ค้นหาข้อมูลจากบล็อกนี้

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559

ฤทธานุภาพ 11 ประการของพระเจ้า (เหตุและผลของภัยพิบัติในอียิปต์ในช่วงสมัยของโมเสส)

บ่อยครังที่พอพูดถึง “ภัยพิบัติ”  ในอียิปต์ เรามักจะต่อท้ายด้วยคำว่า “10 ประการ” ซึ่งถ้ามองกันตามจริงแล้วก็เป็นเช่นนั้น  แต่สิ่งซึ่งพระเจ้าได้ใช้โมเสส  และอาโรนมาสำแดงต่อหน้าฟาโรห์นั้น (สันนิษฐานตามประวัติศาสตร์ฟาโรห์องค์นี้คือ  ราเมเสสที่ 2) รวมแล้วได้ 11 ครั้งด้วยกัน  จึงขอเรียกมหกิจของพระเจ้าในครั้งนี้ว่า  “ฤทธานุภาพ 11 ประการ”  ซึ่งส่วนใหญ่เรามักจะลืมพูดถึงเหตุการณ์แรกไปเสียสนิท  คือตอนที่โมเสส  และอาโรนไปพบฟาโรห์  และทำให้ไม้เท้ากลายเป็นงู  ซึ่งจากการสันนิษฐานของนักวิชาการพบว่า งูที่สามารถกินงูอื่นได้นั้นนั่นก็คือ งูจงอาง  King Cobra  เป็นงูพิษที่มีขนาดยาวที่สุดในโลก  มีลักษณะหัวมนโต  ตัวยาว  หางเรียวสามารถแผ่แม่เบี้ยได้  อาศัยอยู่ในป่าทึบ  ออกไข่ครั้งละ 20-35 ฟอง  ออกหากินในเวลากลางวันถึงพลบค่ำ  ชอบกินงูอื่นที่เล็กกว่า

ทำไมต้อง... งู (อพย. 7:8-13)
งูเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเทพเจ้าแห่งอียิปต์  ซึ่งมีนามว่า “บูโต (Buto)”  เป็นเทวีที่ได้รับการนับถือมากมาตั้งแต่สมัยโบราณ  ถือว่ามีอำนาจมากที่สุดในบรรดาเทพต่าง ๆ แห่งอียิปต์ตอนล่าง (ภาคเหนือ) และเป็นสัญลักษณ์ด้วย  สังเกตได้จากที่หน้าผากของฟาโรห์ทุกองค์ของดินแดนตอนล่างจะทรงรัดเกล้าเป็นหน้านางพญางู
ตามตำนานเล่าว่าเป็นเทวีที่มีความเกี่ยวพันกับการช่วยเหลือเทวีไอซีส (Isis) เมื่อเธอมีบุตรคือ โฮรัส (Horus)  เทวีบูโตเอาโฮรัสลูกของไอซิสมาซ่อนไว้ที่เกาะน้อยเชมมิส (Chemmis) กลางสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ ตัวของเธอเองบางทีก็ปรากฎรูปร่างเป็นงูเห่า  บางทีก็เป็นงูมีมงกุฎและมีปีก
ดังนั้นฤทธานุภาพครั้งที่ 1 ของพระเจ้าจึงสำแดงโดยใช้ไม้เท้าของอาโรนให้กลายเป็นงู  ซึ่งก็เหนือกว่างูของพวกอียิปต์  คือโดนกินหมด
ข้อสังเกต  พวกวิทยากลของอียิปต์ก็ทำได้เช่นกัน


ทำไมต้อง ... น้ำกลายเป็นโลหิต (อพย.7:14-24)
ฤทธานุภาพครั้งที่ 2 ก็คือแม่น้ำไนล์กลายเป็นโลหิต ก็เพราะอียิปต์ได้ชื่อว่า “ของขวัญจากแม่น้ำไนล์ (Egypt is the Gift of the Nile)”  ดังนั้นแม่น้ำไนล์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของอียิปต์  ถ้าขาดแม่น้ำไนล์แล้วอียิปต์ก็คงไม่มีชื่อเสียงเท่าใดนักหรอกครับ  เพราะอียิปต์นั้นถือได้ว่าเป็นแหล่งอารยชนที่ยิ่งใหญ่  และเก่าแก่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่งก็ว่าได้
อียิปต์มีเทพผู้พิทักษ์รักษาแม่น้ำไนล์อยู่หลายองค์ด้วย  คือ
        1. ซีเบ็ค (Sebek) หรือเทพแห่งน้ำ  (god of water) มีหัวเป็นจระเข้ได้รับการยกย่องสูงสุดในสมัยราชวงศ์ที่ 12
        2. เซลเกต (Selkhet) เทวีผู้พิทักษ์แม่น้ำไนล์  มีสัญลักษณ์เป็นแมงป่อง
        3. ฮาปิ (Hapi) เทพผู้ควบคุมกระแสน้ำในแม่น้ำไนล์
        4. อนูเกท (Anuket) เทวีแห่งการยึดเหนี่ยวแม่น้ำคอยไม่ให้กระแสน้ำเซาะฝั่ง
        5. สาติ (Sati) เทวีแห่งฝายกั้นน้ำ
        6. ฮาร์ซาเฟส (Harsaphas) เทวีแห่งลำน้ำไนล์
เทพ  หรือเทวีก็มิอาจช่วยให้แม่น้ำไนล์ได้  น้ำจึงกลายเป็นเลือดด้วยฤทธานุภาพของพระเจ้า
         ข้อสังเกต  พวกวิทยากลของอียิปต์ก็ทำได้เช่นกัน

ทำไมต้อง .. กบ (อพย. 8:1-15)
เพราะชาวอียิปต์ นับถือเทวีองค์หนึ่ง  คือ เทวีเฮเกท (Heket)  ที่บางทีก็ปรากฎร่างเป็นกบทั้งตัว  แต่บางทีก็ปรากฎตัวในรูปของมนุษย์หัวเป็นกบ  ได้รับการยกย่องเป็นเทวีแห่งการพูด
แต่คราวนี้กบมารังควานฟาโรห์ และชาวอียิปต์  โดยฤทธานุภาพของพระเจ้า  หลังจากฟาโรห์ยอมครังแรกกบตายเกลื่อนบ้านเกลื่อนเมือง
ข้อสังเกต  พวกวิทยากลของอียิปต์ก็ทำได้เช่นกัน


ทำไมต้อง...ริ้น (อพย. 8:16-19)
พระเจ้าสั่งโมเสสบอกอาโรนให้เอาไม้เท้าตีฝุ่นดิน  ทำให้เกิดริ้นมาตอนคนอียิปต์  คราวนี้ตีไปที่ดิน ซึ่งมีเทพเก็บ (Geb) หรือเทพแห่งพื้นโลก (god of earth) เป็นเทพที่ดูแลอยู่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรอียิปต์  แถมพวกวิทยากลของอียิปต์ยังทูลฟาโรห์ว่า “นี่เป็นกิจการแห่งนิ้วพระหัตถ์พระเจ้า” (อพย.8:19)
ข้อสังเกต  พวกวิทยากลของอียิปต์ทำไม่ได้




ทำไมต้อง ... เหลือบ (อพย.8:20-32)
          คราวนี้อาโรน  หรือโมเสสไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะพระเจ้าบันดาลให้เกิดเหลือบขึ้นมาเอง  และยังคุมเหลือบไม่ให้มาทำร้ายคนฮีบรูที่ถูกแยกมาอยู่เมืองโกเชนได้อีกด้วย  เทพผู้สร้างที่ชาวอียิปต์นับถือว่าสร้างโลกและจักรวาลและเทพประจำเมืองคือ เทพอามอน (Amon) เทพปตาห์ (Ptah) เทพนุม (Num) ก็ไม่ได้ช่วยเหลืออะไร
ข้อสังเกต  พวกวิทยากลของอียิปต์เงียบไปเลย  ตอนนี้





ทำไมต้อง..เกิดภยกับฝูงสัตว์ของอียิปต์ (อพย.9:1-7)
เพราะชาวอียิปต์เชื่อว่ามีเทพผู้ปกป้องฝูงสัตว์ คือ เทพอาตุม หรือตุม (Atum or Tum) แปลจากรากศัพท์แปลว่า “ทำให้บริบูรณ์”  คราวนี้ฝูงสัตว์ตายหมด  ยกเว้นคนฮีบรู
ข้อสังเกต พวกวิทยากลของอียิปต์เงียบไปอีกเช่นเคย





ทำไมต้อง ..เป็นฝี (อพย.9:8-12)
พระเจ้าตรัสให้โมเสสซัดเขม่าขึ้นไปในอากาศต่อหน้าฟาโรห์ เขม่านั้นกลายเป็นฝุ่นปลิวไปทั่วอียิปต์กลายเป็นฝีแตกลามทั้งคนและสัตว์  อียิปต์มีเทพแห่งอากาศ (god of the air) ชื่อชู (Shu) คราวนี้ไม่ยักกับหยุดเขม่าช่วยอียิปต์
ข้อสังเกต  พวกวิทยากลของอียิปต์ไม่กล้าโผล่มาเพราะก็เป็นฝีเหมือนกัน





ทำไมต้อง..ลูกเห็บ (อพย.9:13-35)
“...เพื่อเจ้าจะได้รู้แน่ว่า  ทั่วโลกไม่มีผู้ใดจะเปรียบกับเราได้” (อพย.9:14) ไม่มีเทพองค์ใดของอียิปต์ช่วยพวกเขาได้เลย  โมเสสชูไม้เท้าขึ้นยังท้องฟ้า  พระเจ้าทรงบันดาลให้มีเสียงฟ้าร้อง มีลูกเห็บ และไฟตกลงมาบนแผ่นดิน ฮาร์ธอร์ (Harthor)  เทวีแห่งท้องฟ้า  ฮาโรอีรีส (Haroeris) เทพแห่งท้องฟ้า  ของอียิปต์ก็หยุดยั้งพระเจ้าไม่ได้
ข้อสังเกต  พวกวิทยากลของอียิปต์เงียบไปอีกเช่นเคย


ทำไมต้อง..ตั๊กแตน (อพย. 10:1-20)
บรรดาข้าราชการทูลฟาโรห์ว่า “คนนี้จะเป็นบ่วงแร้วดักเราไปนานเท่าใด  ขอทรงพระกรุณาปลดปล่อยคนเหล่านั้นให้ไปนมัสการพระเจ้าของเขาเถิด  พระองค์ยังไม่ทราบหรือว่าอียิปต์กำลังพินาศแล้ว” (อพย.10:7) พวกข้าราชการคงจะเหน็ดเหนื่อยกับภัยพิบัติต่าง ๆ แต่ฟาโรห์ก็ยังพระทัยแข็งกระด้าง  พระเจ้าก็บันดาลให้ลมตะวันออกพัดหอบฝูงตั๊กแตนมา..  มันปกคลุมพื้นแผ่นดินจนแลมืดไป  ทำให้เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์อย่างไอซิส (Isis) และเทพมิน (Min) เงียบสนิท
ข้อสังเกต  พวกวิทยากลของอียิปต์เงียบไปอีกเช่นเคย


ทำไมต้อง...ความมืด (อพย.10:21-29)
อียิปต์นั้นมีสุริยเทพหลายองค์ด้วยกันเป็นเทพแห่งความสว่าง  แต่เมื่อโมเสสชูมือขึ้นสู่ท้องฟ้าก็เกิดความมืดทึบทั่วอียิปต์ตลอด 3 วัน  เทพแห่งพระอาทิตย์มีหลายองค์คือรายชื่อดังต่อไปนี  รา (Ra) เทพแห่งอาทิตย์ทรงกลด โอสิริส (Osiris)  เทพแห่งอาทิตย์อัสดง โฮรัส (Horus) เทพแห่งอาทิตย์อุทัย  ฮาร์ธอร์ (Harthor)  หรือฮาเตอร์ (Hater) เทพแห่งอาทิตย์ในยามสวยงามและอัมมอน (Ammon) เทพแห่งดวงอาทิตย์  ไม่มีองค์ไหนเลยที่จะช่วยส่องแสงให้กับอียิปต์
ข้อสังเกต  พวกวิทยากลของอียิปต์เงียบไปอีกเช่นเคย

ทำไมต้อง..ฆ่าบุตรหัวปี (อพย.12:29-36)
กล่าวกันว่า นัท (Nut) ที่เป็นเทวีแห่งท้องฟ้านั้นยังเป็นเทวีองค์เดียวที่สามารถจะยับยั้งความตายเอาไว้ได้แต่ในครั้งนี้บุตรหัวปีทุกคนในอียิปต์ตั้งแต่พระราชบุตรหัวปีของฟาโรห์  จนถึงบุตรหัวปีของเชลยที่อยู่ในคุกมืดและสัตว์เลี้ยงทุกตัว แม้แต่เมสเค้นท์ (Meskhet) เทวีแห่งการคุ้มครองเด็กๆ เรเนเนท (Renenet)  เทวีของเด็กอ่อนก็หมดสิทธิ์ช่วย  และครั้งนี้เองที่ฟาโรห์ยอมให้โมเสสและอาโรนนำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์

คัดลอกมาจาก หนังสือ "เรีียนรู้อดีต ลิขิตอนาคต"

วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2559

อาณาจักรอียิปต์ กับคัมภีร์ไบเบิ้ล

บทความจากหนังสือ "เรียนรู้อดีต ลิขิตอนาคต"
  ประวัติศาสตร์โลกถูกเปิดเผยออกเรื่อย ๆ จนทำให้เราสามารถเรียนรู้ถึงอดีตกาลได้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับพื้นพิภพแห่งนี้  สำหรับประเทศไทยเรานั้นถ้าพูดถึงประวัติศาสตร์แล้วพบว่าในสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พ.ศ.1820-1860 (ค.ศ.1277-1317) กำหนดอักษรไทยในปี พ.ศ.1826 (ค.ศ.1283) ตรงกับประวัติศาสตร์ยุโรปที่เกิดสงครามครูเสด (ค.ศ.1238-1378) แต่ถ้าเปรียบเทียบกับเรื่องราวของอาณาจักรอียิปต์กับประเทศไทยนั้น  เรายังไม่รู้เลยว่าพวกคนไทยนั้นอยู่ที่ไหน  แต่พอจะทราบได้ว่าคนไทยก็รู้จักอียิปต์บ้างเหมือนกัน  จากบทกลอนบทหนึ่งของท่านสุนทรภู่  กวีเอกของไทยกล่าวเอาไว้ว่า “ไอยคุปโตโกสัมพีระดีระดิ่น...”

ในปี 1966 ได้มีการตีพิมพ์พระคัมภีร์เป็นภาษาไทย (ซึ่งแปลออกมาจากภาษาเดิมเป็นของหอพระคริสต์ธรรมประเทศไทย (Thailand Bible House) พิมพ์ที่ฮ่องกง)  ใช้ชื่อว่า “พระคริสตธรรมเดิม”  คือ มีหนังสือในเล่มอยู่ 39 เรื่อง (พระคัมภีร์ปัจจุบันมี 66 เรื่องรวมทั้งฉบับเดิม 39 เรื่องและใหม่ 27 เรื่อง) ตั้งแต่ปฐมกาล-มาลาคี  ซึ่งในภาษาในฉบับเดิมนี้เรียกหนังสือ ปฐมกาลว่า “เยเนซิส” และในหนังสือเล่มนี้เรียกอียิปต์ว่า “อายฆุบโต” (เยเนซิส 12:10)

อียิปต์  ไอยคุปโต หรือ อายฆุบโต  ได้ชื่อว่าดินแดนแห่งความเร้นลับ  และไสยศาสตร์ที่แตกต่างจากอาณาจักรอื่น ๆ นับตั้งแต่อดีตกาลมา  เป็นอาณาจักรที่ยึดมั้นในลัทธิความเชื่อ  และขนบธรรมเนียมประเพณีของตนเองมากที่สุด และมีอิทธิพลต่ออารยธรรมของชาติอื่น ๆ หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทางประติมากรรม  สถาปัตยกรรม  การชลประทาน  และการแพทย์ ฯลฯ

เรื่องราวของอียิปต์เริ่มเป็นที่รู้จักเมื่อนักปราฃญ์กรีกโบราณ คือ “เฮโรโดตุส  บิดาแห่งประวัติศาสตร์” ได้ค้นพบดินแดนแห่งนี้ราวๆ 500 ปี ก่อนคริสตกาล  กล่าวกันว่าเฮโรโดตุสเคยเดินทางไปอียิปต์ประมาณ 450 ปีก่อนคริสตกาล  และได้พบกับนักบวชชั้นสูงที่เชี่ยวชาญในการอ่านภาษาภาพโบราณที่แกะสลักจารึกไว้ตามผนังวิหาร  และสุสานต่างๆ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเรื่องราวของอาณาจักรอียิปต์จึงถูกเปิดเผยออกสู่สายตาชาวโลก ... ผมขอวกกลับมายังเรื่องราวของโมเสสตามที่ได้สัญญาไว้ว่าจะมานำเสนอต่อท่านผู้อ่านว่าทำไมโมสสต้องให้อาโรนมาเป็นเพื่อน  แต่ก่อนอื่นขอเท้าความก่อนว่าคนฮีบรูมาอยูอียิปต์ได้อย่างไร

ประวัติย่อเรื่องโยเซฟ
          เรื่องราวที่เกิดขึ้นนับสืบเนื่องมาจากเกิดการกันดารอาหารเป็นอย่างมากทั่วแผ่นดิน  ซึ่งก่อนหน้านั้นโยเซฟบุตรชายของยาโคบถูกพวกพี่ชายขายเป็นทาสเพราะความอิจฉาน้อง และถูกนำมาที่อียิปต์  ต่อมาภายหลังได้เป็นใหญ่เป็นโตในอียิปต์ควบคุมการสะสมเสบียง  เพราะสามารถทำนายความฝันของฟาโรห์ได้ (ปฐก.41:1-57) “การกันดารอาหารแผ่ไปทั่วแผ่นดิน  โยเซฟก็เปิดฉางออกขายข้าวแก่ชาวอียิปต์  เพราะการกันดารอาหารในแผ่นดินรุนแรงมาก  ยิ่งกว่านั้นทั้งโลกก็มายังประเทศอียิปต์หาโยเซฟเพื่อซื้อข้าว  เพราะกันดารอาหารร้ายแรงทั่วโลก” (ปฐก.41:56-57) และโดยเหตุนี้เองพี่น้องของโยเซพก้มาซื้ออาหารด้วยเช่นกัน  ภายหลังโยเซฟสำแดงตัวให้พี่น้องรู้ว่าตนเป็นใคร (ปฐก.45:1-28) ทำให้ยาโคบกับครอบครัวเดินทางมายังอียิปต์ (ปฐก.46:1-7)

การขาดแคลนอาหารดำเนินไปหลายปีขนาดประชาชนทั่วแผ่นดินอียิปต์ทั้งหมด  ต้องนำสัตว์มาแลกอาหาร  สุดท้ายต้องขายไร่ขายนา  ขายตัวเองเป็นทาส  “ส่วนประชาชนอียิปต์นั้นโยเซฟให้เป็นทาสทั่วบ้านทั่วเมือง”  (ปฐก.47:21)  โยเซฟจบชีวิตลงเมื่อท่านอายุได้ 110 ปี (ปฐก.50:26)

เหตุผลทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องของโยเซฟที่ได้เป็นใหญ่
          ช่วงเวลาประมาณ 1700 ปีก่อนคริสตกาล อาณาจักรอียิปต์อ่อนแอลงจนทำให้พวก “ฮิกโซส (Hyksos)” (ฮิกโซสเป็นภาษาอียิปต์ใช้ทับศัพท์แปลว่า “เจ้านายต่างชาติ”) บุกยึดเมืองได้ ทั้งๆ ที่พวกนี้เป็นชาวเผ่าร่อนเร่  ป่าเถื่อนและด้อยพัฒนากว่า  ในยุคนี้ไม่มีหลักฐานทางโบราณคดีมากนัก  ทั้งๆที่ชาวอียิปต์มักจะเป็นชนชาติที่ช่างเขียนช่างจดช่างสลัก  นักโบราณคดีพยายามหาข้อเท็จจริงจึงพบว่าอาณาจักรอียิปต์ในยุคนี้ถูกปกครองโดยกษัตริย์ต่างแดน  คือราชวงศ์ฮิกโซสนั้นเอง  ปกครองถึง 6 รัชกาล  ถึงแม้ว่าพวกฮิกโซสไม่ใช่ชาวอียิปต์ แต่พวกเขาได้ปกครองอียิปต์ตามแบบเดิม  และประชาชนชาวอียิปต์ก็ยินยอม  แต่สาเหตุที่ไม่มีงานศิลปะออกมาเลยเพราะพวกฮิกโซสเป็นเพียงชาติที่เร่ร่อนในทะเลทราย  ไม่มีศิลปะอารยธรรมเป็นของตน  เมื่อมายึดครองอียิปต์ก็มัวหลงเพลิดเพลินอยู่กับความงามของมหานครจึงไม่มีความคิดจะสร้างสรรค์อะไร

  การที่โยเซฟ อดีตทาสชาวฮีบรูได้รับอำนาจสูงสุดตำแหน่งรองจากฟาโรห์นั้น  นักโบราณคดีพากันสงสัยกันใหญ่ว่า  เหตุใดฟาโรห์จึงยอมให้ทาสเป็นใหญ่ เพราะเท่าที่ผ่านมาชาวอียิปต์นั้นถือว่าตนเจริญสูงสุดในโลก  และเหยียดหยามชนชาติอื่นต่ำกว่าตนไปหมด  ในที่สุดก็สรุปได้ว่าเพราะฟาโรห์ชาวฮิกโซสก้เป็นชาวต่างชาติเหมือนกัน  และเห็นความฉลาดของโยเซฟดังในหนังสือปฐมกาลบทที่ 41:39 ฟาโรห์จึงตรัสกับโยเซฟว่า “เพราะพระเจ้าได้ทรงสำแดงเรื่องนี้ทั้งสิ้นแก่ท่าน จะมีผู้ใดที่มีความคิดดี  และมีปัญญาเหมือนท่านก็ไม่ได้  เราจะตั้งท่านไว้ให้ดูแลราชสำนัก  และให้ประชาชนทั้งหลายของเราปฏิบัติตามท่าน...”  และโยเซฟได้ชื่อใหม่อีกว่า “ศาเฟนาท-ปาเนอาห์”  และได้ภรรยาชาวอียิปต์ชื่อ “อาเสนัท” บุตรของโปทิเฟรา (ปฐก.41:45) มีบุตร 2 คนชื่อ “มนัสเสห์” และ “เอฟราอิม” (ปฐก.41:51-52)

  หลายร้อยปีผ่านไปจนมาถึงสมัยของฟาโรห์องค์ใหม่ที่ไม่รู้จักเรื่องราวของโยเซฟ (ราชวงศ์ฮิกโซสถูกยึดอำนาจคืนโดย  อาโมซีสที่ 1 แห่งธีบิส)  เห็นว่าคนฮีบรูชักจะมีมากเกินไปแล้วเกรงว่าจะยากแก่การปกครองจึงคิดจะกำจัดจึงทำการบีบบังคับต่างๆ นานาแต่คนฮีบรูก็มากขึ้นเรื่อยๆ จึงมีคำสั่งว่า “บุตรชายฮีบรูทุกคนที่เกิดมาให้เอาไปทิ้งเสียในแม่น้ำไนล์...” (อพย.1:22) เข้าใจว่าเป็นการบูชาแก่เทพ  และเทวีต่างๆ ของอียิปต์ที่ปกป้องแม่น้ำไนล์ด้วย

กำเนิดโมเสส (อพย.1:1-10)
“ยังมีชายเผ่าเลวีคนหนึ่ง ได้หญิงสาวคนเลวีมาเป็นภรรยา  หญิงนั้นตั้งครรภ์คลอดบุตรชาย  เมื่อนางเห็นบุตรน่ารักจึงซ่อนตัวไว้ถึงสามเดือน...” (ข้อ 1) มาถึงตอนสำคัญของเรื่องแล้ว  ด้วยความรักของนางโยเคเบดผู้เป็นมารดามิอาจจะให้บุตรของตนเสียชีวิตได้  ครั้นจะซ่อนต่อไปอีก เรื่องก็จะแดงออกมา  จึงเอาตระกร้าสานด้วยกก  ยาดวยยางมะตอย และชัน เอาทารกใส่ในระกร้าแล้วเอาทารกไปวางไว้ที่กอปรือริมแม่น้ำ  แล้วให้มีเรียมพี่สาวไปคอยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น  ผลปรากฏว่ามีพระราชธิดาของฟาโรห์ลงไปทรงน้ำที่แม่น้ำพระนางเห็นตระกร้าจึงให้สาวใช้ไปนำมาเปิดตระกร้าเห็นเด็กกำลังร้องไห้  มีเรียมเห็นได้ทีจึงโผล่พรวดเข้าไป และทูลว่า "จะให้หม่อมฉันไปหานางนมชาวฮีบรูมาเลี้ยงทารกนี้ให้นางไหม” (ข้อ 7) เป็นอันว่าก็รอดตายโดยความกล้าหาญของมีเรียมพี่สาวที่กล้ามาพูดกับราชธิดาของฟาโรห์แถมนางโยเคเบดยังได้เลี้ยงลูกตัวเอง และยังได้ค่าจ้างเลี้ยงดูอีกด้วย

ดังนั้น อับราม และนางโยเคเบดได้บุตรกลับคืนมาโดยไม่ต้องกลัวอีกแล้ว  พวกทหารคงไม่กล้ามายุ่งกับเด็กที่ราชธิดาของฟาโรห์รับไว้ให้เป็นพระราชบุตรบุญธรรมของพระนางเป็นแน่  เขาทั้งสองคงจะขอบคุณพระเยโฮวา  สำหรับวิถีทางอันอัศจรรย์ที่ทรงปกป้องเด็กเอาไว้

จากวันกลายเป็นเดือนที่เลื่อนผ่านไป  จากทารกน้อยสู่การเป็นเด็กที่เติบโตขึ้นท่ามกลางความสุข  ความอบอุ่นของครอบครัว  เขาได้ปลูกฝังเด็กน้อยให้ได้รู้ถึงความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าและพระราชกิจอันใหญ่ยิ่งของพระองค์  เรียนรู้ถึงการนมัสการพระเยโฮวาซึ่งเป็นพระเจ้าของอับราฮัม  อิสอัค  และยาโคบ

สู่พระราชวังในฐานะเจ้าชาย
“เมื่อทารกเติบใหญ่ขึ้นแล้ว  นางก้พามาถวายพระราชธิดาของฟาโรห์  พระนางก็รับไว้เป็นพระราชบุตรของพระนาง ประทานชื่อว่า “โมเสส” ตรัสว่า “เพราะเราได้ฉุดขึ้นมาจากน้ำ” (อพย.2:10)

พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าพ่อแม่ของโมเสสนำเขามาถวายให้พระราชธิดาตอนอายุเท่าไหร่  แต่ก็มีบางตำราตั้งข้อสังเกตไว้ว่าน่าจะเป็นช่วงอายุประมาณ 4-5 ขวบ เด็กตั้งแต่วัยแรกเกิดจนถึง 3 ขวบนั้นเป็นวัยที่สามารถรับรู้  มีระบบย่อยข่าวสารขั้นพื้นฐานซึ่งสำคัญมาก เนื่องจากเด็กได้รับการกระตุ้นจากภายนอก  ส่วนในเรื่องความนึกคิด  ความมุ่งมั่น  ความคิดสร้างสรรค์  ความเข้าใจ อารมณ์  ซึ่งเป็นเรื่องระดับสูงจะถูกสร้างหลังจากอายุ 3 ขวบ กล่าวคือ เป็นส่วนที่ว่าจะเอาส่วนที่ถูกสร้างมาก่อนอายุ 3 ขวบ ไปใช้อย่างไร  จากพระคัมภีร์ใหม่ในหนังสือฮีบรูบทที่ 11 ข้อ 24 กล่าวว่า “เพราะความเชื่อ  เมื่อโมเสสโตแล้วท่านไม่ยอมให้ใครเรียกท่านว่าเป็นบุตรของธิดากษัตริย์ฟาโรห์”  นั่นแสดงให้เห็นว่าโมเสสถูกปลูกฝังมาอย่างดีจากพ่อแม่ของเขาในเรื่องชาติกำเนิดของตน

ตั้งแต่โมเสสเข้ามาอยู่ในพระราชวังในฐานะพระราชบุตร  เขาก็ได้รับการศึกษาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การเขียน การอ่านจารึกโบราณ  ภาพเขียนแห่งอียิปต์ แม้แต่ความลึกลับแห่งศาสนาอียิปต์  การบวงสรวงในวิหาร  (อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้โมเสสมีความสามารถในการเขียนพระคัมภีร์เล่มแรก  หนังสือปฐมกาลจากตำนานโบราณที่ได้เรียนรู้มา  และการดลใจจากพระเจ้า  โมเสสได้เขียนหนังสือเล่มอื่น ๆ อีก 4 เล่ม  คือ อพยพ เลวีนิติ กันดารวิถี เฉลยธรรมบัญญัติ)  เรียกได้ว่าเรียนรู้กันแบบครบหลักสูตรสมฐานะเจ้าชายแห่งอียิปต์ พระราชบุตรแห่งธิดาฟาโรห์  จนเขาเติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มรูปงามเพียบพร้อมไปด้วยความรอบรู้  ส่วนเรื่องราวของโมเสสตอนที่หนีไปมีเดียนนั้นเกิดขึ้น เพราะเขาได้ฆ่าคนอียิปต์ที่ไปตีคนฮีบรู  อีกวันต่อมาคนฮีบรูตีกันเอง  โมเสสไปห้าม  กลับถูกต่อว่า  “ใครแต่งตั้งท่านให้เป็นเจ้านายและเป็นตุลาการปกครองข้าพเจ้า  ท่านตั้งใจจะฆ่าข้าพเจ้าเหมือนกับที่ได้ฆ่าคนอียิปต์คนนั้นหรือ” (อพย.2:14) โมเสสได้ฟังแล้วก็กลัว  จึงหนีไปอยู่มีเดียนก็ได้ภรรยา  และมีบุตรชาย เวลาผ่านล่วงเลยไป จนฟาโรห์สิ้นพระชนม์....

ทรงเรียกโมเสส (อพย.3)
โมเสสมาอยู่มีเดียนหลายสิบปี  จากเจ้าชายกลับกลายมาเป็นคนเลี้ยงแกะ  จากคนที่มีความรู้เก่งกล้าสามารถกลับมาเป็นคนเงียบขรึม  และไม่ค่อยพูดจากับใคร  เพราะอยู่แต่กับแกะ  จนพระเจ้าทรงเรียกโมเสส  ให้เขาเห็นพุ่มไม้เป็นเปลวไฟโดยไม่ไหม้พระเจ้าต้องการใช้โมเสสให้ไปนำคนอิสราเอลมายังดินแดนแห่งพันธสัญญา  เพราะเสียงร้องของคนอิสราเอลจากการโดนกดขี่ดังไปถึงพระเจ้า  ฝ่ายโมเสสปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า  จนพระเจ้าต้องสำแดงให้โมเสสเห็นฤทธิ์เดชแห่งพระเจ้า  โดยให้ไม้เท้าของโมเสสกลายเป็นงู  ทำให้มือเป็นโรคเรื้อน  แต่โมเสสปฏิเสธอีกว่า “ข้าแต่พระเจ้า  ข้าพระองค์มิใช่เป็นคนช่างพูด ทั้งในกาลก่อน  และตั้งแต่เวลาที่พระองค์ตรัสกับผู้รับใช้ของพระองค์  ข้าพระองค์เป็นคนพูดไม่คล่องแคล่ว” (อพย.4:10) บัดนี้โมเสสคนเก่งในอดีตฆ่าคนอียิปต์ในชั่วพริบตา  เก่งกล้าเชิงยุทธ  และความรู้กลับกลายเป็นคนพูดไม่คล่องแคล่วขาดความมั่นใจในตนเองไปเสียแล้ว พระเจ้าจึงตรัสว่า “...ไปเถิด  เราจะอยู่ที่ปากของเจ้า และจะสอนคำซึ่งควรจะพูด”  แต่โมเสสกลับทูลว่า “ข้าแต่พระเจ้าขอทรงโปรดใช้ผู้อื่นไปเถิดพระเจ้าข้า” พระเจ้าทรงกริ้วโมเสสจึงตรัสว่า “เจ้ามีพี่ชายคืออาโรนคนเลวีมิใช่หรือ เรารู้แล้วว่าเขาเป็นคนพูดเก่ง ..เขาจะเป็นปากแทนเจ้า...” (อพย.4:11-17)

เป็นอันว่าโมเสสยอมทำตามพระบัญชาของพระเจ้า  เพราะมีอาโรนไปด้วยนี่เอง  เหตุเพราะยังกลัวๆ นั่นเอง  เลยต้องการมีเพื่อนไปด้ย  จากตารางฤทธานุภาพ 11 ประการของพระเจ้าในฉบับที่แล้ว  ทำให้เราทราบว่าในฤทาธานุภาพครั้งที่ 1-4 นั้น อาโรนเป็นคนที่กระทำการของพระเจ้าทั้งสิ้น  ครั้งที่ 5-6 พระเจ้าดลบันดาลเอง ครั้งที่ 7-10 สังเกตได้ว่าความมั่นใจของโมเสสกลับคืนมาแล้วท่านจึงกระทำการของพระเจ้าเองโดยตลอด  ยกเว้นครั้งสุดท้ายที่พระองค์ประหารบุตรหัวปีทั้งคน และสัตว์เลั้ยงทั่วทั้งอียิปต์ หลังจากนั้นโมเสสก็เป็นผู้นำคนอิสราเองโดยตลอด เพราะความมั่นใจในฤทธานุภาพของพระเจ้านั่นเอง ...

ฟาโรห์พระทัยแข็งกระด้าง
เรามาทำความรู้จักกับฟาโรห์ก่อนดีกว่าว่าเป็นใคร  พระราชาของอียิปต์จะถูกเรียกว่า “ฟาโรห์” คำว่าฟาโรห์จึงไม่ใช่ชื่อคน  แต่เป็นภาษาอียิปต์ใช้ทับศัพท์แปลว่า “กษัตริย์”  ชาวอียิปต์ไม่เพียงแต่เคารพนับถือฟาโรห์อย่างสูงเท่านั้น  เขายังเชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้าองค์หนึ่งที่ต้องเชื่อฟ้ง ไม่กล้าละเมิดพระดำรัสของพระองค์...

ทำไมฟาโรห์ถึงพระทัยแข็งกระด้างครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าจะตอบโดยใช้หลักฐานจากพระคัมภีร์เพียงอย่างเดียวก็คงจะต้องตอบว่าเพราะ “พระเจ้าทรงบันดาลให้พระทัยฟาโรห์แข็งกระด้าง”  เป็นคำพูดที่นักเทศน์หลายท่านนำมาใช้บ่อย ๆ ในการเทศนาเรื่องนี้  ซึ่งจากพระคัมภีร์นั้นมีข้อสังเกตเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายจุดด้วยกัน  โดยเริ่มจากตอนที่พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “เราจะทำให้ใจของฟาโรห์แข็งกระด้าง  แม้เราจะกระทำหมายสำคัญ  และอัศจรรย์ให้ทวีมากขึ้นในประเทศอียิปต์  ฟาโรห์ไม่เชื่อฟังเจ้า” (อพย.7:3-4) พระคัมภีร์บันทึกคำว่า “จริงดังที่พระเจ้าตรัสว่าพระทัยฟาโรห์ก็แข็งกระด้างหายอมเชื่อไม่” กล่าวในทำนองเดียวกันเช่นนี้ถึง 6 ครั้ง  มีคำว่า “พระเจ้าทรงให้พระทัยของฟาโรห์แข็งกระด้าง” 3 ครั้งและพระทัยของฟาโรห์แข็งกระด้างเอง 1 ครั้ง  ส่วนครั้งสุดท้ายถึงยอมปล่อยคนอิสราเอล  สาเหตุสำคัญที่ฟาโรห์จำเป็นต้องพระทัยแข็งกระด้างหลายครั้งเพื่อการอัศจรรย์ของพระเจ้าจะได้เพิ่มขึ้นในอียิปต์ (อพย.11:9) และเพื่อคนอิสราเอลจะออกจากอียิปต์อย่างสมกับเป็นประชากรของพระเจ้าที่ทรงเลือกสรรไว้ ซึ่งจากการที่คนอิสราเอลออกจากอียิปต์นั้น  ทำให้มีชื่อเสียงไปทั่วดินแดนต่างๆ เมื่อคนอิสราเอลยกไปที่ไหน  ก็สามารถปราบเมืองต่าง ๆ นั้นได้โดยง่าย เพราะพวกชาวเมืองต่างๆ กลังเกรงอำนาจของพระเจ้า

ยังมีอีกมุมมองหนึ่งของเรื่องนี้  คือตามตำนานโบราณของอียิปต์จากอักขระอักษรภาพโบราณที่เก่าแก่ตามกำแพง  และเสาในมหาวิหารต่างๆ ที่มีผู้ถอดความออกมาเป็นภาษาปัจจุบัน  ได้กล่าวถึงเรื่องราวของเวทมนตร์ต่างๆ ที่มีอย่างดาษดื่นในอียิปต์เชื่อกันว่าใครได้เรียนมหาเวทจากคัมภีร์เทพเจ้าท็อต ก็จะกลายเป็นผู้เก่งฉกาจไร้เทียมทาน  นักบวชตามวิหารเทพ  ก็ต้องมีศิลปวิทยาการไว้โชว์ให้ฟาโรห์เห็นบ้างตามยุคสมัยของเขา  ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาๆ ในสายตาของฟาโรห์เห็นบ้างตามยุคสมัยของเขา  ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาๆ ในสายตาของฟาโรห์  พระองค์มองดูเรื่องเช่นนี้เป็นเพียงแค่ความบันเทิงอย่างหนึ่งเท่านั้น  การที่โมเสส และอาโรนมาสำแดงกิจมหัศจรรย์ต่างๆ คนของฟาโรห์ก็ทำได้ถึง 3 ครั้ง  ดังนั้นจึงน่าจะสรุปได้ว่าฟาโรห์เห็นแล้วเฉย ๆ เพราะเห็นมาบ่อยจึงคิดว่าสิ่งที่โมเสส และอาโรนกระทำนั้นเป็นเพียงการแสดงกลให้ดูตามจารึกโบราณบันทึกว่าเคยมีการประลองเวทมนตร์ระหว่างสองอาณาจักร คือ อียิปต์ และเอธิโอเปีย  ผลปรากฎว่า ชาวเอธิโอเปียพ่ายแพ้ต่อหน้าพระที่นั่งฟาโรห์  ไม่เพียงเท่านี้  ในประเทศอียิปต์นั้นทุกกิจกรรมของพวกเขามักจะมีเรื่องไสยศาสตร์ เวทมนตร์  คาถา  มาเกี่ยวข้องด้วยเสมไม่ว่าจะเป็นการทำการเกษตร  การสร้างปิรามิด  การทำพิธีศพ  (ดังตัวอย่างในฉบับที่แล้ว) การสงคราม ฯลฯ แม้ในปัจจุบันผู้คนยังเชื่อถือในคำสาบแห่งสุสานฟาโรห์ใครไปยุ่งเกี่ยวต้องมีอันเป็นไปถึงชีวิต


คนทำวิทยาคม
ในอดีตกาลที่ผ่านมา  มนุษย์เราถูกดึงดูดใจ  และควบคุมโดยความลึกลับแห่งวิทยาคม  ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “magic” แปลว่า “เวทมนตร์คาถา  อำนาจวิเศษ  อาถรรพณ์  มายากล” มาจากคำว่า “magi (อ่านว่า เม-ไจ)” หมายถึง นักบวชชาวเปอร์เซียโบราณ  ซึ่งเชี่ยวชาญกิจกรรมทางศาสนาโดยเฉพาะ  ความหมายตรง ๆ ก็คือ ความพยายามจะควบคุม หรือบังคับพลังธรรมชาติ  หรือเหนือธรรมชาติให้ทำตามคำสั่งมนุษย์

พระคัมภีร์เดิมได้พูดถึงพวกวิทยาคมไว้หลายแห่ง  ไม่ว่าจะเป็น ปฐมกาล 41:12-14  ดาเนียล 2:27, 4:7  นักวิทยาคมมีบทบาทมากในอียิปต์  บาบิโลน  อิทธิพลนี้ยังแพร่มายังพวกกรีก  และชาวโรมัน  สังเกตได้จากแต่ละวิหารของแต่ละชนชาติจะมีพระ  หรือผู้ประกอบพิธีสำแดงอภินิหารให้เห็นเป็นประจำ  เมื่อประกอบพิธีใดพิธีหนึ่ง

จะขอแบ่งรูปแบบของมายากลตามแบบของโรเบิร์ต เอ. สเต็บบินส์  ซึ่งจัดแบ่งออกมาได้ 3 ประเภทด้วยกัน   คือ

1. มายากลลี้ลับ  คือ “การแสดงถึงสิ่งลี้ลับ” มีการอ้างว่า “เหตุการณ์หรือกระบวนการต่างๆ ซึ่งขัดแย้งกับสามัญสำนึก หรือความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์” เป็น “ความจริงหรือถูกต้อง” สเต็บบินส์อธิบายว่า “มายากลลี้ลับคือผู้รับใช้ของเวทมนตร์คาถา  พ่อมดหมอผี  การเล่นแร่แปรธาตุ และศาสนา  ภายใต้สภาพการณ์บางอย่าง”

2. มายากลแบบแสวงผลประโยชน์  “ผู้แสดงจะควบคุม หรือหลอกผู้ชมให้เข้าใจผิดจากความเป็นจริง  เพื่อโอ้อวดอำนาจของตน”  พวกเขารู้ว่ากำลังหลอกลวงผู้คน  “พวกเขากระตุ้นผู้คน  ซึ่งกำลังชมมายากลให้เชื่ออย่างอื่น  ให้เชื่อว่าในฐานะมายากล  พวกเขามีอำนาจเหนือธรรมชาติ หรือมีความเกี่ยวพันพิเศษกับสิ่งที่มีชีวิตซึ่งมีอำนาจเหนือธรรมชาติ” สเต็บบินส์กล่าว

3. มายากลเพื่อความบันเทิง  มีจุดมุ่งหมายเพื่อเร้าให้เกิดความงงงวยพิศวงโดยตบตา  มายากลแบบนี้  แบ่งออกเป็น 5 วิธีพื้นฐาน คือ

            3.1 มายากลบนเวที
            3.2 มายากลที่ให้ดูใกล้ ๆ
            3.3 วิทยากล
            3.4 การลวงตา
            3.5 การติดต่อทางจิต

พระคัมภีร์ว่าอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องผี
พระคัมภีร์กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจ้าอย่าเป็นหมอดูหรือเป็นหมอผี” (ลนต.19:26 ฉธบ.18:914) ในหนังสือกิจการกล่าวถึงชาวเมืองเอเฟซัสที่มาเชื่อแล้วได้เอาตำราเวทมนตร์มาเผาไฟต่อหน้าคนทั้งปวง  “มีหลายคนที่เชื่อแล้วได้มาสารภาพ และเปิดเผยว่าเขาได้ใช้เวทมนตร์...” (กจ.19:18-19)

อันตรายจากมายากลแบบแสวงผลประโยชน์  หมอดูลายมือ  ทำนายโชคชะตา  รักษาโรคด้วยวิธีต่าง ๆ โดยใช้เวทมนตร์หรือของวิเศษ ฯลฯ  พวกนี้ทำเพื่อประโยชน์ของตนเอง ดังข่าวในหนังสือพิมพ์ทั่วไปที่พาดหัวอยู่บ่อย ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ในประเทศไทย  พระคัมภีร์กล่าวว่า “อย่า..ประพฤติคดโกง หรือมุสาวาทต่อกันและกัน”  (ลนต. 19:11)

บางครั้งพวกวิทยาคมก็ไปยุ่งเกี่ยวกับวิญญาณของผู้ตาย  ซึ่งบางคนต้องการจะติดต่อหรือทราบความเป็นอยู่ของญาติสนิทมิตรสหายของตนเองแม้จะเป็นการทำเล่น ๆ เมื่อได้โอกาสพวกปีศาจสามารถฉวยโอกาสนี้  และพยายามอย่างไม่ลดละ “เมื่อมารทำการทดลองทุกอย่างสิ้นแล้ว  จึงละพระองค์ไปจนถึงโอกาสเหมาะ” (ลก.4:13) “แต่ว่าทุกคนก็ถูกล่อให้หลวเมื่อกิเลสของตัวเองล่อ  และชักนำให้กระทำตาม” (ยก.1:14)

ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้จะเป็นใครอื่นไม่ได้นอกจาก “พญามาร” เพราะมันได้ชื่อว่า “ผู้ล่อลวง” ตั้งแต่สมัยปฐมกาลมาแล้ว (ปฐก.3:1-19) หนังสือธุรกิจเล่มหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า “ซาตาน” เป็น “เซลล์แมนคนแรกของโลก” คือมัน “ขายความเชื่อ”  ใครจะขายความเชื่อบ้าง? หรือว่าขายไป    แล้วอย่างไม่รู้ตัว  เปาโลเขียนจดหมายบอกพี่น้องที่เมืองเอเฟซัสว่า “เหตุฉะนั้นท่านจงเลียนแบบของพระเจ้า..” (อฟ.5:1) ในหนังสือยากอบก็กล่าวในเรื่องนี้เช่นกัน  “เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงน้อมใจยอมฟังพระเจ้า  จงต่อสู้กับมาร และมันจะหนีท่านไป” (ยก.4:7)

มีหลายคนนำเรื่อง “มายากล” ไปรวมกับความบันเทิง อาจจะไม่มีใครคัดค้านเรื่องนี้  แต่ถ้ามีการเสแสร้งว่าเป็น “มายากลลี้ลับ” คริสเตียนควรใส่ใจกับเรื่องนี้ไหม .. ยังมีอันตรายแฝงอยู่มากมายเกี่ยวกับเรื่อง “มายากล” คริสเตียนแท้จึงครหลีกห่างจากการฝึกปฏิบัติสิ่งเหล่านี้  หรือข้องเกี่ยว หรือชมการแสดง “ข้าพเจ้ามิได้หมายถึงใจสำนักผิดชอบของท่าน  แต่หมายถึงใจสำนึกผิดชอบของคนที่บอกนั้น” (1คร.10:29) “ในข้อนี้ข้าพเจ้าอุตสาห์ประพฤติตามจิตสำนึกเห็นว่าดีเสมอ  มิให้ผิดต่อพระเจ้า และต่อมนุษย์” (กจ. 24:16)

วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2559

เกร็ดความรูัเกี่ยวกับ "อียิปต์" ในการสัมมนาเรื่อง "โยเซฟ"



ลำดับชนชั้นของอียิปต์โบราณ โยเซฟได้ตำแหน่งระดับสอง เป็นรองจากฟาโรห์ และยังมีพ่อตาเป็นปุโรหิตอีกด้วย

ปฐมกาล บทที่ 41 :
38. ฟาโรห์ตรัสกับบรรดาข้าราชการว่า 
“พวกเราจะหาคนที่มีพระวิญญาณพระเจ้าอยู่ในตัวเหมือนคนนี้ได้หรือ?”
39. ฟาโรห์จึงตรัสกับโยเซฟว่า “เพราะพระเจ้าได้ทรงสำแดงเรื่องทั้งสิ้นนี้แก่เจ้า จึงไม่มีใคร
ที่มีความเข้าใจและมีปัญญาเหมือนเจ้า
40. เจ้าจะเป็นผู้ดูแลราชสำนักของเรา และให้ประชาชนทั้งหมดของเราทำตามคำของเจ้า 
เว้นแต่พระที่นั่งเท่านั้นที่เราจะเป็นใหญ่กว่าเจ้า”
41. ฟาโรห์ตรัสกับโยเซฟอีกว่า “เราให้ท่านอยู่เหนือแผ่นดินอียิปต์ทั้งหมด”
42. ฟาโรห์ทรงถอดแหวนตราออกจากพระหัตถ์ ทรงสวมให้ที่มือโยเซฟ กับให้สวมเสื้อผ้าป่านเนื้อละเอียด และทรงสวมสร้อยทองคำให้ที่คอ
43. ให้โยเซฟใช้ราชรถคันที่สองที่เป็นของพระองค์ มีคนร้องประกาศข้างหน้าว่า “คุกเข่าลง” ดังนี้แหละ พระองค์ทรงตั้งท่านให้อยู่เหนือดินแดนอียิปต์ทั้งหมด
44. ฟาโรห์ตรัสกับโยเซฟอีกว่า “เราคือฟาโรห์ เราจะไม่ให้คนทั่วแผ่นดินอียิปต์ยกมือยกเท้าได้ เว้นแต่เจ้าจะอนุญาต”

Timeline ช่วงเวลาในประวัติศาสตร์โลก


ปฐก.41:42-45 สิ่งที่ฟาโรห์ประทานให้โยเซฟ 8 อย่าง คือ
1) ตำแหน่งผู้ครอบครองอียิปต์รองจากฟาโรห์ ดู ข้อ 41 และ 42:6
2) แหวนตรา ดู ข้อ 42
3) ชุดพระราชทาน ดู ข้อ 42
4) สร้อยทองคำ ดู ข้อ 42
5) ราชรถคันที่สองรองจากฟาโรห์ ดู ข้อ 43
6) มีคนนำหน้าร้องประกาศให้ทุกคนคุกเข่าลงเพื่อให้เกียรติโยเซฟ ดู ข้อ 43
7) ได้นามใหม่ คือ ศาเฟนาทปาเนอาห์ ดู ข้อ 45
8) ได้ภรรยา คือ อาเสนัท บุตรของปุโรหิตเมืองโอน ดู ข้อ 45

พวก Hyksos คือฟาโรห์ต่างเผ่าที่มาปกครองอียิปต์จริงหรือ?


พวก Hyksos เป็นราชวงศ์ที่ใช้รถรบราชวงศ์แรก จึงสันนิษฐานว่าเป็นฟาโรห์ในสมัยที่โยเซฟไปอียิปต์ แต่ปัญหาอยู่ที่ปีศักราช



ชื่อของโยเซฟในแบบ "อียิปต์"

ปฐมกาล บทที่ 41 :
45. ฟาโรห์ประทานนามโยเซฟว่า ศาเฟนาทปาเนอาห์ และประทานอาเสนัทบุตรีโปทิเฟราปุโรหิตเมืองโอนให้เป็นภรรยา โยเซฟก็ออกไปทั่วดินแดนอียิปต์
46. เมื่อโยเซฟเข้าเฝ้าฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์นั้น ท่านอายุได้ 30 ปี แล้วท่านก็ออกจากพระพักตร์ฟาโรห์ไปทั่วดินแดนอียิปต์

อียิปต์ (Egypt)

เมื่อเอ่ยชื่อดินแดนแห่งนี้ แทบจะทุกคนคงจะต้องนึกถึง “ปิรามิด” เป็นสิ่งแรก รองลงมาก็คงจะเป็น มัมมี่, สฟริงส์, คำสาปลึกลับ, สมบัติล้ำค่า, พระนางคลีโอพัตรา หรือแม่น้ำไนล์

ดินแดนแห่งนี้มีชื่อเสียงมากในเรื่องเวทมนตร์มากกว่าดินแดนใดๆ ในอดีตกาล เรื่องราวถูกถ่ายทอดเล่าสืบต่อกันมาอย่างมากมาย

การดำรงชีวิตของผู้คนในดินแดนแถบนี้เกี่ยวข้องกับแม่น้ำไนล์เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมีผลทำให้เทพเจ้าต่างๆ ของอียิปต์มีหน้าตาบุคลิกลักษณะเป็นสัตว์ประจำถิ่นไป แต่เทพสูงสุดยังคงเกี่ยวข้องกับดวงดาวในท้องฟ้าอยู่เช่นเดียวกับพวกซูเมเรียน

เทพ “รา (Ra)” คือเทพสูงสุดของอียิปต์ มีวาจาสิทธิ์ในการสร้างสรรพสิ่ง เช่นเดียวกับพระเจ้าของชาวยิว

เมื่อเทพ “รา” ตรัสว่า “ข้าคือ เคเปรา (Khepera) ในยามรุ่งอรุณ คือ รา ในยามเที่ยงวัน และคือ ตุม (Tum) ในยามเย็น” และปรากฏร่างเป็นดวงอาทิตย์ขึ้นสู่ท้องฟ้าจากทิศตะวันออก และหายไปทางตะวันตกในวันแรกของการกำเนิดโลก

เมื่อเอ่ยนาม “ชู (Shu)” สายลมก็พัด

กล่าวคำว่า “เตฟนุต (Tefnut)” ฝนก็ตกลงมา

และคำว่า “เกบ (Geb)” แผ่นดินโลกก็เกิดขึ้น

“นุต (Nut)” กลายเป็นท้องฟ้า

“ฮาปิ (Hapy)” กลายเป็นแม่น้ำ (คือแม่น้ำไนล์)

เทพ “รา” เอ่ยคำอะไรสิ่งนั้นก็เกิดขึ้นบนแผ่นดินโลก คำตรัสสุดท้ายก็คือ ชาย และ หญิง จึงถือกำเนิดมาเป็นประชาชนของอียิปต์

แล้วเทพ “รา” ก็กลายร่างเป็นมนุษย์ปกครองอียิปต์นับพันปี ถือว่าเป็นฟาโรห์องค์แรก

ดังนั้นสัญลักษณ์ดวงอาทิตย์จึงเป็นสัญลักษณ์ที่พบเห็นอยู่บ่อยๆ ในภาพวาด หรือรูปสลักของอียิปต์


ยาโคบ ได้รับการทำเป็นมัมมี่ และได้รับเกียรติอย่างสูงในพิธีศพของเขา

ปฐมกาล 50
1. โยเซฟซบหน้าลงที่หน้าบิดาแล้วร้องไห้ และจูบท่าน
2. โยเซฟบัญชาพวกหมอที่เป็นข้าราชการของท่าน ให้อาบยารักษาศพบิดาไว้ พวกหมอก็อาบยารักษาศพอิสราเอล
3. การอาบยารักษาศพใช้เวลาสี่สิบวันตามจำนวนวันในการอาบยารักษาศพ ชาวอียิปต์ก็ไว้ทุกข์ให้อิสราเอลถึงเจ็ดสิบวัน


ช่วงชีวิตของโยเซฟ

โยเซฟตายเมื่ออายุได้ 110 ปี ตามหลักฐานโบราณมีการบันทึกว่า สิ่งที่เป็นยอดปรารถนาของคนอียิปต์คือการมีอายุยืนถึง 110 ปี ดังนั้นการที่โยเซฟมีอายุถึง 110 ปี จึงเป็นพระพรยิ่งใหญ่จากพระเจ้า