกป้อง ” ออรีเจนยืนยันว่า “ รอบตัวของมนุษย์จะมีเทวดาของพระเจ้าเพื่อส่องสว่าง เพื่ออารักขาและเพื่อป้องกันเราจากความชั่วร้ายทุกอย่าง ” นั่นคือที่มาของคำว่า อารักขเทวดาหรือ Guardian Angel “ เพราะทูตสวรรค์ของเราจะอยู่กับเจ้าและจะเป็นผู้อารักขาปกป้องชีวิตของพวกเจ้าไว้ ” ( บารุก 6:6)

อารักขเทวดา (Guardian Angel)

อารักขเทวดา หรือเทวดาอารักษ์ประจำตัวเรา เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์ ติดตามเราไปทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยตั้งแต่เวลาที่เราเกิดไปจนถึงเวลาที่เราตาย จนถึงเวลาที่เราจะได้รับความบรมสุขอย่างเต็มที่จากพระเจ้า นักบุญบางท่านได้เห็นเทวดาด้วยตาของตัวเองและบางท่านก็ได้มีความสนิทสนมกับอารักขเทวดาของตน

ถ้าอย่างนั้นเรามีอารักขเทวดากี่องค์กันแน่ อย่างน้อยก็หนึ่งองค์ . ซึ่งก็เป็นการเพียงพอ แต่สำหรับบางคนเพราะภาระหน้าที่ของเขาเช่นพระสันตะปาปาหรือผู้ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ในขั้นสูง ก็อาจจะมีมากกว่าหนึ่งองค์ก็ได้ มีนักบวชหญิงท่านหนึ่งที่บอกว่า พระเยซูเจ้าทรงแสดงให้เธอเห็นว่าเธอมีอารักขเทวดาสามองค์พร้อมกับบอกชื่อให้ด้วย นักบุญ มาร์การิตา มารีอา อาลาก๊อก เมื่อถึงความศักดิ์สิทธิ์ขั้นหนึ่งแล้วพระเจ้าก็ประทานอารักขเทวดาองค์ใหม่ให้ที่พูดกับเธอว่า “ ข้าพเจ้าเป็นหนึ่งในเจ็ดที่ยืนอยู่ใกล้ๆพระบัลลังก์ของพระเจ้าและเป็นผู้ที่ได้รับส่วนแบ่งในไฟ(แห่งความรัก)ที่เผาดวงพระหฤทัยของพระเยซูคริสตเจ้าและความประสงค์ของข้าพเจ้าคือต้องการที่จะให้เธอได้รับทราบในเรื่องนี้ว่าเธอจะรับไฟนี้มากสักเท่าใด ” ( บันทึกความทรงจำถึง M.Saumaise)

ช่วยเหลือเราในกิจการดีต่างๆ ตามพระบัญชาของพระเจ้า

พระสันตะปาปายวงที่ 23 สมัยที่ยังคงเป็นสมณทูตประจำประเทศตุรกีและประเทศกรีกตรัสว่า “ เวลาที่จะมีการสนทนาที่ค่อนข้างลำบาก ข้าพเจ้ามีธรรมเนียมที่จะขอให้อารักขเทวดาของข้าพเจ้าสนทนากับอารักขเทวดาของบุคคลนั้น แล้วข้าพเจ้าก็จะพบทางออกสำหรับปัญหานั้นๆ ”

นักบุญคุณพ่อปีโอ นักบวชคณะภราดาน้อยกาปูชิน (1887-1968)ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง มีผู้หญิงคนหนึ่งมาพูดกับคุณพ่อปีโอว่าเธอรู้สึกเป็นห่วงเพราะไม่ได้รับข่าวจากลูกชายที่อยู่ในแนวหน้าเลย คุณพ่อปีโอจึงบอกให้เธอเขียนจดหมายไปหาเขา ผู้หญิงคนนั้นก็บอกท่านว่าไม่ทราบว่าจะส่งไปที่ไหน “ อารักขเทวดาของคุณจะจัดการให้เอง ” เป็นคำตอบของคุณพ่อ ผู้หญิงคนนั้นก็ได้จัดการเขียนจดหมายพร้อมกับเขียนชื่อลูกชายของเธอลงบนหน้าซองแต่เพียงอย่างเดียวและวางมันไว้บนโต๊ะข้างๆ วันรุ่งขึ้นจดหมายฉบับนั้นได้หายไปจากตรงนั้น นับจากวันนั้นสิบห้าวันต่อมาเธอก็ได้ข่าวจากลูกชายของเธอเป็นการตอบจดหมายของเธอ คุณพ่อปีโอก็ได้บอกเธอว่า “ จงขอบคุณอารักขเทวดาของเธอสำหรับการรับใช้ในครั้งนี้เถิด ”

ทูตสวรค์เป็นที่ปรึกษา

อารักขเทวดาของเราให้คำปรึกษาที่ดีแก่เราและช่วยขจัดภยันตรายต่างๆให้เรา ท่านยื่นมือให้เราเสมอและถ้าหากว่าเราทำอะไรบางอย่างในแง่ลบหรือทำบาปท่านก็จะทำให้เรารู้สึกตัว ท่านเป็นเพื่อนที่ดีที่มีความหวังดีต่อเราและเพราะเหตุนี้เองท่านจึงไม่ปล่อยให้ความขาดตกบกพร่องของเราผ่านไปได้เพราะมันผิดทั้งต่อตัวท่านและต่อพระเป็นเจ้าด้วย ท่านยังยอมที่จะให้อภัยแก่เราอย่างง่ายๆด้วย ท่านมีความเพียรทนมากแต่เวลาทำอะไรท่านทำจริง บรรดานักบุญกล่าวว่าบางครั้งบางคราวที่พวกท่าน ( นักบุญ ) ทำอะไรขาดตกบกพร่องไป ทูตสวรรค์ซึ่งปกติมองไม่เห็นนั้นจะปรากฏตัวเพื่อบอกให้พวกท่านทราบถึงความไม่พอใจ

นักบุญเยมมา กัลกานี (1878-1903) เขียนลงในสมุดบันทึกของเธอว่า “ พระเยซูเจ้าไม่เคยปล่อยให้ดิฉันอยู่คนเดียวตามลำพังแม้แต่ครั้งเดียวโดยปราศจากอารักขเทวดาติดตาม … นับตั้งแต่เวลาที่ดิฉันตื่นนอนเทวดาก็เริ่มเผยให้ทราบถึงแผนการของเจ้านายของดิฉันและเริ่มนำทาง ท่านจะเตือนสติดิฉันทันทีที่ดิฉันทำอะไรไม่ดีพร้อมกับสอนดิฉันให้พูดแต่น้อย ”

ทูตสวรรค์เป็นเพื่อน

ทูตสวรรค์ต้องการที่จะเป็นเพื่อนกับเราและการมีมิตรภาพกับเรา ท่านช่วยเราได้อย่างมากเลยทีเดียว อย่าลืมความช่วยเหลือและความร่วมมือของท่านเป็นอันขาดเพราะว่าเพื่อนที่ดีนั้นเปรียบเสมือนขุมทรัพย์ที่ประเสริฐ นักบุญออกุสตินกล่าวว่า “ ชีวิตที่ปราศจากเพื่อนเป็นชีวิตที่อ้างว้าง ”

เอดวีเจ การ์บอนี ผู้ได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองซาร์เดญา เสียชีวิตเมื่อปี 1952 มีบุญได้เห็นอารักขเทวดาของตนหลายครั้ง เธอเขียนลงในหนังสือสมุดบันทึกของเธอว่า “ คุณแม่ผู้น่าสงสารของดิฉันเคยให้ดิฉันออกไปซื้อของในตอนกลางคืนบ่อยๆ ดิฉันต้องเดินไปคนเดียวในความมืดและรู้สึกมีความวังเวงเป็นอย่างมาก … ขณะเดียวกันดิฉันได้เห็นอารักขเทวดาของดิฉันพูดกับดิฉันว่า อย่ากลัวเลยเพราะเราอยู่ด้วยกันสองคน เราจะเป็นเพื่อนให้เธอ เมื่อดิฉันเข้าไปในร้านเพื่อซื้อของที่ต้องการ ท่านก็รออยู่ข้างนอก เมื่อซื้อของเสร็จแล้วท่านก็เดินไปเป็นเพื่อนกับดิฉันอีกครั้งจนถึงประตูบ้าน แล้วท่านก็อันตรธานไป ”

นักบุญโฟส์ตีนา โกวาลส์กา (1905-1938) เขียนลงใน “ สมุดบันทึก ” ของเธอว่า “ เทวดาของดิฉันร่วมทางไปกับดิฉันจนถึงเมืองวาร์ซาวีอา และเมื่อดิฉันเข้าไปในบ้านคนเฝ้าประตู ( อาราม ) ท่านก็จะอันตรธานไป … พอดิฉันขึ้นรถไฟจากวาร์ซาวีอาเพื่อจะไปกราโกวีอาดิฉันก็จะเห็นท่านมาเคียงข้างดิฉันอีกและทันทีที่ดิฉันมาถึงประตูอารามท่านก็อันตรธานไป ”

ข้อมูลจาก http://conquering.exteen.com/20080806/entry-2

ทูตสวรรค์ของพระเจ้าคอยปกป้องคุณ - พระวจนะประจำวันจากพระธรรมสดุดี

ทูตสวรรค์ของพระเจ้าคอยปกป้องคุณ

ทูตสวรรค์ของพระเจ้าได้ตั้งค่าย ล้อมบรรดาผู้ที่เกรงกลัวพระองค์ และช่วยเขาทั้งหลายให้รอด – สดุดี ๓๔:๗
เรื่องทูตสวรรค์ถูกกล่าวถึงน้อยมากในปัจจุบันทั้งๆ ที่ถูกกล่าวถึงมากในพระคัมภีร์ คำว่า “ทูตสวรรค์” หมายถึง “ผู้นำสาร”

พระคัมภีร์บันทึกเรื่องราวที่พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ของพระองค์นำข่าวสารมาบอกมนุษย์ ปกป้องพวกเขาจากศัตรู ช่วยกู้พวกเขาจากที่คุมขัง ทูตสวรรค์ยังมีภารกิจอื่นๆ อีกมากมาย

แต่หนึ่งในภารกิจสำคัญคือ ดูแลคุณ

ทราบหรือไม่ว่าพระเจ้าทรงห่วงใยคุณจนได้ประทานทูตสวรรค์ของพระองค์มาปกป้องคุ้มครองคุณ
ทราบหรือไม่ว่าพระเจ้าทรงห่วงใยคุณจนได้ประทานทูตสวรรค์ของพระองค์มาปรนนิบัติคุณ “ทูตสวรรค์ทั้งปวง เป็นแต่เพียงวิญญาณผู้ปรนนิบัติ ที่พระองค์ทรงส่งไปช่วยเหลือบรรดาผู้ที่จะได้รับความรอด...” (ฮบ. ๑:๑๔)

พระเยซูตรัสว่า คุณมีทูตสวรรค์ประจำตัว

พระคัมภีร์บันทึกว่า เหล่าสาวกทูลถามพระองค์ว่า “ใครเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์” พระเยซูทรงเรียกเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมาให้ยืนท่ามกลางเขา แล้วตรัสว่า "เรากล่าวความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าพวกท่านไม่กลับใจเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดถ่อมจิตใจลง เหมือนเด็กเล็กคนนี้ ผู้นั้นจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์” จากนั้นพระองค์ตรัสถึงเด็กเล็กๆ ว่า “จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่ง ด้วยเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ทูตสวรรค์ประจำของเขาเฝ้าอยู่เสมอ ต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์” (มธ. ๑๘:๑-๑๐)

ตั้งแต่เด็กเล็กๆ คุณมีทูตสวรรค์ประจำตัว ไม่มีข้อพระคัมภีร์ใดกล่าวว่า เมื่อคุณโตขึ้น เขาก็จากคุณไป
โดยที่คุณไม่รู้ตัวหรือจำไม่ได้ เขาอาจเคยช่วยคุณให้พ้นจากอุบัติเหตุร้ายแรงมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
พวกเขาดูแลเอาใจใส่คุณอย่างใกล้ชิดจนคุณอาจเคยพบเขาโดยไม่รู้ตัว พระคัมภีร์กล่าวว่า “อย่าละเลยที่จะต้อนรับแขกแปลกหน้า เพราะว่าโดยการกระทำเช่นนั้น บางคนก็ได้ต้อนรับทูตสวรรค์โดยไม่รู้ตัว” (ฮบ. ๑๓:๒)

ทราบเช่นนี้แล้วคุณอาจรู้สึกอยากแสดงความซาบซึ้งออกมา แต่อย่างไรก็ตาม เราไม่กราบไว้ทูตสวรรค์ เราไม่อธิษฐานถึงทูตสวรรค์ เราไม่ปั้นรูปทูตสวรรค์ เราไม่ทูลขอพระเจ้าให้ทูตสวรรค์มาปรากฏ การหมกมุ่นที่จะเห็นทูตสวรรค์เป็นเหตุให้บางคนเห็นมารที่ปลอมเป็นทูตแห่งความสว่าง (๒ คร. ๑๑:๑๔)

บางคนเข้าใจว่าในหนังสือกิจการ ทูตสวรรค์ปรากฏกับทุกคน ทุกวัน แต่นั่นไม่ใช่ความจริง เพราะทูตสวรรค์ปรากฏกับน้อยคน และอย่างมากคือ หนึ่งหรือสองครั้งในชีวิตของผู้นั้น โดยเฉพาะจะปรากฏเมื่อพวกเขากำลังติดคุก เจอภัยพิบัติ เราไม่สามารถขอให้พระเจ้าทำสิ่งที่พระองค์ไม่เคยสัญญาในพระคัมภีร์ได้ พระองค์ไม่เคยสัญญาว่าทุกคนสามารถขอให้เห็นทูตสวรรค์ได้ สิ่งแปลกๆ เกิดขึ้นเพราะคนทิ้งพระวจนะไปแสวงหาประสบการณ์นอกพระวจนะ
คุณสามารถแสดงความซาบซึ้งได้โดยขอบพระคุณพระเจ้า และยำเกรงพระองค์

การดำเนินชีวิตอย่างไร้ความยำเกรงพระเจ้า ไม่เชื่อฟัง ไปในที่ๆ ไม่ควรไป ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ คุณกำลังออกนอกการปกป้องคุ้มครอง

ตัดสินวันนี้ที่จะยำเกรงพระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ส่งใช้ทูตสวรรค์ประจำตัวคุณคอยปกป้องและปรนนิบัติคุณ คุณจะพ้นจากการดำเนินชีวิตด้วยความกลัว คุณจะปิดประตูไม่ให้มารฉวยโอกาสคุณได้โดยผ่านความกลัว การดำเนินชีวิตโดยปราศจากความกลัว จะทำให้ความรักและความเชื่อของคุณไม่มีอุปสรรคขัดขวาง สิ่งดีๆ จะเริ่มเกิดขึ้นในชีวิตคุณ และคุณจะมีประสบการณ์กับชีวิตครบบริบูรณ์ที่พระเยซูได้เสด็จมาเพื่อประทานแด่คุณ

คำอธิษฐานด้วยความเชื่อ: พระบิดาเจ้า ลูกขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์ทรงห่วงใยลูก เพราะทูตสวรรค์ของพระองค์ได้ตั้งค่าย ล้อมลูกผู้ที่ยำเกรงพระองค์ และช่วยลูกให้รอดจากภัยทั้งปวง ลูกสรรเสริญพระองค์ ในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

ข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/psalms/2008/06/16/entry-1

ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

"ทูตสวรรค์ทั้งปวงเป็นแต่เพียงวิญญาณผู้ปรนนิบัติ ที่พระองค์ทรงส่งไปช่วยเหลือบรรดาผู้ที่จะได้รับความรอดเป็นมรดกมิใช่หรือ" ฮีบรู 1:14

"จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่ง ด้วยเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่าบนสวรรค์ ทูตสวรรค์ประจำของเขาเฝ้าอยู่เสมอ ต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์" มัทธิว 18:10

ผมนำข้อพระคัมภีร์จากหนังสือกิจการบทที่ 23 (ฉบับไทยคิงเจมส์) มาให้อ่านกัน เพราะมีผู้อ้างว่าเป็นผู้รับใช้พระเจ้าบอกให้เลิกพูดเรื่องทูตสวรรค์ และยังกล่าวหาว่าไม่ถูกต้อง โดยส่งจดหมายไม่ลงชื่อผู้ส่งมาให้ เป็นทัศนะที่ค่อนข้างเจาะจงไปถึงบุคคลผู้หนึ่งโดยใช้คำว่า "ผู้ที่สนับสนุนหนังสือเล่มนี้"

ลองอ่านพระคัมภีร์บทนี้ดูก็จะรู้ว่าทัศนะที่แตกต่างนั้นมาจากความเชื่อดั้งเดิมของแต่ละกลุ่มเช่น "สะดูสี" และ "ฟาริสี" ดังนั้น จดหมายนี้จงเป็นเพียงความคิดแบบสะดูสีที่ไม่เห็นด้วยเท่านั้น ผมเองกล้ายืนยันว่าการศึกษาในเชิงประวัติศาสตร์และข้อมูลดั้งเดิม และภาษาเดิมอย่างฮีบรูเป็นเรื่องที่ทำการศึกษาด้วยตนเองและเข้าใจได้ ไม่ใช่เรื่องความเชื่อเพียงอย่างเดียว แต่เรื่องภาษาและการแปลเป็นเรื่องของการสื่อสารเฉพาะถิ่น มีหรือไม่มีเป็นเรื่องระดับความรู้ของผู้ศึกษาและทัศนะที่มีหรือไม่มีอคติ..

เปาโลต่อหน้าสภา
1 ฝ่ายเปาโลจึงเพ่งดูพวกสมาชิกสภาแล้วกล่าวว่า "ท่านพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้ประพฤติต่อพระพักตร์พระเจ้าล้วนแต่ตามใจวินิจฉัยผิดชอบอันดีจนถึงทุกวันนี้"

2 อานาเนียผู้เป็นมหาปุโรหิตจึงสั่งคนที่ยืนอยู่ใกล้ให้ตบปากเปาโล

3 เปาโลจึงกล่าวแก่ท่านว่า "พระเจ้าจะทรงตบเจ้า ผู้เป็นผนังที่ฉาบด้วยปูนขาว เจ้านั่งพิพากษาข้าตามพระราชบัญญัติ และยังสั่งให้เขาตบข้าซึ่งเป็นการผิดพระราชบัญญัติหรือ"

4 คนทั้งหลายที่ยืนอยู่ที่นั่นจึงถามว่า "เจ้าพูดหยาบคายต่อมหาปุโรหิตของพระเจ้าหรือ"

5 เปาโลจึงตอบว่า "พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านเป็นมหาปุโรหิต ด้วยมีคำเขียนไว้แล้วว่า `อย่าพูดหยาบช้าต่อผู้ปกครองชนชาติของเจ้าเลย'"

6 ครั้นเปาโลเห็นว่า ผู้ที่อยู่ในประชุมสภานั้นเป็นพวกสะดูสีส่วนหนึ่งและพวกฟาริสีส่วนหนึ่ง ท่านจึงร้องขึ้นต่อหน้าที่ประชุมว่า "ท่านพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าเป็นพวกฟาริสีและเป็นบุตรชายของพวกฟาริสี ที่ข้าพเจ้าถูกพิจารณาพิพากษานี้ก็เพราะเรื่องความหวังว่า มีการเป็นขึ้นมาจากความตาย"

7 เมื่อท่านกล่าวอย่างนั้นแล้ว พวกฟาริสีกับพวกสะดูสีก็เกิดเถียงกันขึ้น และที่ประชุมก็แตกเป็นสองพวก

8 ด้วยพวกสะดูสีถือว่า การที่เป็นขึ้นมาจากความตายนั้นไม่มีและทูตสวรรค์หรือวิญญาณก็ไม่มี แต่พวกฟาริสีถือว่ามีทั้งนั้น

เปาโลก่อให้เกิดการแตกแยกในพวกฟาริสีและพวกสะดูสี
9 แล้วก็อื้ออึงเกิดโกลาหล และพวกธรรมาจารย์บางคนที่อยู่ฝ่ายพวกฟาริสีก็ลุกขึ้นเถียงว่า "เราไม่เห็นว่าคนนี้มีความผิดอะไร ถ้าวิญญาณก็ดีหรือทูตสวรรค์ก็ดีได้พูดกับเขา พวกเราอย่าต่อสู้กับพระเจ้าเลย"

10 เมื่อการโต้เถียงกันรุนแรงขึ้น นายพันกลัวว่าเขาจะยื้อแย่งจับเปาโลฉีกเสีย ท่านจึงสั่งพวกทหารให้ลงไปรับเปาโลออกจากหมู่พวกนั้นพาเข้าไปไว้ในกรมทหาร

(ขอให้ผู้อ้างตนอย่าเอาประเด็นทางคจ.ของท่านมาต่อสู้งานของพระเจ้าเลยครับ)

วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2552

คำพยานจากคุณอานนท์ผู้พบทูตสวรรค์ที่โรงพยาบาล

คุณอานนท์เป็นคุณพ่อของโยเซฟ ซึ่งเคยลงเรื่องของเขาไปแล้ว ในเช้าวันนี้ซึ่งเป็นอาทิตย์ ได้พบกับเขา จึงฉวยโอกาสให้เขาเล่ารื่องที่พบทูตสวรรค์ให้ฟัง ซึ่งเขาเองไม่เคยรู้มาก่อนว่าสิ่งที่พบคือทูตสวรรค์ ยังนึกว่าเขาต้องตายแน่ๆ ตอนที่นอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล และนึกว่าผู้ที่มานั้นคือผู้ที่มารับวิญญาณของเขา

วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2552

ทูตสวรรค์กับการรับขึ้นไป Rapture



กิจการ 1:10-11
..มีสองคนสวมเสื้อขาวมายืนอยู่ข้างๆ เขา สองคนนั้นกล่าวว่า
“ชาวกาลิลีเอ๋ย เหตุไฉนท่านจึงเขม้นดูฟ้าสวรรค์ พระเยซูองค์นี้ซึ่งทรงรับไปจากท่านขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกเหมือนอย่างที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น”

1 เธสะโลนิกา 4:17-18
...หลังจากนั้นเราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่ จะถูกรับขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น และจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละ เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์ เหตุฉะนั้นจงปลอบใจกันด้วยถ้อยคำเหล่านี้เถิด

มัทธิว 24:31
“..พระองค์ทรงใช้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ มาด้วยเสียงแตรอันดังยิ่งนัก ให้รวบรวมคนทั้งปวงที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้แล้ว ทั้งสี่ทิศนั้น ตั้งแต่ที่สุดฟ้าข้างนี้จนถึงที่สุดฟ้าข้างโน้น ...”

การเป็นขึ้นมาจากความตายกับท่าทีอัครทูต

บทเรียนจากหนังสือลูกา บทที่ 24
•แต่พวกอัครทูตไม่เชื่อ เห็นว่าเป็นคำเหลวไหล (ข้อ 11)
•พวกเขาต่างตื่นตกใจหวาดกลัวคิดว่าเห็นผี (ข้อ 37)
•พวกเขายังไม่ค่อยเชื่อ เพราะเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างเหลือเชื่อ (ข้อ 41)
เรื่องทูตสวรรค์ก็เหมือนกัน อาจารย์บางท่านมาต่อต้านและหวาดกลัวเพราะคิดว่าเป็นเรื่องของลัทธิเทียมเท็จทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ฟังรายละเอียดชัดๆ
...พวกธรรมาจารย์บางคนที่อยู่ฝ่ายพวกฟาริสีก็ลุกขึ้นเถียงว่า “เราไม่เห็นว่าคนนี้มีความผิดอะไร ถ้าวิญญาณก็ดีหรือทูตสวรรค์ก็ดี ได้พูดกับเขา พวกเราอย่าต่อสู้กับพระเจ้าเลย” กิจการ 23:9

แบ่งระดับเพื่อฝึกขอความช่วยเหลือ

A. เริ่มต้น (มี 18 องค์)
1. เมื่อรู้สึกผิด
2. เอาผลร้ายในตัวตนออก
4. ความคิดในแง่ลบ
8. ลบล้างสิ่งที่ไม่ดีออกไป
11. กำจัดสิ่งที่ไม่ดีออกไป
16. รู้สึกจิตใจห่อเหี่ยว
17. อิสระ (เสรีภาพ)
20. ต่อสู้กับนิสัยไม่ดี
28. กำลังใจ
29. ทำดีแล้วไม่ได้ดี (เจ็บใจ)
32. ขี้ลืม (ขอความจำ)
36. เอาชนะความกลัว
47. ต้องการความสงบ (จิตใจ)
51. ต้องการลบอดีต (ที่อยากลืม)
58. ปลดปล่อยตัวเองจากอดีต
59. จนตรอก
70. เจอเรื่องซวย
72. ลบอดีต (ที่เป็นความบาป/กลับใจใหม่)

B. เพิ่มเติม (มี 11 องค์)
5. บำบัดภายใน (รักษา)
14. ขับไล่ความมืดมิด
21. เผื่อผู้ป่วย (วางมือ)
23. เป็นพยาน
26. รู้สาเหตุความวุ่นวาย
33. รู้ทัน (ความกระจ่าง)
38. แบ่งปันประสบการณ์
40. ความสงบในจิตใจ
46. การตัดสินใจ (แบบมั่นใจ)
60. ผ่านความลำบาก
61. การรักษา (แบบถาวร)

C. เข้มแข็ง (มี 7 องค์)
7. เติบโตฝ่ายจิตวิญญาณ
12. มีน้ำใจ (ช่วยทุกคน)
13. มีแนวคิดดีๆ
15. มีวิสัยทัศน์
18. ความอุดมสมบูรณ์
35. มอบกำลังใจให้เพื่อน
68. ปิ๊ง!

D. แกร่ง (มี 22 องค์)
3. การอัศจรรย์
9. ติดต่อกับองค์อื่นๆ*
10. ผูกมัดงานของมาร
19. สายตรงถึงพระเจ้า*
22. นำนมัสการ
24. การคืนดี
25. กล้าบอกความจริง
34. รู้บางอย่าง (ลางสังหรณ์)
37. รู้ผลที่ทำล่วงหน้า
39. ความสำเร็จ
42. ดึงความสามารถออกมา
43. อยู่เหนือเวรกรรม
44. ทบทวนเหตุการณ์
45. เมื่อถูกตรวจสอบ
48. ผ่านการทดสอบ (จิตวิญญาณ)
49. ความแข็งแกร่ง (จิตวิญญาณ)
50. ไม่วอกแวก (ตรงเป้าหมาย)
52. มีไฟ
53. แรงจูงใจ (บันดาลใจ)
55. ติดต่อกับสวรรค์ (คำสั่ง)
56. เป็นที่จูงใจคน
64. เป็นที่หนึ่ง

E. ถ่ายทอด (มี 4 องค์)
31. เมื่อต้องถ่ายทอดความรู้
54. ตัดสินลงโทษ (ขั้นเด็ดขาด)
57. คำแนะนำชัดๆ ว่าต้องทำอะไร
62. เมื่อต้องสอนเด็ก (ลูก)

F. โปร (มี 7 องค์)
6. ความใฝ่ฝันเป็นจริง
63. ขอบพระคุณทุกกรณี
65. รู้ถึงพรสวรรค์คนอื่น
66. ไม่อาฆาตพยาบาท
67. ควบคุมเวลา/เดี๋ยวนี้
69. รู้แจ้ง (ตรัสรู้)
71. พยากรณ์

G. พิเศษ* (มี 3 องค์)
27. ปกป้องที่มาของรายได้ทุกทาง
30. ทวงเงิน
41. เงินฝืด (รักษาสุขภาพ / มิตรภาพกลับคืน)

การอธิษฐานขอทูตสวรรค์มาช่วย

วิธีการง่ายๆ ไม่ได้ซับซ้อนอะไร นั่นก็คือการอธิษฐานตามอย่างพระเยซู

ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้สถิตในสวรรค์
ขอให้พระนามของพระองค์ เป็นที่เคารพสักการะ
ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์
ในสวรรค์เป็นอย่างไร ก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก
(มัทธิว 6:8-9)
แล้วตามด้วย..
เพราะมีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า..
ข้าพระองค์วางใจในพระองค์ได้ เพราะ “พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์..” (สดุดี 31:14)
จึงขอทูตสวรรค์ของพระองค์ “เนลาชาเอล” (ผู้เป็นเทวบัลลังก์ ทูตสวรรค์ลำดับที่ 21)
นำคำอธิษฐานนี้สู่บัลลังก์ของพระองค์ ผู้เป็นเจ้าของทุกสรรพสิ่ง
ขอการทำลายกิจการของมาร ที่เป็นต้นตอของการป่วยไข้ทั้งปวง
ขอโดยพระนามที่เหนือกว่านามทั้งปวง พระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน
สามารถใช้วิธีนี้กับทูตสวรรค์ทุกลำดับตั้งแต่ 1-72
สาเหตุที่ใช้วิธีนี้ก็เพราะนำมาจากตอนที่พระเยซูถูกทดลองโดยมาร
ดูบทเรียนจากหนังสือมัทธิว บทที่ 4
พระเยซูตอบโต้กับมารด้วยการกล่าวว่า “.. มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า..” 3 ครั้ง
“..แล้วมารจึงละพระองค์ไป และมีเหล่าทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์..” มัทธิว 4:11
จุดสังเกตคือหลังจากใช้ข้อพระคัมภีร์แล้ว มารจะไป และทูตสวรรค์มาปรนนิบัติ

วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2552

ฝรั่งนิวซีแลนด์ในไทยเจอทูตสวรรค์

คุณกาย ได้พบกับทูตสวรรค์

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมไปงานเปิดคริสตจักรที่อุทัยธานี ได้พบฝรั่งคนหนึ่งชื่อ "กาย" แต่งงานกับคนไทย และได้ย้ายมาอาศัยอยู่ที่อุทัย มีช่วงหนึ่งที่เขาเพี้ยนๆ ไป (อย่างกับผีเข้า) และผู้รับใช้พระเจ้าได้อธิษฐานเผื่อเขา อาการเพี้ยนของเขาดีขึ้น

ต่อมาเขาเล่าให้อาจารย์ที่อธิษฐานเผื่อเขาฟังว่า มีคนหนึ่งชื่อไมเคิลมาบอกกับเขาเรื่องหนึ่ง

อาจารย์จึงถามว่า "ไมเคิลสะกดยังไง" เขาก็ตอบ จึงทราบว่านั่นคือ "มีคาเอล" ทูตสวรรค์ของพระเจ้า

ผมได้เจอกับเขาและถามถึงเรื่องนี้ เขาก็เล่าว่าคนที่ชื่อนี้ขู่เขาว่า "ถ้าเขาทำผิดอีก จะต้องถูกกัด" (คุณกายพูดภาษาไทยได้ชัดเจนมาก และเล่าเป็นภาษาไทย)

ซึ่งสรุปได้ว่า คุณกายเป็นคนหนึ่งที่มีโอกาสได้พบทูตสวรรค์ของพระเจ้าในรูปแบบของเสียง

วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2552

ค่ายเป็นของพระองค์ที่สุรินทร์ 6-9 เมษา 09


ผมมีโอกาสไปบรรยายเรื่องโลกร้อนที่ค่ายของกลุ่มคริสตจักรอิมมานูเอล (Immanuel Christian Association in Thailand) ที่ จ.สุรินทร์ สถานที่อยู่ที่อ่างเก็บน้ำห้วยเสนง

บรรยากาศในงานเป็นกันเอง ได้พระพรถ้วนหน้า สิ่งที่ผู้เข้าค่ายได้รับคือ มีนักเทศน์ถึง 3 คนในค่ายเดียว


  • ช่วงเช้าเป็น อ.ฟรานซิส จากเคนย่า
  • ช่วงสาย คือผมเอง บรรยายเรื่องโลกร้อน, การฝังชิพในมนุษย์ (666), ทูตสวรรค์ประจำตัว และพระวิหารหลังที่ 3

  • ช่วงค่ำ เป็นเทศนาฟื้นฟู โดยอ.โกวิท
อ่างเก็บน้ำที่นี่สามารถเล่นน้ำได้ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดสุรินทร์ด้วย

วันเสาร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2552

เรื่องทูตสวรรค์ประจำตัว กับลัทธินิวเอจ


มีหลายครั้งที่ผมพูดเรื่องทูตสวรรค์ประจำตัวให้หลายคนที่รู้จักฟัง มักจะมีปฏิกิริยา 2 แบบ

  • แบบที่ 1 คือ ฟังอย่างตื่นเต้น และสนใจ ทั้งคนที่เชื่อในพระเจ้า และยังไม่เป็นคริสเตียน โดยมีท่าทีที่ยอมรับ และอยากศึกษา พร้อมกับทึ่งในข้อมูล

  • แบบที่ 2 มองว่าเกี่ยวข้องกับลัทธินิวเอจ ซึ่งผมเองก็งงๆ ว่า คนเหล่านี้ไปเอาความรู้เรื่องนิวเอจมาจากไหน เป็นยังไง แม้ผมเองจะศึกษาเรื่องนิวเอจบ้างแต่ไม่ลึกซึ้งนัก คนที่ว่าเป็นนิวเอจมองว่าเป็นเรื่องหมอดูทันที ทั้งๆ ที่ผมพยายามอธิบายว่า สิ่งที่แนะนำนี้มาจากความเชื่อแบบยิว และตามพระคัมภีร์ แต่คนเหล่านี้กลับต่อต้าน ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ศึกษาหาความจริง และที่สำคัญ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เรื่อง ทูตสวรรค์ประจำตัว มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์มัทธิว บทที่ 18 ข้อ 10 "จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่ง เพราะเราขอบอกท่านทั้งหลายว่า ทูตสวรรค์ของพวกเขาคอยเฝ้าอยู่เฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิต ในสวรรค์เสมอ.." ซึ่งพระเยซูเป็นผู้ตรัสสอนเรื่องนี้เอง
ไพ่ทาโรต์เอาเรื่องทูตสวรรค์ไปใช้
เพราะเห็นเป็นเรื่องใกล้ตัวของพวกเขาโดยเฉพาะชาวยุโรปและอเมริกัน

เรื่องทูตสวรรค์กับนิวเอจ มักจะเกี่ยวข้องกับไพ่ทาโรต์ การดูคำพยากรณ์ถึงอนาคต มีการดัดแปลงให้เข้ากับพระคัมภีร์บ้าง แต่สิ่งที่ผมนำเสนอ มันคนละเรื่องกันเลย