หลายคนก็คงรู้มาบ้างว่า คนยิว ไม่กิน หมู แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ไม่เพียงแต่ไม่กินเท่านั้นแตะยังไม่ได้เลย จริงๆ ไม่ใช่แค่หมูเท่านั้นที่ห้ามกิน ยังมีอูฐ กระต่าย กระจงผา ก็ห้ามกิน รวมไปถึง นกกระจอกเทศ ตัวเงินตัวทอง นกหลา่ยชนิด หนู กิ้งก่า แย้ (คนอีสานเดือนร้อนแน่ มาอ่านเจอตรงนี้) ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นมลทิน เป็นข้อห้ามจากหนังสือ เลวีนิติ บทที่ 11
The swineherd then gave orders to his men:
‘Bring in our best pig for a stranger’s dinner. A feast will do our hearts good too; we know grief and pain, hard scrabbling with our swine, while the outsiders live on our labor.’
Bronze axe in hand, he turned to split up kindling, while they drove in a tall boar, prime and fat, planting him square before the fire. The gods, as ever, had their due in the swineherd’s thought, for he it was who tossed the forehead bristles as a first offering on the flames, calling upon the immortal gods to let Odysseus reach his home once more. Homer, Odyssey, Bk XIV
วิธีแก้มลทิน
ถ้าใครเป็นมลทินเพราะสิ่งเหล่านี้ เขาจะต้องรีบชำระตัวถ้าไม่ไปชำระตัวตามกำหนดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเพราะเขาเพิกเฉยหรือลืมเลือนไป เขาจะต้องถวายเครื่องบูชาลบล้างบาป ดู 5:2-6
แต่ที่ "หมู" กลายมาเป็นประเด็นใหญ่ เพราะ หมู ดันเป็นสัตว์มลทินที่ใช้บูชาเทพเจ้าอย่าง เทพเจ้าซุสของชาวกรีก (จริงๆ ชาวกรีกก็ใช้วัว ใช้แกะ บูชาด้วยเหมือนกัน แต่นั่นไม่ได้เป็นสัตว์มลทินจึงไม่เป็นประเด็น)
เนื้อสัตว์ที่เหลือจากการถวายบูชาแด่เทพเจ้า ถูกพัฒนาเป็นอาหารประจำถิ่นไป เยอรมันมีชื่อเสียงเรื่องการทำขาหมูเป็นอาหาร และชาติอื่นๆ ในยุโรปที่มีเมนู เนื้อหมู-PORK, เนื้อวัว-BEEF, เนื้อแกะ-LAMP ซึ่งก็อร่อยมากด้วย
(จริงๆ แม้แต่ปุโรหิตของชาวยิวก็กินเนื้อสัตว์จากการถวายบูชาแด่พระเจ้าเช่นกัน)
ในสมัยที่กรีกมาปกครองอิสราเอล มีการเอา หมู เข้าไปบูชาเทพเจ้ากรีก (เทพซุส) ในพระวิหาร คนยิวจึงทนไม่ได้ก่อกบฎ และชนะโดยมีผู้นำคือ "ยูดาส แมคคาเบียส" ต่อมากลายเป็นราชวงศ์แมคคาบีย์ ปกครองอิสราเอลอยู่พักใหญ่ ก่อนจะพ่ายแพ้และอยู่ภายใต้การปกครองของโรมัน
และในสมัยพระเยซูก็มีการเลี้ยงหมูในแถบทศบุรี หรือ Decapolis พระเยซูอนุญาตให้ผีเข้าหมู จนพวกมันตกลงหน้าผาตายไปประมาณ 2,000 ตัว (มก.5, ลก.8)
ที่มีการเลี่ยงหมูในแถบอิสราเอลด้วยเพราะอิสราเอลเป็นเมืองขึ้นกรีก-โรมันอยู่ และมีพวกนิยมกรีกยังคงใช้หมูบูชาเทพเจ้าของเขา
จนมาถึงวันนี้คนยิวจึงไม่กินหมู เหตุเพราะเป็นสัตว์มลทิน รวมไปถึงชาวมุสลิมที่มีความเชื่ออันเชื่อมต่อกัน ก็ไม่กินหมูด้วย
ที่แปลกจนชินตาก็คือประเทศไทยเรามีการนำหัวหมูมาแก้บน เชื่อมโยงกับความเชื่อเกี่ยวกับเจ้าจีน หรือเทพฝรั่งกันแน่? อันนี้กำลังสืบหาที่มา...
มาสู่ประเด็นสำคัญที่อยากจะบอกเล่า... แล้วคริสเตียนที่มาเชื่อพระเจ้าของชาวยิวโดยผ่านทางพระเยซู กินหมูได้ไหม?
ส่วนตัวของผมนั้น ผมกินเนื้อหมูครับ ในฐานะคนต่างชาติที่มาเชื่อพระเจ้า เพราะกินก่อนมาเชื่อและเรื่อยมา ไม่เคยรู้ธรรมเนียมยิว หรือธรรมบัญญัติข้อห้าม (เว้นแต่เรื่องกินเลือด ค่อยมาเล่าสู่กันฟังอีกที)
แต่พอทราบว่ามีพี่น้องคริสเตียนบางคนไม่กินหมู เพราะเขาถือตามบัญญัติในเลวีนิติ (ไม่รู้รวมถึงสัตว์มลทินทั้งหมดของเลวีนิต บทที่ 11 ด้วยหรือเปล่า) ผมก็จะไม่สั่งกินเมนูหมูในโต๊ะเดียวกัน อดไว้กินมื้ออื่นเพื่อเห็นแก่ความเชื่อของเขา
เปาโลเองก็เคยหนุนใจพี่น้องผ่านจดหมายฝาก-โรม บทที่ 14 น่าจะเป็นคำตอบของทุกท่านที่มาอ่านบทความนี้นะครับ
และพระเยซูเองก็เล่าเรื่องคำอุปมาเรื่อง บุตรน้อยหลงหาย ที่ปลายทางของเขาไปเลี้ยงหมู สุดท้ายเขาก็กลับมาหาพ่อ และได้รับการให้อภัย
ลูกา บทที่ 15 ข้อ 11 พระเยซูตรัสว่า “ชายคนหนึ่งมีบุตรสองคน 12 บุตรคนเล็กพูดกับบิดาว่า ‘พ่อ ขอแบ่งทรัพย์สินส่วนที่ตกเป็นของลูกให้ลูกด้วย’ บิดาจึงแบ่งสมบัติให้แก่บุตรทั้งสอง 13 ต่อมาไม่กี่วัน บุตรคนเล็กนั้นก็รวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างแล้วเดินทางไปยังเมืองไกล และผลาญทรัพย์สินของตนที่นั่นด้วยการใช้ชีวิตแบบฟุ่มเฟือย 14 เมื่อใช้จ่ายจนหมดสิ้นทุกอย่างแล้ว ก็เกิดกันดารอาหารอย่างรุนแรงทั่วเมืองนั้น เขาจึงเริ่มขาดแคลน 15 เขาไปอาศัยอยู่กับชาวเมืองนั้นคนหนึ่ง และคนนั้นก็ใช้เขาไปเลี้ยงหมูที่ทุ่งนา 16 เขาอยากจะอิ่มท้องด้วยฝักถั่วที่หมูกินนั้น แต่ไม่มีใครให้อะไรเขาเลย 17 เมื่อเขาสำนึกตัวได้ จึงพูดว่า ‘ลูกจ้างของพ่อไม่ว่าจะมีมากสักแค่ไหนก็ยังมีอาหารเหลือเฟือ แต่ข้ากลับต้องมาอดตายที่นี่ 18 ข้าน่าจะลุกขึ้นไปหาพ่อ และพูดกับท่านว่า “พ่อ ลูกผิดต่อสวรรค์และผิดต่อท่านด้วย 19 ไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีกต่อไป ขอโปรดให้ลูกอยู่ในฐานะของลูกจ้างคนหนึ่งของท่านเถิด” ’ 20 แล้วเขาก็ลุกขึ้นไปหาบิดา แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาก็เห็นเขาและมีใจสงสาร จึงวิ่งออกไปกอดคอและจูบแก้มของเขา 21 บุตรคนนั้นจึงกล่าวกับบิดาว่า ‘พ่อ ลูกผิดต่อสวรรค์และผิดต่อท่านด้วย ไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีกต่อไป’ 22 แต่บิดาสั่งพวกบ่าวของตนว่า ‘จงรีบไปเอาเสื้อที่ดีที่สุดออกมาสวมให้เขา เอาแหวนมาสวมที่นิ้วมือ และเอารองเท้ามาสวมให้ด้วย 23 และจงไปเอาลูกวัวตัวที่อ้วนพีมาฆ่าเลี้ยงกันเพื่อความรื่นเริง 24 เพราะว่าลูกของเราคนนี้ตายแล้วแต่กลับเป็นขึ้นอีก หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก’ พวกเขาต่างก็มีความรื่นเริง
25 “ส่วนบุตรคนโตนั้นอยู่ที่ทุ่งนา เมื่อเขากลับมาใกล้จะถึงบ้าน ก็ได้ยินเสียงดนตรีและการเต้นรำ 26 เขาจึงเรียกบ่าวคนหนึ่งมาถามว่า ‘นี่มันอะไรกัน?’ 27 บ่าวจึงตอบว่า ‘น้องของท่านกลับมาแล้ว และพ่อของท่านให้ฆ่าลูกวัวตัวที่อ้วนพีเพราะท่านได้ลูกกลับมาอย่างปลอดภัย’ 28 พี่ชายก็โกรธไม่ยอมเข้าไป บิดาจึงออกมาชวนเขา 29 แต่เขาบอกบิดาว่า ‘พ่อ ดูซิ ลูกรับใช้พ่อมากี่ปีแล้ว และไม่เคยละเมิดคำบัญชาของพ่อสักข้อหนึ่ง แต่พ่อก็ไม่เคยให้แม้แต่ลูกแพะสักตัวหนึ่งแก่ลูก เพื่อเลี้ยงฉลองกับเพื่อนฝูง 30 แต่กับลูกคนนี้ของพ่อซึ่งผลาญสมบัติของพ่อด้วยการคบกับพวกหญิงโสเภณี พ่อกลับฆ่าลูกวัวอ้วนพีเพื่อเลี้ยงมัน’ 31 บิดาจึงตอบว่า ‘ลูกเอ๋ย ลูกอยู่กับพ่อตลอดเวลา สิ่งของทั้งหมดของพ่อก็เป็นของลูกอยู่แล้ว 32 แต่นี่เป็นเรื่องสมควรที่เราจะชื่นชมยินดีและรื่นเริง เพราะน้องคนนี้ของลูกตายไปแล้วแต่กลับเป็นขึ้นอีก หายไปแล้วแต่ยังได้พบกันอีก’ ”
The swineherd then gave orders to his men:
‘Bring in our best pig for a stranger’s dinner. A feast will do our hearts good too; we know grief and pain, hard scrabbling with our swine, while the outsiders live on our labor.’
Bronze axe in hand, he turned to split up kindling, while they drove in a tall boar, prime and fat, planting him square before the fire. The gods, as ever, had their due in the swineherd’s thought, for he it was who tossed the forehead bristles as a first offering on the flames, calling upon the immortal gods to let Odysseus reach his home once more. Homer, Odyssey, Bk XIV
วิธีแก้มลทิน
ถ้าใครเป็นมลทินเพราะสิ่งเหล่านี้ เขาจะต้องรีบชำระตัวถ้าไม่ไปชำระตัวตามกำหนดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเพราะเขาเพิกเฉยหรือลืมเลือนไป เขาจะต้องถวายเครื่องบูชาลบล้างบาป ดู 5:2-6
- (5:2) หรือผู้ใดแตะต้องสิ่งที่เป็นมลทิน จะเป็นซากสัตว์ป่าที่เป็นมลทิน หรือซากสัตว์เลี้ยงที่เป็นมลทิน หรือซากสัตว์ที่เคลื่อนที่ติดพื้นดินที่เป็นมลทินโดยไม่ทันรู้ตัว เขาจึงเป็นมลทินและมีความผิด
- (5:3) ถ้าเขาแตะต้องมลทินของคน จะเป็นสิ่งใดก็ตามที่ทำให้เขาเป็นมลทินโดยไม่รู้ตัว แล้วรู้ทีหลัง เขายังคงมีความผิด
- (5:4) ถ้าคนใดเผลอตัวกล่าวคำสาบานว่าจะทำชั่วหรือดี หรือเผลอตัวกล่าวคำสาบานใดๆ โดยไม่ยั้งคิด แล้วเขานึกขึ้นได้ภายหลัง เขามีความผิดในเรื่องนั้นๆ
- (5:5) เมื่อผู้ใดมีความผิดเรื่องหนึ่งเรื่องใดตามที่กล่าวมานี้ ก็ให้เขาสารภาพบาปที่เขาได้ทำ
- (5:6) และให้เขานำเครื่องบูชาเป็นค่าปรับสำหรับบาปซึ่งเขาได้ทำนั้นมาถวายแด่พระยาห์เวห์ จะเป็นสัตว์ตัวเมียจากฝูง ลูกแกะหรือแพะก็เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปได้ โดยวิธีนี้ปุโรหิตจะลบล้างบาปของเขา
ชาวกรีกใช้ วัว แกะ หมู เชือดถวายแด่เทพเจ้าของพวกเขาด้วย |
สัตว์เหล่านี้ต่อมาก็กลายเป็นอาหารประจำถิ่นของชาวยุโรปไปในตัว |
(จริงๆ แม้แต่ปุโรหิตของชาวยิวก็กินเนื้อสัตว์จากการถวายบูชาแด่พระเจ้าเช่นกัน)
ในสมัยที่กรีกมาปกครองอิสราเอล มีการเอา หมู เข้าไปบูชาเทพเจ้ากรีก (เทพซุส) ในพระวิหาร คนยิวจึงทนไม่ได้ก่อกบฎ และชนะโดยมีผู้นำคือ "ยูดาส แมคคาเบียส" ต่อมากลายเป็นราชวงศ์แมคคาบีย์ ปกครองอิสราเอลอยู่พักใหญ่ ก่อนจะพ่ายแพ้และอยู่ภายใต้การปกครองของโรมัน
และในสมัยพระเยซูก็มีการเลี้ยงหมูในแถบทศบุรี หรือ Decapolis พระเยซูอนุญาตให้ผีเข้าหมู จนพวกมันตกลงหน้าผาตายไปประมาณ 2,000 ตัว (มก.5, ลก.8)
เดกะโบลิส Decapolis หรือ ทศบุรี คือถิ่นที่อยู่ของชนต่างชาติ และหลายคนเลี้ยงหมูขาย แม้แต่คำอุปมาของพระเยซู เรื่องบุตรน้อยหลงหาย ในช่วงท้ายของเรื่อง เขาก็ไปเลี้ยงหมู |
ที่มีการเลี่ยงหมูในแถบอิสราเอลด้วยเพราะอิสราเอลเป็นเมืองขึ้นกรีก-โรมันอยู่ และมีพวกนิยมกรีกยังคงใช้หมูบูชาเทพเจ้าของเขา
ในประเทศไทย การแก้บนมักใช้หัวหมู จนกลายเป็นสัญลักษณ์ |
บางครั้งบนเอาไว้ถึง 300 หัวเลย การแก้บนจึงเป็นอย่างที่เห็น ไม่รู้ว่าพัฒนาความเชื่อมาจากคนจีน หรือฝรั่งกันแน่ |
ที่แปลกจนชินตาก็คือประเทศไทยเรามีการนำหัวหมูมาแก้บน เชื่อมโยงกับความเชื่อเกี่ยวกับเจ้าจีน หรือเทพฝรั่งกันแน่? อันนี้กำลังสืบหาที่มา...
มาสู่ประเด็นสำคัญที่อยากจะบอกเล่า... แล้วคริสเตียนที่มาเชื่อพระเจ้าของชาวยิวโดยผ่านทางพระเยซู กินหมูได้ไหม?
ส่วนตัวของผมนั้น ผมกินเนื้อหมูครับ ในฐานะคนต่างชาติที่มาเชื่อพระเจ้า เพราะกินก่อนมาเชื่อและเรื่อยมา ไม่เคยรู้ธรรมเนียมยิว หรือธรรมบัญญัติข้อห้าม (เว้นแต่เรื่องกินเลือด ค่อยมาเล่าสู่กันฟังอีกที)
แต่พอทราบว่ามีพี่น้องคริสเตียนบางคนไม่กินหมู เพราะเขาถือตามบัญญัติในเลวีนิติ (ไม่รู้รวมถึงสัตว์มลทินทั้งหมดของเลวีนิต บทที่ 11 ด้วยหรือเปล่า) ผมก็จะไม่สั่งกินเมนูหมูในโต๊ะเดียวกัน อดไว้กินมื้ออื่นเพื่อเห็นแก่ความเชื่อของเขา
เปาโลเองก็เคยหนุนใจพี่น้องผ่านจดหมายฝาก-โรม บทที่ 14 น่าจะเป็นคำตอบของทุกท่านที่มาอ่านบทความนี้นะครับ
และพระเยซูเองก็เล่าเรื่องคำอุปมาเรื่อง บุตรน้อยหลงหาย ที่ปลายทางของเขาไปเลี้ยงหมู สุดท้ายเขาก็กลับมาหาพ่อ และได้รับการให้อภัย
การเลี้ยงหมู อยู่ในคำอุปมาของพระเยซูด้วย |
ลูกา บทที่ 15 ข้อ 11 พระเยซูตรัสว่า “ชายคนหนึ่งมีบุตรสองคน 12 บุตรคนเล็กพูดกับบิดาว่า ‘พ่อ ขอแบ่งทรัพย์สินส่วนที่ตกเป็นของลูกให้ลูกด้วย’ บิดาจึงแบ่งสมบัติให้แก่บุตรทั้งสอง 13 ต่อมาไม่กี่วัน บุตรคนเล็กนั้นก็รวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างแล้วเดินทางไปยังเมืองไกล และผลาญทรัพย์สินของตนที่นั่นด้วยการใช้ชีวิตแบบฟุ่มเฟือย 14 เมื่อใช้จ่ายจนหมดสิ้นทุกอย่างแล้ว ก็เกิดกันดารอาหารอย่างรุนแรงทั่วเมืองนั้น เขาจึงเริ่มขาดแคลน 15 เขาไปอาศัยอยู่กับชาวเมืองนั้นคนหนึ่ง และคนนั้นก็ใช้เขาไปเลี้ยงหมูที่ทุ่งนา 16 เขาอยากจะอิ่มท้องด้วยฝักถั่วที่หมูกินนั้น แต่ไม่มีใครให้อะไรเขาเลย 17 เมื่อเขาสำนึกตัวได้ จึงพูดว่า ‘ลูกจ้างของพ่อไม่ว่าจะมีมากสักแค่ไหนก็ยังมีอาหารเหลือเฟือ แต่ข้ากลับต้องมาอดตายที่นี่ 18 ข้าน่าจะลุกขึ้นไปหาพ่อ และพูดกับท่านว่า “พ่อ ลูกผิดต่อสวรรค์และผิดต่อท่านด้วย 19 ไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีกต่อไป ขอโปรดให้ลูกอยู่ในฐานะของลูกจ้างคนหนึ่งของท่านเถิด” ’ 20 แล้วเขาก็ลุกขึ้นไปหาบิดา แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาก็เห็นเขาและมีใจสงสาร จึงวิ่งออกไปกอดคอและจูบแก้มของเขา 21 บุตรคนนั้นจึงกล่าวกับบิดาว่า ‘พ่อ ลูกผิดต่อสวรรค์และผิดต่อท่านด้วย ไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีกต่อไป’ 22 แต่บิดาสั่งพวกบ่าวของตนว่า ‘จงรีบไปเอาเสื้อที่ดีที่สุดออกมาสวมให้เขา เอาแหวนมาสวมที่นิ้วมือ และเอารองเท้ามาสวมให้ด้วย 23 และจงไปเอาลูกวัวตัวที่อ้วนพีมาฆ่าเลี้ยงกันเพื่อความรื่นเริง 24 เพราะว่าลูกของเราคนนี้ตายแล้วแต่กลับเป็นขึ้นอีก หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก’ พวกเขาต่างก็มีความรื่นเริง
25 “ส่วนบุตรคนโตนั้นอยู่ที่ทุ่งนา เมื่อเขากลับมาใกล้จะถึงบ้าน ก็ได้ยินเสียงดนตรีและการเต้นรำ 26 เขาจึงเรียกบ่าวคนหนึ่งมาถามว่า ‘นี่มันอะไรกัน?’ 27 บ่าวจึงตอบว่า ‘น้องของท่านกลับมาแล้ว และพ่อของท่านให้ฆ่าลูกวัวตัวที่อ้วนพีเพราะท่านได้ลูกกลับมาอย่างปลอดภัย’ 28 พี่ชายก็โกรธไม่ยอมเข้าไป บิดาจึงออกมาชวนเขา 29 แต่เขาบอกบิดาว่า ‘พ่อ ดูซิ ลูกรับใช้พ่อมากี่ปีแล้ว และไม่เคยละเมิดคำบัญชาของพ่อสักข้อหนึ่ง แต่พ่อก็ไม่เคยให้แม้แต่ลูกแพะสักตัวหนึ่งแก่ลูก เพื่อเลี้ยงฉลองกับเพื่อนฝูง 30 แต่กับลูกคนนี้ของพ่อซึ่งผลาญสมบัติของพ่อด้วยการคบกับพวกหญิงโสเภณี พ่อกลับฆ่าลูกวัวอ้วนพีเพื่อเลี้ยงมัน’ 31 บิดาจึงตอบว่า ‘ลูกเอ๋ย ลูกอยู่กับพ่อตลอดเวลา สิ่งของทั้งหมดของพ่อก็เป็นของลูกอยู่แล้ว 32 แต่นี่เป็นเรื่องสมควรที่เราจะชื่นชมยินดีและรื่นเริง เพราะน้องคนนี้ของลูกตายไปแล้วแต่กลับเป็นขึ้นอีก หายไปแล้วแต่ยังได้พบกันอีก’ ”