ค้นหาข้อมูลจากบล็อกนี้

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ความเชื่อเกี่ยวกับยุคก่อนพันปีคืออะไร?

คำถาม: ความเชื่อเกี่ยวกับยุคก่อนพันปีคืออะไร?

คำตอบ: ความเชื่อเกี่ยวกับยุคก่อนพันปีคือความเชื่อที่ว่าการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์จะเกิดขึ้นก่อนอาณาจักรพันปีของพระองค์จะมาถึง และพระองค์จะทรงปกครองอาณาจักรพันปีเป็นเวลา 1,000 ปีตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้ เพื่อที่เราจะเข้าใจและตีความหมายข้อพระคัมภีร์ที่พูดเกี่ยวกับเหตุการณ์ในยุคสุดท้ายได้ มีสองประการที่เราจะต้องทำความเข้าใจเสียก่อน นั่นคือ

1. วิธีตีความหมายข้อพระคัมภีร์ที่เหมาะสม

และ 2 . ความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างชนชาติอิสราเอล (คนยิว) และ คริสตจักร (ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ทุกคน)ประการแรก วิธีตีความหมายของพระคัมภีร์ที่ถูกต้อง คือ ข้อพระคัมภีร์จะต้องถูกตีความหมายตรงกับท้องเรื่อง นั้นหมายความว่าข้อพระคัมภีร์จะต้องถูกตีความหมายตามความเข้าใจของผู้ที่พระคัมภีร์ข้อนั้นเขียนถึง, และเขียนเกี่ยวกับ, ใครเป็นผู้เขียน เป็นต้น มันเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องรู้ว่าผู้เขียนเป็นใคร, เขาเขียนถึงใคร, และประวัติศาสตร์เบื้องหลังข้อพระคัมภีร์นั้นเป็นอย่างไร

มีหลายครั้งที่ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่อยู่เบื้องหลังจะเปิดเผยความหมายที่ถูกต้องของข้อพระคัมภีร์นั้นเอง เรื่องสำคัญอีกประการหนึ่งที่เราจะต้องจำไว้คือข้อพระคัมภีร์จะตีความหมายข้อพระคัมภีร์ด้วยกันเอง นั่นคือ, มีหลายครั้งที่ข้อความในตอนหนึ่งจะคลุมไปถึงหัวข้อหรือเรื่องราวเดียวกันในอีกตอนหนึ่ง ที่สำคัญคือเราจะต้องตีความหมายข้อพระคัมภีร์ทุกตอนเหล่านั้นให้ตรงกันด้วยท้ายที่สุด และสำคัญที่สุด คือ ข้อพระคัมภีร์ต่าง ๆ จะต้องถูกตีความหมายอย่างธรรมดา, สม่ำเสมอ, เรียบง่าย และตรงตามที่เขียน นอกจากว่าข้อความนั้นจะเป็นคำอุปมาเท่านั้น การตีความหมายตรงตามตัวอักษรไม่ได้หมายความว่าเราจะใช้คำเปรียบเทียบไม่ได้ อันที่จริงแล้วคำเปรียบเทียบช่วยไม่ให้ผู้ตีความหมายแปลเนื้อความของคำอุปมาว่าเป็นความหมายของข้อพระคัมภีร์ นอกจากว่ามันจะเหมาะสมสำหรับท้องเรื่องเท่านั้น ที่สำคัญคือผู้แปลจะต้องไม่พยายามค้นหาความหมายที่ “ลึกขึ้น, หรือเกี่ยวกับฝ่ายวิญญาณมากขึ้น” เกินกว่าที่ข้อพระคัมภีร์เองได้กล่าวไว้

การตีความหมายแบบนั้นเป็นเรื่องอันตราย เพราะมันจะทำให้ผู้อ่านมัวแต่คิดถึงมาตรฐานการตีความหมายที่ถูกต้องแทนที่จะคิดถึงข้อพระคัมภีร์เอง และมันจะทำให้การตีความหมายไม่มีเป้าหมายที่ได้มาตรฐาน อีกทั้งยังทำให้ผู้ตีความหมายแปลความหมายข้อพระคัมภีร์ตามใจตัวเองด้วย ข้อพระคัมภีร์ 2 เปโตร 1:20-21 เตือนเราว่า “…: คือผู้หนึ่งผู้ใดจะตีความหมายคำของผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เอาเองไม่ได้ เพราะว่าคำของผู้เผยพระวจนะนั้น ไม่ได้มาจากความคิดในจิตใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ได้กล่าวคำซึ่งมาจากพระเจ้า ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงดลใจเขา”เมื่อนำหลักการนี้มาใช้ เราจะเห็นว่าคนอิสราเอล (ลูกหลานโดยตรงของอับราฮัม) และคริสตจักร (ผู้เชื่อทุกคน) เป็นคนสองกลุ่มที่แตกต่างกัน

ที่สำคัญคือเราจะต้องรับรู้และเข้าใจว่าคนอิสราเอลและคริสตจักรเป็นกลุ่มคนคนละกลุ่ม เพราะหากมีการเข้าใจผิด ข้อพระคัมภีร์ก็จะต้องถูกตีความหมายผิดไปด้วย โดยเฉพาะข้อพระคัมภีร์ที่พูดถึงพระสัญญาที่พระเจ้าทรงให้ไว้กับคนอิสราเอล (ทั้งที่สำเร็จลงแล้วและยังไม่สำเร็จ) ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะถูกตีความหมายผิดอยู่แล้วหากผู้ตีความหมายพยายามที่จะแปลให้มันเข้ากับคริสตจักร หรือเข้ากับคนอิสราเอล จงจำไว้ว่าข้อความในบริบทนั้น ๆ จะเป็นตัวตัดสินเองว่าข้อความนั้นเขียนถึงใคร และมันจะบอกเองว่าการตีความหมายที่ถูกต้องควรมีทิศทางไปทางไหน!เมื่อเข้าใจแล้ว

เราจะมาดูกันที่ข้อพระคัมภีร์หลาย ๆ ข้อที่พูดเกี่ยวกับยุคก่อนพันปี
ให้เราเริ่มต้นกันที่หนังสือปฐมกาลบทที่ 12 ข้อ 1-3 “พระเจ้าตรัสแก่อับรามแล้วว่า "เจ้าจงออกจากเมือง จากญาติพี่น้อง จากบ้านบิดาของเจ้า ไปยังแผ่นดินที่เราจะบอกให้เจ้ารู้ เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ เราจะอวยพรแก่เจ้า ทำให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โตเลื่องลือไปแล้วเจ้าจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับพร เราจะอำนวยพรแก่คนที่อวยพรเจ้า เราจะสาปคนที่แช่งเจ้า บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า"

ในที่นี้พระเจ้าทรงสัญญากับอับราฮัมไว้สามประการ คือ อับราฮัมจะมีลูกหลานมากมาย, ประชาชาติของเขาจะเป็นเจ้าของและเข้าครอบครองแผ่นดินหนึ่ง และพระพรจะมาถึงคนทั่วแผ่นดินโลกเพราะพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม (คนยิว) ในหนังสือปฐมกาล 15:9-17 พระเจ้าทรงยืนยันพระสัญญากับอับราฮัม วิธีของพระองค์คือ พระเจ้าทรงรับผิดชอบพระสัญญาทั้งหมด นั่นคือไม่มีอะไรที่อับราฮัมจะทำได้หรือไม่ได้เพื่อให้พระสัญญาเป็นโมฆะ และในข้อพระคัมภีร์นี้พระเจ้าได้ทรงกำหนดขอบเขตของดินแดนที่คนยิวจะได้เข้าครอบครองเอาไว้

สำหรับรายละเอียดของขอบเขตของดินแดนผืนนั้น จงดูหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติข้อ 34 ส่วนข้อพระคัมภีร์อื่น ๆ ที่พูดถึงดินแดนแห่งพันธสัญญา จงดู เฉลยธรรมบัญญัติ 30:3-5 และ เอเสเคียล 20:42-44หนังสือ 2 ซามูเอลบทที่ 7 พูดเกี่ยวกับการครอบครองของพระคริสต์ในระหว่างยุคพันปี

หนังสือ 2 ซามูเอล ข้อ 11-17 บันทึกพระสัญญาที่พระเจ้าได้ทรงกระทำกับกษัตริย์ดาวิด ที่นี่พระเจ้าทรงสัญญาว่าดาวิดจะมีพงศ์พันธุ์มากมาย และจากพงศ์พันธุ์นี้พระเจ้าจะทรงสถาปนาอาณาจักรนิรันดร์ขึ้น พระสัญญานี้หมายถึงการครอบครองของพระคริสต์ในระหว่างช่วงพันปีและตลอดไป ที่สำคัญคือเราจะต้องจำไว้ว่าพระสัญญานี้จะเกิดขึ้นจริงแต่มันยังไม่เกิดขึ้นเท่านั้น

บางคนเชื่อว่าการครอบครองของกษัตริย์โซโลมอนคือพระสัญญาที่สำเร็จลง แต่ความเชื่อนี้มีปัญหาว่าอาณาจักรที่กษัตริย์โซโลมอนเคยทรงครอบครองนั้นไม่ได้เป็นของคนอิสราเอลในปัจจุบัน และกษัตริย์โซโลมอนก็ไม่ได้ทรงครอบครองคนอิสราเอลในขณะนี้เช่นกัน!

จงจำไว้ว่าพระเจ้าทรงสัญญากับอับราฮัมว่าพงพันธุ์ของท่านจะได้ครอบครองแผ่นดินหนึ่งตลอดไป แต่พระสัญญานี้ยังไม่ได้เกิดขึ้น และหนังสือ 2 ซามูเอล 7 บอกว่าพระเจ้าจะสถาปนากษัตริย์ผู้ที่จะทรงครอบครองชั่วนิรันดร์ ดังนั้นกษัตริย์โซโลมอนจึงไม่น่าจะใช่ผู้ที่ทำให้พระสัญญาที่พระเจ้าทรงให้ไว้กับกษัตริย์ดาวิดสำเร็จลง ดังนั้นพระสัญญาข้อนี้ยังคงรอคอยเวลาที่จะสำเร็จลงอยู่!

เมื่อเราจำเรื่องทั้งหมดนี้ได้แล้ว ให้เราดูว่าหนังสือวิวรณ์ 20:1-7 บันทึกอะไรไว้บ้าง “แล้วข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ ท่านถือลูกกุญแจของบาดาลนั้น และถือโซ่ใหญ่ และท่านได้จับพญานาคซึ่งเป็นงูดึกดำบรรพ์ ผู้ซึ่งเป็นพญามารและซาตานและมัดมันไว้พันปี แล้วทิ้งมันลงไปในบาดาลนั้น แล้วได้ลั่นกุญแจประทับตรา เพื่อไม่ให้มันล่อลวงบรรดาประชาชนได้อีกต่อไป จนครบกำหนดพันปีแล้วจึงจะต้องปล่อยมันออกไปชั่วขณะหนึ่ง ข้าพเจ้าได้เห็นบัลลังก์หลายบัลลังก์ และผู้ที่นั่งบนบัลลังก์นั้น เป็นผู้ที่จะพิพากษา และข้าพเจ้ายังได้เห็นดวงวิญญาณของคนทั้งปวงที่ถูกตัดศีรษะ เพราะเป็นพยานของพระเยซู และเพราะพระวจนะของพระเจ้า และเป็นผู้ที่ไม่ได้บูชาสัตว์ร้ายนั้นหรือรูปของมัน และไม่ได้ติดเครื่องหมายของมันไว้ที่หน้าผากหรือที่มือของเขา คนเหล่านั้นกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่ และได้ครอบครองร่วมกับพระคริสต์เป็นเวลาพันปี นอกจากคนเหล่านี้คนอื่นๆ ที่ตายแล้วไม่ได้กลับมีชีวิตอีกจนกว่าจะครบกำหนดพันปี นี่แหละคือการฟื้นจากความตายครั้งแรก ผู้ใดที่ได้มีส่วนในการฟื้นจากความตายครั้งแรกก็เป็นสุขและบริสุทธิ์ ความตายครั้งที่สองจะไม่มีอำนาจเหนือคนเหล่านั้น แต่เขาจะเป็นปุโรหิตของพระเจ้าและของพระคริสต์ และจะครอบครองร่วมกับพระองค์ตลอดเวลาพันปี ครั้นพันปีล่วงไปแล้ว ก็จะปล่อยซาตานออกจากคุกที่ขังมันไว้”

เวลาหนึ่งพันปีที่ข้อพระคัมภีร์วิวรณ์ 20:1-7 พูดถึงหลายครั้ง ตรงกับช่วงเวลาครองราชย์ 1000 ปีของพระคริสต์บนโลกตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้

จงนึกถึงพระสัญญาที่ทรงให้ไว้กับดาวิดเกี่ยวกับผู้ครอบครอง ที่จะต้องเกิดขึ้นแต่ยังไม่ได้เกิดขึ้นตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้ ผู้ที่เชื่อในยุคก่อนพันปีมองข้อพระคัมภีร์นี้ว่าเป็นคำอธิบายพระสัญญาที่จะสำเร็จลงในอนาคตโดยมีพระคริสต์เป็นผู้ครองครองบัลลัง พระเจ้าทรงสัญญาแบบไม่มีเงื่อนไขกับอับราฮัมและดาวิด พระสัญญาเหล่านี้ยังไม่สำเร็จบริบูรณ์หรือถาวร ทางเดียวที่พระสัญญาจะสำเร็จลงได้ คือ ได้เห็นการครองบัลลังก์ของพระคริสต์ดังที่พระคัมภีร์บันทึกไว้เท่านั้น

การนำวิธีตีความหมายตามตัวอักษรมาใช้กับข้อพระคัมภีร์ ทำให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ ของภาพปริศนาต่อเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น คำพยากรณ์ทั้งหมดในพันธสัญญาเดิมเกี่ยวกับการเสด็จมาครั้งแรกของพระคริสต์ได้เกิดขึ้นแล้วตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้

ดังนั้นเราจึงควรคาดหวังว่าคำพยากรณ์เกี่ยวกับการเสด็จมาครั้งที่สองจะสำเร็จลงเช่นกัน ความเชื่อในยุคก่อนพันปีเป็นระบบเดียวที่เห็นด้วยกับการตีความหมายตามตัวอักษรเกี่ยวกับพระสัญญาของพระเจ้าและการเผยพระวจนะเกี่ยวกับยุคสุดท้าย

ข้อมูลจาก http://www.gotquestions.org/Thai/Thai-premillennialism.html

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ยุคพันปี ที่คริสเตียนรอคอย?


เตรียมตัวให้พร้อม บ่ายวันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน 2009 รายการที่หาเรียนยากมาก ทั้งตำรา ผู้ค้นคว้า ทุกอย่างดูคลุมเครือ และห่างไกล
ความกระจ่างจะปรากฏแก่ผู้แสวงหาความจริง
ทัศนะบางอย่างของท่านอาจจะต้องเปลี่ยนไปเมื่อรู้เรื่องราวเหล่านี้
ศาสนศาสตร์ที่ไม่ได้คิดเหมาเอาเอง.. ตายแล้วไปไหน?
ก. สวรรค์
ข. ปากแดนผู้ตาย เพื่อรอวันพิพากษา
ค. เป็นขึ้นมาอีก เพื่อครอบครองพันปี
ง. ดับสูญสิ้นทุกอย่าง
จะเลือกข้อไหนดี คำตอบมีถูกเพียงข้อเดียว

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

โปรแกรมของ MGF

ในเดือนกันยายน ตุลาคม และพฤศจิกายน ปีนี้ MGF มีโปรแกรมน่าสนใจมากมาย ใครที่แวะเข้ามาเยี่ยมชมบล็อกของผมก็อย่าพลาดนะครับ เจอกันตามรายการดังต่อไปนี้




วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ผู้ขี่ม้าขาวในวิวรณ์ไม่ใช่พระเมษโปดก


หากเปลี่ยนคำว่า "ท่าน" เป็นคำว่า "มัน"
จะเห็นภาพชัดเจนว่าผู้ที่ขี่ม้าขาวไม่ใช่พระเมษโปดก แต่เป็นผู้ได้รับอนุญาต

ตารางด้านบนนี้จะทำให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้น
เพราะพระเยซูเป็นผู้ตรัสเอง (ในลูกา) และกระทำเอง (ทรงแกะตราประทับในวิวรณ์)

การตีความที่ตรงไปตรงมาอย่างชัดๆ
ทำให้สามารถนำไปใช้กับเรื่องผู้ขี่ม้าขาวในวิวรณ์ได้อย่างง่ายดาย

ในพระธรรมวิวรณ์บทที่ 6
ข้อ 1 เมื่อพระเมษโปดกทรงแกะตราดวงหนึ่งในเจ็ดดวงนั้นออกแล้ว ข้าพเจ้าก็แลเห็น และได้ยินสัตว์ตัวหนึ่งในสี่ตัวนั้นร้องเสียงดังดุจเสียงฟ้าร้องว่า "มาเถอะ"
ข้อ 2 ข้าพเจ้าก็แลเห็น และดูเถิด มีม้าขาวตัวหนึ่งออกมา และท่านที่ขี่ม้านั้นถือธนู และได้รับพระราชทานมงกุฎ แล้วท่านก็ขี่ม้าออกไปอย่างมีชัย และเพื่อได้ชัยชนะ

ในพระธรรมตอนนี้ตำราและนักวิชาการพระคัมภีร์มักจะตีความว่าคือ "พระเยซู" หรือ "คริสตศาสนา" แต่หากเราดูในข้อ 1 ดีๆ จะพบว่า "พระเมษโปดก" เป็นผู้แกะตรา และต่อมาก็มีม้าขาวออกมา หากเป็นพระองค์จริงคงเป็นเรื่องแปลกประหลาด เพราะหลังจากที่พระองค์ขี่ม้าขาวแล้วต้องกลับมาแกะตราดวงที่ 2 อีก และตราต่อๆ ไปด้วย

ดังนั้นในข้อนี้มีการตีความใหม่เกิดขึ้นจากการสัมมนาเมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา ทำให้มั่นใจได้ว่า "ผู้ขี่ม้าขาว" ไม่ใช่ "พระเมษโปดก" หรือ "พระเยซูคริสต์" อย่างแน่นอน

เหตุผลก็คือ
1. พระเยซูคงไม่แสดงบทบาทกลับไปกลับมาอย่างนี้
2. พระธรรมลูกา บทที่ 21 ข้อ 8 ได้เผยข้อข้องใจนี้
ลูกาบทที่ 21
ข้อ 8 พระองค์จึงตรัสว่า "ระวังให้ดี อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านให้หลง ด้วยว่าจะมีหลายคนมา ต่างอ้างนามของเราและว่า 'เราเป็นผู้นั้น' และว่า 'เวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว' อย่าตามเขาไปเลย
ข้อ 9 เมื่อท่านทั้งหลายจะได้ยินถึงการสงครามและการจลาจล อย่าตกใจกลัว เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นจำต้องเกิดขึ้นก่อนแต่ที่สุดปลายยังจะไม่มาทันที"
ข้อ 10 แล้วพระองค์ตรัสแก่เขาว่า "ประชาชาติต่อประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อราชอาณาจักรจะต่อสู้กัน
ข้อ 11 ทั้งจะเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ และจะเกิดกันดารอาหารและโรคภัยในที่ต่างๆ และจะมีความวิบัติอันน่ากลัว และหมายสำคัญใหญ่ๆจากฟ้าสวรรค์

3. พระธรรมเยเรมีย์บทที่ 32 ข้อ 36 ได้ยืนยันลักษณะของผู้มีชัยชนะ
ข้อ 36"เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสเกี่ยวกับเมืองนี้แก่เจ้าทั้งหลายว่า 'เมืองนี้ได้ถูกยกให้ไว้ในมือของกษัตริย์แห่งบาบิโลน ด้วยดาบ ด้วยการกันดารอาหาร และด้วยโรคระบาด'




วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ดร.ลาร์รี่ เบตส์ กับการสัมมนาครั้งแรกในกรุงเทพฯ


ดร.ลาร์รี่ เบตส์

ผู้ฟังเข้าร่วมสัมมนากว่า 100 คน ที่ Evergreen Place


เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 09 ดร.ลาร์รี่ เบตส์ นักการธนาคาร นักวิชาการ นักเขียน มาบรรยายเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจของอเมริกาที่ส่งผลกระทบกับโลกที่ Evergreen Place สถานที่แห่งใหม่ที่ใช้ในการสัมมนาของคจ. Living Streams การสัมมนาครั้งนี้ทาง MGF ได้ร่วมจัดขึ้นเป็นพิเศษสำหรับพี่น้องคริสเตียนที่เป็นนักธุรกิจ เพื่อรู้ถึงความเคลื่อนไหว และสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้เกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เอเปเนทัส โปรเจค 5 ตอน มีจำหน่ายแล้ว สั่งซื้อได้

เอเปเนทัส โปรเจค ตั้งชื่อใหม่ 5 ตอน ตามปกดังต่อไปนี้
ในแต่ละตอนมีความยาวมากกว่า 40 นาที บางตอนนานถึง 1.30 ชม.
ใครก็ตามที่ได้ชมและฟัง และนำเทคนิคไปใช้ย่อมจะเกิดผลแน่นอน

ตอนที่ 1 เจตนารมณ์ของพระคริสต์

ตอนที่ 2 เป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์


ตอนที่ 3 กล้าพูดเพื่อพระคริสต์

ตอนที่ 4 ทุ่มเทเพื่อพระคริสต์

ตอนที่ 5 เป็นสาวกของพระคริสต์

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บรรยากาศในงานอิสราเอลวาไรตี้ครั้งที่ 9

มีผู้เข้าร่วมฟังการบรรยายหนาแน่นเสมอ ที่ใจสมาน สุขุวิท ซ.6

"ทุ่มเทเพื่อพระคริสต์" เป็น 1 ใน 5
ของเนื้อหาการบรรยายเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการประกาศ

วันที่ 16 ที่ผ่านมาบรรยายเรื่อง "จากเยรูซาเล็ม สู่แดนสยาม" เป็นการบรรยายเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการประกาศแบบ "ทุ่มเทเพื่อพระคริสต์" ซึ่งเป็นตอนที่ 4 ของ เอเปเนทัส โปรเจค

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ร้านหนังสือลอยน้ำ "ดูโลส"

พาแม่และลูกชายไปเที่ยวเรือ "ดูโลส"

มุมมองกรุงเทพฯ และแม่น้ำเจ้าพระยา ถ่ายภาพจากบนเรือ

ร้านของ MGF ก็มีอยู่บนเรือด้วย ใครหาซื้อ DVD รู้ทันวันสิ้นยุคก็มาดูที่นี่ได้เลย


หากเด็กรักการอ่านหนังสือ ประเทศชาติเจริญแน่นอน

วันที่ 12 สิงหา พาแม่ไปเที่ยวเรือ "ดูโลส" ที่คลองเตยมา ใครที่ยังไม่เคยไปให้รีบๆ ซะ เพราะจะหมดเวลาแล้ว วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม เป็นวันสุดท้าย

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552

คลิปบางส่วนจากสารคดีเรื่อง "Six Degrees"


บางส่วนของสารคดีนี้กำลังแสดงถึงน้ำแข็งที่เทือกเขาหิมาลัยในอินเดียกำลังละลาย และส่งผลให้แม่น้ำคงคาเหือดแห้ง และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง โลกก็คงจะวิกฤตในไม่ช้า เพราะขาดน้ำ สงครามแย่งชิงน้ำก็คงจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้

คลิปตัวอย่าง "น้ำคือชีวิต"

ถ้าน้ำแข็งขั้วโลกจะละลายหมดในปี 2012 ตามคำพูดของนักวิทยาศาสตร์ โลกก็คงเป็นแบบคลิปตัวอย่างนี้ ส่วนหนึ่งจากหนังตัวอย่างเรื่อง "2012" และภาพถ่ายขั้วโลกเหนือที่นาซ่าถ่ายไว้ติดต่อกันถึง 30 ปี แสดงให้เราเห็นว่าน้ำแข็งกำลังลดลงอย่างน่าวิตก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งใน DVD สัมมนาเรื่อง "น้ำคือชีวิต"

คลิปบางส่วนใน Epaenatus Project


เอ่ยถึงประวัติเมืองเอเฟซัสที่เปาโลได้ไปประกาศที่นั่น และเหตุการณ์จลาจลเพราะผู้สร้างเหรียญเงินที่ระลึกเทพีอาร์เทมิสแห่งเมืองเอซัส ซึ่งปรากฏในพระคัมภีร์ในหนังสือกิจการ บทที่ 19:23-41
23 คราวนั้นเกิดการวุ่นวายมากเพราะเหตุทางนั้น
24 ด้วยมีคนหนึ่งชื่อเดเมตริอัสเป็นช่างเงิน ได้เอาเงินทำเป็นรูปพระอารเทมิส ทำให้พวกช่างเงินนั้นได้กำไรมาก

25 เดเมตริอัสจึงประชุมช่างเหล่านั้น กับคนทั้งหลายที่เป็นช่างทำการคล้ายกัน แล้วว่า "ดูก่อน ท่านทั้งหลาย ท่านทราบอยู่ว่าพวกเราได้ทรัพย์สินเงินทองมา ก็เพราะทำการอันนี้
26 และท่านทั้งหลายได้รู้เห็นอยู่ว่า ไม่ใช่เฉพาะในเมืองเอเฟซัสเมืองเดียว แต่เกือบทั่วแคว้นเอเชีย เปาโลคนนี้ได้เกลี้ยกล่อมใจคนเป็นอันมากให้เลิกทางเก่าเสีย โดยได้กล่าวว่าพระรูปที่มือมนุษย์ทำนั้นไม่ใช่พระ
27 น่ากลัวว่า ไม่ใช่แต่อาชีพของเราจะเสียไปอย่างเดียว แต่พระวิหารของพระอารเทมิส ซึ่งเป็นใหญ่จะเป็นที่หมิ่นประมาทด้วย และพระแม่เจ้านั้น ซึ่งเป็นที่นับถือของบรรดาชาวแคว้นเอเชียกับสิ้นทั้งโลกจะตกต่ำ สิ้นสง่าราศี"
28 ครั้นคนทั้งหลายได้ยินดังนั้น ต่างก็โกรธแค้นและร้องว่า "พระอารเทมิสของชาวเอเฟซัสเป็นใหญ่"
29 แล้วก็เกิดการวุ่นวายใหญ่โตทั่วทั้งเมือง เขาจึงจับกายอัสกับอาริสทารคัสชาวมาซิโดเนีย ผู้เป็นเพื่อนเดินทางของเปาโล ลากวิ่งเข้าไปในเวทีมหรสพ
30 ฝ่ายเปาโลใคร่จะเข้าไปในหมู่คนด้วย แต่พวกสาวกไม่ยอมให้ท่านเข้าไป
31 มีบางคนในพวกศาสนประธานที่ประจำแคว้นเอเชีย ซึ่งเป็นสหายของเปาโล ได้ใช้คนไปวิงวอนขอเปาโลมิให้เข้าไปในเวทีมหรสพ
32 บางคนได้ร้องว่าอย่างนี้ บางคนได้ร้องว่าอย่างนั้น เพราะว่าที่ประชุมวุ่นวายมาก และคนโดยมากไม่รู้ว่าเขาประชุมกันด้วยเรื่องอะไร
33 พวกเหล่านั้นบางคนแนะนำอเล็กซานเดอร์ ซึ่งเป็นคนที่พวกยิวให้ออกมาข้างหน้า อเล็กซานเดอร์จึงโบกมือ หมายจะกล่าวแก้แทนต่อหน้าคนทั้งปวง
34 แต่เมื่อคนทั้งหลายรู้ว่าท่านเป็นคนยิว เขาก็ยิ่งส่งเสียงร้องพร้อมกันอยู่ประมาณสองชั่วโมงว่า "พระอารเทมิสของชาวเอเฟซัสเป็นใหญ่"
35 ฝ่ายนายอำเภอเมื่อบังคับให้ประชาชนเงียบลงแล้วจึงกล่าวว่า "ดูก่อน ท่านชาวเอเฟซัสทั้งปวง มีผู้ใดบ้างซึ่งไม่ทราบว่าชาวเมืองเอเฟซัสนี้ เป็นผู้รักษาดูแลพระวิหารของพระแม่เจ้าอารเทมิสที่เป็นใหญ่ และเป็นผู้รักษารูปศิลาซึ่งตกลงมาจากฟ้า
36 เมื่อข้อนั้นจริงแล้วท่านทั้งหลายควรจะนิ่งสงบสติอารมณ์ อย่าทำอะไรวู่วามไป
37 นี่ ท่านทั้งหลายได้พาคนเหล่านี้มา ซึ่งไม่ใช่เป็นคนทำทุราจารต่อพระวิหาร หรือพูดหมิ่นประมาทพระแม่เจ้าของพวกเรา
38 เหตุฉะนั้น ถ้าแม้เดเมตริอัสกับพวกช่างที่มีอาชีพอย่างเดียวกันเป็นความกับผู้ใด วันกำหนดที่จะว่าความก็มี ผู้พิพากษาก็มี ให้เขามาฟ้องกันเถิด
39 ถ้าแม้ท่านมีข้อหาอะไรอีก ก็ให้ชำระกันในที่ประชุมสามัญ
40 ด้วยว่าน่ากลัวเราจะต้องถูกฟ้องว่าเป็นผู้ก่อการจลาจลวันนี้ เพราะเราทั้งหลายไม่อาจยกข้อใดขึ้นอ้าง เป็นมูลเหตุพอแก่การจลาจลคราวนี้ได้"
41 ครั้นกล่าวอย่างนั้นแล้ว ท่านจึงให้เลิกชุมนุม"

คลิปตัวอย่าง Epaenetus Project

คลิปหนังสำหรับใช้เป็นตัวเปิดเรื่องราวของ "Epaenetus Project" คลิกชมได้เลย

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552

DVD ชุดใหม่ "น้ำคือชีวิต"

DVD น้ำคือชีวิต จะบอกให้ท่านรู้ว่า น้ำสำคัญต่อมนุษย์
และมันกำลังลดน้อยลงไปทุกวัน

DVD ชุดนี้เป็นผลพวงของการไปบรรยายที่นครนายก ให้กับกลุ่ม อบจ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งบรรยายให้ครูอาจารย์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องฟัง เป็นการปลูกจิตสำนึกให้เรารักษ์น้ำ เพราะปริมาณในโลกมีจำนวนลดลง เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้น

ภัยแล้ง เป็นผลกระทบจากภาวะโลกร้อนด้วยเช่นกัน

ปก DVD ชุดใหม่ "Epaenetus Project"

DVD ชุดใหม่ ราคาชุดละ 400 บาท ความยาว 5 ตอนๆ ละ ประมาณ 40 นาที

เอเปเนทัส โปรเจค (Epaenetus ProJect)
นำคนไทย ให้รู้จักพระเจ้า ภายใน 2 ปี

คำกล่าวของเปาโลที่ยังคงท้าทายคริสเตียนยุคปัจจุบันให้ทำเยี่ยงเขา

เอเปเนทัส โปรเจค (Epaenetus ProJect) คือโครงการสัมมนา 5 ตอน ๆ ละ ประมาณ 40 นาที เพื่อเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจในการประกาศด้วยหัวข้อพื้นฐานอย่างง่ายๆ ดังเช่น
1. เจตนารมณ์ของพระเจ้า
2. ทายาททางความเชื่อ
3. การพูดและการฟัง
4. การทุ่มเททั้งชีวิต
5. รวมเทคนิคการประกาศ

โครงการนี้ได้เริ่มขึ้นแล้วที่ภาคเหนือที่เชียงราย และเชียงใหม่ โดยเฉพาะที่เชียงใหม่ ถูกใช้อบรมในค่ายอนุชน ผลก็คือเด็กวัยรุ่นกว่า 40 คนได้รับรู้เทคนิคและแรงบันดาลใจดังกล่าว และมีกว่า 10 คนที่ยกมือถวายตัวเพื่อเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ (มิชชั่นนารี) หลังจากนั้นพวกเขาก็จัดการประกาศและแจ้งข่าวกลับมาว่ามีผู้เชื่อใหม่ถึง 12 คน.ในการประกาศของพวกเขา

อนุชนที่เชียงใหม่เข้าค่าย HI-U CAMP 6-8 กรกฎาคมที่ผ่านมา
ได้ผ่านการอบรม “เอเปเนทัส โปรเจค” แล้ว

มูลนิธิสื่อใจไทย มองเห็นว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมคนรุ่นใหม่ให้ใส่ใจในการประกาศ จึงบันทึกเทปสัมมนาดังกล่าวและจัดทำเป็น DVD 5 ตอน ความยาวกว่า 4 ชม. เพื่อเผยแพร่โครงการดังกล่าวในรูปแบบสื่อวิดีทัศน์

เนื้อหาต่างๆ มาจากข้อพระคัมภีร์ เป็นวิธีการและประสบการณ์ของสาวกในยุคแรก จากบันทึกในยุคนั้นทำให้เรารู้ว่า คริสเตียนยุคแรกนั้นเป็นมิชชั่นนารีกันทุกคน และที่สำคัญชื่อของโครงการนี้มาจากชื่อบุคคลๆ หนึ่งที่อยู่ในพระคัมภีร์ และได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียนคนแรกในเอเชียด้วย

“และขอฝากความคิดถึงมายังคริสตจักรที่อยู่ในบ้านเขาด้วย ขอฝากความคิดถึงมายังเอเปเนทัสที่รักของข้าพเจ้า ผู้เป็นคนแรกที่เข้ามาเชื่อในพระคริสต์ในแคว้นเอเชีย” โรม 16:5

การทำงานของเปาโลได้ทำให้คนทั่วเอเชียได้ยินข่าวประเสริฐของพระเจ้า “ท่านได้กระทำอย่างนั้นสิ้น 2 ปีจนชาวแคว้นเอเชีย ทั้งพวกยิวและพวกกรีกได้ยินพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า” กิจการ 19:10

รูปศิลาซึ่งตกลงมาจากฟ้า เป็นอุกกาบาตที่ตกลงมาในเขตเมืองเอเฟซัส
ในสมัยดึกดำบรรพ์ชาวเอเฟซัสเชื่อกันว่าเป็นรูปของพระแม่อารเทมิส

“..และท่านทั้งหลายได้รู้เห็นอยู่ว่า ไม่ใช่เฉพาะในเมืองเอเฟซัสเมืองเดียว แต่เกือบทั่วแคว้นเอเชีย เปาโลคนนี้ได้เกลี้ยกล่อมใจคนเป็นอันมากให้เลิกทางเก่าเสีย โดยได้กล่าวว่าพระรูปที่มือมนุษย์ทำนั้นไม่ใช่พระ...” กิจการ 19:26

ในตอนที่ 4 ที่ชื่อว่า “การทุ่มเททั้งชีวิต” นั้น ได้กล่าวถึงการทำงานของมิชชั่นนารี 2 ท่านซึ่งเป็นชาวอเมริกันที่มาทำการประกาศในเมืองสยามเมื่อ 180 ปีที่ผ่านมานั่นคือ “หมอบรัดเลย์” (พ่อตา) และ “หมอแมคกิลวารี” (ลูกเขย) ซึ่งทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันอย่างดีเหตุเพราะ “โซเฟีย รอยส์” ลูกสาวของหมอบรัดเลย์ได้แต่งงานและยอมมาอยู่ที่เชียงใหม่ด้วย มิชชั่นนารีกลุ่มนี้ไม่เพียงแต่มาทำงานที่เมืองสยาม แต่ทั้งหมดเสียชีวิตอยู่ที่นี่ด้วย นับว่าเป็นแบบอย่างที่หาได้ยากในยุคปัจจุบัน อีกทั้งยังกล่าวถึงจุดจบของอัครสาวกทั้ง 12 คน ที่ยอมพลีชีพเพื่อการประกาศในสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก

มัทธิวเดินทางไปประกาศถึงประเทศอินเดีย
และถูกลอบสังหารโดยการถูกหอกแทงตาย

และยังกล่าวถึงการพลีชีพของชาวเชียงใหม่ 2 คน ส่งผลให้เกิดเสรีภาพในการประกาศพระกิตติคุณในยุคนั้น และส่งผลมาถึงปัจจุบันด้วย แต่จะมีคริสเตียนรุ่นใหม่สักกี่คนที่รู้ถึงเรื่องราวเหล่านี้


หลุมฝังศพของหมอบรัดเลย์ที่สุสานฝรั่งในกรุงเทพฯ

หลุมฝังศพของแมคกิลวารีที่เชียงใหม่

“ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ท่านรู้ว่าครอบครัวของสเทฟานัส เป็นคริสเตียนพวกแรกในแคว้นอาคายา และพวกเขาได้ถวายตัวไว้ในการปรนนิบัติธรรมิกชนทั้งปวง” 1 โครินธ์ 16:15

จากพระธรรมตอนนี้แสดงให้เห็นว่าคริสเตียนพวกแรกก็ถวายตัวรับใช้พระเจ้าแล้ว แสดงว่าการประกาศในยุคแรกประกาศเพื่อสร้างสาวกให้ถวายตัวรับใช้ต่อไป (แล้วทำไมประเทศของเราจึงไม่เป็นแบบนี้บ้าง?)

อยากให้คริสเตียนรุ่นใหม่ที่กำลังมองหาแรงบันดาลใจในการประกาศ ไม่พลาดจากเรื่องราวเหล่านี้


ภาพถ่ายคริสเตียนที่เชียงใหม่กลุ่มแรกๆ
และหนึ่งในนั้นคือ “หนานตา” ผู้เป็นศิษยาภิบาลคนแรกของคริสตจักรที่ 1 เชียงใหม่ด้วย
(คนที่นั่งเก้าอี้คนที่ 2 จากขวามือ)