ค้นหาข้อมูลจากบล็อกนี้

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2552

ชาวคาทอลิก เชื่อเรื่องทูตสวรรค์ประจำตัว

หมายเหตุ : การลงข้อมูลนี้ต้องการที่จะสื่อว่า ความเชื่อเรื่องทูตสวรรค์ประจำตัวเป็นเรื่องที่แพร่หลายทั่วไปในหมู่ชาวคริสต์ แต่มีบางกลุ่มกลับต่อต้านและกล่าวหาตามจดหมายในกระทู้ ในหัวข้อ "ประวติศาสตร์ซ้ำรอย" ที่ผ่านมา..

สภาวะของทูตสวรรค์

จำนวนของทูตสวรรค์นั้นเหลือคณนา เป็นจิตที่รับใช้พระเจ้าไปช่วยเหลือมนุษย์ เป็นภาพสะท้อนฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล พระเจ้าทรงกล่าวถึงบรรดาทูตสวรรค์ว่า “ทรงใช้ลมเป็นทูตนำสาร ทรงใช้เปลวเพลิงเป็นผู้รับใช้ของพระองค์” (ฮบ 1:7)

พระศาสนจักรจึงสรุปคำสอนว่า “ ความมีอยู่จริงของจิตบริสุทธิ์ที่ไม่มีร่างกายซึ่งพระคัมภีร์เรียกเป็นประจำว่าทูตสวรรค์ เป็นข้อความจริงของความเชื่อ ” บรรดาทูตสวรรค์ “ เป็นผู้รับใช้และผู้ส่งข่าวของพระเจ้า ” “ ทูตสวรรค์ในฐานะที่เป็นจิตล้วนจึงมีสติปัญญาและอำเภอใจ เป็นบุคคลที่ถูกสร้างและไม่รู้จักตาย มีความศักดิ์สิทธิ์ครบครันเหนือกว่าสิ่งสร้างทั้งหลายที่มองเห็นได้ ”

แจอรเกตเต ฟาเนียล ผู้ได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ชาวคานาดา ผู้ที่ปีแอร์ โจวาโนวิช ได้ไปเยี่ยมถึงที่บ้านของเธอที่เมืองมองเตรียลในปี 1994 ต่อหน้าบาทหลวงคุณพ่อวิญญาณรักษ์ของเธอชื่อ คุณพ่อกี จีรา ขณะนั้นเธอมีอายุได้ 76 ปีแล้ว ได้บรรยายถึงการได้เห็นทูตสวรรค์ของเธอว่า “ สวยงามมากค่ะ ( เจอรแจตตายิ้มราวกับเด็กสาวๆ ) สวมอาภรณ์สีขาว แต่ความสวยงามของมนุษย์ไม่อาจที่จะเปรียบกับความสวยงามของท่านได้ ดิฉันไม่เคยเห็นมนุษย์คนไหนที่สวยงามอย่างนี้เลยค่ะ เวลาถวายบูชามิสซาดิฉันยังเห็นเทวดาองค์อื่นๆอีกด้วยพวกท่านยืนถวายนมัสการแล้วก็กราบลงต่อหน้าการประทับอยู่จริงของพระเป็นเจ้าบนพระแท่น ดิฉันไม่เข้าใจว่าทำไมบางคนรวมทั้งพระสงฆ์บางองค์ด้วยจึงไม่ยอมเชื่อว่าอารักขเทวดาอยู่เคียงข้างเราตลอดเวลา ”

บทบาทหน้าที่ของบรรดาทูตสวรรค์

นอกจากบรรดาทูตสวรรค์จะเป็น “ เป็นผู้รับใช้และผู้ส่งข่าวของพระเจ้า ” ทูตสวรรค์จำนวนมากยังมีหน้าที่ประจำอื่นๆ เช่น การปกป้องดูแลทวีป ประเทศชาติ หรือเมือง

เราทราบว่ามีทูตสวรรค์อุปถัมภ์ของชาติต่างๆ นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 นักบุญเกลเมนแห่งอาเล็กซานเดรียกล่าวว่า “ พระเจ้าทรงบัญชาให้ทูตสวรรค์แยกย้ายกันไปอยู่ตามชาติต่างๆ ”

ในพระคัมภีร์มีการกล่าวถึงเทวดาอารักขาพวกกรีกและพวกเปอร์เซีย นักบุญเปาโล กล่าวถึงทูตสวรรค์ที่อารักขามาซิโดเนีย และอัครเทวดามีคาแอล นอกจากเป้นจอมทัพสวรรค์ ยังถือว่าเป็นผู้อารักขาประชากรอิสราแอลด้วย

พระสันตะปาปาจอห์น ปอล ที่ 2 ตรัสเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 1986 ว่า “ เราพอที่จะยืนยันได้ว่าหน้าที่ของบรรดาทูตสวรรค์เป็นเสมือนทูตของพระเจ้าทรงชีวิตที่สัมพันธ์ไม่เฉพาะกับแต่ละบุคคลหรือกับบุคคลที่ได้รับการเลือกสรรเท่านั้น แต่กับคนทั้งชาติด้วย ”

ทูตสวรรค์เป็นผู้พิทักษ์เราแต่ละคน

คริสต์ศาสนามีข้อคำสอนที่ว่า มีทูตสวรรค์ดูแลเราแต่ละคนอยู่ พระเยซูคริสต์ได้ตรัสเรื่องนี้มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่า “จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นคนธรรมดา ๆ เหล่านี้คนใดเลย เราบอกท่านทั้งหลายว่า ตลอดเวลาในสวรรค์ ทูตสวรรค์ของเขาเฝ้าชมพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ” (มธ 18:10)

ทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์เรา ท่านจะอยู่กับเราตลอดเวลา ท่านพิทักษ์เราจากพลังชั่วทุกอย่าง กี่ครั้งแล้วที่ท่านได้ช่วยเราให้รอดพ้นจากภยันตรายทั้งกายและใจ ท่านได้ช่วยเราให้รอดพ้นจากการประจญล่อลวงอย่างนับครั้งไม่ถ้วน

ในศตวรรษที่ 5 มีเหตุการณ์ที่บันทึกในประวัติศาสตร์ที่ อัตตีลา นำทัพชาวฮั่นบุกตีทั่วยุโรปจนมาถึงกรุงโรม และกลับถอยทัพกลับไปเฉยๆเมื่อพบกับพระสันตะปาปาเลโอ(ปัจจุบันได้รับการประกาศเป็นนักบุญแล้ว) ว่ากันว่าเวลาที่นักบุญพระสันตะปาปาเลโอองค์ใหญ่ออกจากกรุงโรมเพื่อจะได้ไปพบกับอัตตีลา กษัตริย์ของพวกฮั่นซึ่งต้องการยึดกรุงโรมนั้น ทูตสวรรค์ได้ปรากฏมาอย่างยิ่งใหญ่หลังพระสันตะปาปา อัตตีลามีความเกรงกลัวต่อปรากฏการณ์นี้มากจนถึงกับได้สั่งให้กองทัพถอยทัพกลับจากสถานที่แห่งนั้น เป็นไปได้ไหมว่านั่นเป็นอารักขเทวดาของพระสันตะปาปา แต่ที่แน่นอนที่สุดคือ กรุงโรมได้รอดพ้นจากโศกนาฏกรรมที่น่าสะพรึงกลัวนั้น เป็นความจริงที่ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์โลก

ในหนังสือของเขาที่มีชื่อว่า “ บัญชาให้เดินหน้าเพื่อให้สงครามสิ้นสุดลง ” โกร์รี เทน บูม เขียนเล่าว่า ในช่วงกลางๆศตวรรษที่ยี่สิบ ที่ประเทศประเทศซาอีร์ ในตอนกลางของแอฟริกาตะวันตก ในช่วยสงครามกลางเมืองพวกกบฏบางคนต้องการที่จะยึดโรงเรียนที่อยู่ภายใต้การดูแลของพวกธรรมทูต(มิชชันนารี)เพื่อจะได้ฆ่าทิ้งทุกคนที่อยู่ที่นั่น ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปในเขตนั้นได้ พวกกบฏคนหนึ่งได้เล่าให้ฟังทีหลังว่า “ พวกเราเห็นทหารสวมเครื่องแบบสีขาวจำนวนร้อยๆ พวกเราจึงได้ยกเลิก ” ทุกคนที่รอดชีวิตเชื่อว่าบรรดาทูตสวรรค์ได้ช่วยให้พวกเด็กๆและธรรมทูตรอดพ้นจากความตายอย่างแน่นอน

นักบุญมาร์การิตา มารีอา อาลาก๊อก (ค.ศ. 1647 – 1690) ซิสเตอร์ผู้มีพระพรพิเศษในการมองเห็นและพูดคุยกับชาวสวรรค์ เขียนลงในหนังสือชีวประวัติของตนว่า “ ครั้งหนึ่งเจ้าปีศาจได้แกล้งผลักดิฉันลงจากบันไดสูงในขณะที่ในมือถือเตาไฟร้อนๆและไม่อยากให้ถ่านไฟร้อนนี้หกออกนอกเตาหรือเพื่อไม่ให้มันทำอันตรายต่อใคร ดิฉันก็พบว่าตัวดิฉันอยู่บนพื้นและทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็คิดว่าตัวของดิฉันคงไหม้เกรียมไปหมดแล้ว แต่ว่าในการตกลงมานั้นดิฉันมีความรู้สึกว่าอารักขเทวดาผู้ซื่อสัตย์ของดิฉันได้พยุงตัวดิฉันไว้ ทั้งนี้เพราะว่าดิฉันได้ยินเสียงที่ทำให้ดิฉันรู้ว่าเป็นท่านนั่นเอง ”

มีนักบุญอีกหลายต่อหลายองค์ที่ได้กล่าวถึงความช่วยเหลือที่ได้รับจากอารักขเทวดาของตน นักบุญบราซิลเรียกท่านว่า “ เพื่อนร่วมทาง ” นักบุญเกรโกรีแห่งนิสสาเรียกท่านว่า “ ผู้ปกป้อง ” ออรีเจนยืนยันว่า “ รอบตัวของมนุษย์จะมีเทวดาของพระเจ้าเพื่อส่องสว่าง เพื่ออารักขาและเพื่อป้องกันเราจากความชั่วร้ายทุกอย่าง ” นั่นคือที่มาของคำว่า อารักขเทวดาหรือ Guardian Angel “ เพราะทูตสวรรค์ของเราจะอยู่กับเจ้าและจะเป็นผู้อารักขาปกป้องชีวิตของพวกเจ้าไว้ ” ( บารุก 6:6)

อารักขเทวดา (Guardian Angel)

อารักขเทวดา หรือเทวดาอารักษ์ประจำตัวเรา เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์ ติดตามเราไปทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยตั้งแต่เวลาที่เราเกิดไปจนถึงเวลาที่เราตาย จนถึงเวลาที่เราจะได้รับความบรมสุขอย่างเต็มที่จากพระเจ้า นักบุญบางท่านได้เห็นเทวดาด้วยตาของตัวเองและบางท่านก็ได้มีความสนิทสนมกับอารักขเทวดาของตน

ถ้าอย่างนั้นเรามีอารักขเทวดากี่องค์กันแน่ อย่างน้อยก็หนึ่งองค์ . ซึ่งก็เป็นการเพียงพอ แต่สำหรับบางคนเพราะภาระหน้าที่ของเขาเช่นพระสันตะปาปาหรือผู้ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ในขั้นสูง ก็อาจจะมีมากกว่าหนึ่งองค์ก็ได้ มีนักบวชหญิงท่านหนึ่งที่บอกว่า พระเยซูเจ้าทรงแสดงให้เธอเห็นว่าเธอมีอารักขเทวดาสามองค์พร้อมกับบอกชื่อให้ด้วย นักบุญ มาร์การิตา มารีอา อาลาก๊อก เมื่อถึงความศักดิ์สิทธิ์ขั้นหนึ่งแล้วพระเจ้าก็ประทานอารักขเทวดาองค์ใหม่ให้ที่พูดกับเธอว่า “ ข้าพเจ้าเป็นหนึ่งในเจ็ดที่ยืนอยู่ใกล้ๆพระบัลลังก์ของพระเจ้าและเป็นผู้ที่ได้รับส่วนแบ่งในไฟ(แห่งความรัก)ที่เผาดวงพระหฤทัยของพระเยซูคริสตเจ้าและความประสงค์ของข้าพเจ้าคือต้องการที่จะให้เธอได้รับทราบในเรื่องนี้ว่าเธอจะรับไฟนี้มากสักเท่าใด ” ( บันทึกความทรงจำถึง M.Saumaise)

ช่วยเหลือเราในกิจการดีต่างๆ ตามพระบัญชาของพระเจ้า

พระสันตะปาปายวงที่ 23 สมัยที่ยังคงเป็นสมณทูตประจำประเทศตุรกีและประเทศกรีกตรัสว่า “ เวลาที่จะมีการสนทนาที่ค่อนข้างลำบาก ข้าพเจ้ามีธรรมเนียมที่จะขอให้อารักขเทวดาของข้าพเจ้าสนทนากับอารักขเทวดาของบุคคลนั้น แล้วข้าพเจ้าก็จะพบทางออกสำหรับปัญหานั้นๆ ”

นักบุญคุณพ่อปีโอ นักบวชคณะภราดาน้อยกาปูชิน (1887-1968)ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง มีผู้หญิงคนหนึ่งมาพูดกับคุณพ่อปีโอว่าเธอรู้สึกเป็นห่วงเพราะไม่ได้รับข่าวจากลูกชายที่อยู่ในแนวหน้าเลย คุณพ่อปีโอจึงบอกให้เธอเขียนจดหมายไปหาเขา ผู้หญิงคนนั้นก็บอกท่านว่าไม่ทราบว่าจะส่งไปที่ไหน “ อารักขเทวดาของคุณจะจัดการให้เอง ” เป็นคำตอบของคุณพ่อ ผู้หญิงคนนั้นก็ได้จัดการเขียนจดหมายพร้อมกับเขียนชื่อลูกชายของเธอลงบนหน้าซองแต่เพียงอย่างเดียวและวางมันไว้บนโต๊ะข้างๆ วันรุ่งขึ้นจดหมายฉบับนั้นได้หายไปจากตรงนั้น นับจากวันนั้นสิบห้าวันต่อมาเธอก็ได้ข่าวจากลูกชายของเธอเป็นการตอบจดหมายของเธอ คุณพ่อปีโอก็ได้บอกเธอว่า “ จงขอบคุณอารักขเทวดาของเธอสำหรับการรับใช้ในครั้งนี้เถิด ”

ทูตสวรค์เป็นที่ปรึกษา

อารักขเทวดาของเราให้คำปรึกษาที่ดีแก่เราและช่วยขจัดภยันตรายต่างๆให้เรา ท่านยื่นมือให้เราเสมอและถ้าหากว่าเราทำอะไรบางอย่างในแง่ลบหรือทำบาปท่านก็จะทำให้เรารู้สึกตัว ท่านเป็นเพื่อนที่ดีที่มีความหวังดีต่อเราและเพราะเหตุนี้เองท่านจึงไม่ปล่อยให้ความขาดตกบกพร่องของเราผ่านไปได้เพราะมันผิดทั้งต่อตัวท่านและต่อพระเป็นเจ้าด้วย ท่านยังยอมที่จะให้อภัยแก่เราอย่างง่ายๆด้วย ท่านมีความเพียรทนมากแต่เวลาทำอะไรท่านทำจริง บรรดานักบุญกล่าวว่าบางครั้งบางคราวที่พวกท่าน ( นักบุญ ) ทำอะไรขาดตกบกพร่องไป ทูตสวรรค์ซึ่งปกติมองไม่เห็นนั้นจะปรากฏตัวเพื่อบอกให้พวกท่านทราบถึงความไม่พอใจ

นักบุญเยมมา กัลกานี (1878-1903) เขียนลงในสมุดบันทึกของเธอว่า “ พระเยซูเจ้าไม่เคยปล่อยให้ดิฉันอยู่คนเดียวตามลำพังแม้แต่ครั้งเดียวโดยปราศจากอารักขเทวดาติดตาม … นับตั้งแต่เวลาที่ดิฉันตื่นนอนเทวดาก็เริ่มเผยให้ทราบถึงแผนการของเจ้านายของดิฉันและเริ่มนำทาง ท่านจะเตือนสติดิฉันทันทีที่ดิฉันทำอะไรไม่ดีพร้อมกับสอนดิฉันให้พูดแต่น้อย ”

ทูตสวรรค์เป็นเพื่อน

ทูตสวรรค์ต้องการที่จะเป็นเพื่อนกับเราและการมีมิตรภาพกับเรา ท่านช่วยเราได้อย่างมากเลยทีเดียว อย่าลืมความช่วยเหลือและความร่วมมือของท่านเป็นอันขาดเพราะว่าเพื่อนที่ดีนั้นเปรียบเสมือนขุมทรัพย์ที่ประเสริฐ นักบุญออกุสตินกล่าวว่า “ ชีวิตที่ปราศจากเพื่อนเป็นชีวิตที่อ้างว้าง ”

เอดวีเจ การ์บอนี ผู้ได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองซาร์เดญา เสียชีวิตเมื่อปี 1952 มีบุญได้เห็นอารักขเทวดาของตนหลายครั้ง เธอเขียนลงในหนังสือสมุดบันทึกของเธอว่า “ คุณแม่ผู้น่าสงสารของดิฉันเคยให้ดิฉันออกไปซื้อของในตอนกลางคืนบ่อยๆ ดิฉันต้องเดินไปคนเดียวในความมืดและรู้สึกมีความวังเวงเป็นอย่างมาก … ขณะเดียวกันดิฉันได้เห็นอารักขเทวดาของดิฉันพูดกับดิฉันว่า อย่ากลัวเลยเพราะเราอยู่ด้วยกันสองคน เราจะเป็นเพื่อนให้เธอ เมื่อดิฉันเข้าไปในร้านเพื่อซื้อของที่ต้องการ ท่านก็รออยู่ข้างนอก เมื่อซื้อของเสร็จแล้วท่านก็เดินไปเป็นเพื่อนกับดิฉันอีกครั้งจนถึงประตูบ้าน แล้วท่านก็อันตรธานไป ”

นักบุญโฟส์ตีนา โกวาลส์กา (1905-1938) เขียนลงใน “ สมุดบันทึก ” ของเธอว่า “ เทวดาของดิฉันร่วมทางไปกับดิฉันจนถึงเมืองวาร์ซาวีอา และเมื่อดิฉันเข้าไปในบ้านคนเฝ้าประตู ( อาราม ) ท่านก็จะอันตรธานไป … พอดิฉันขึ้นรถไฟจากวาร์ซาวีอาเพื่อจะไปกราโกวีอาดิฉันก็จะเห็นท่านมาเคียงข้างดิฉันอีกและทันทีที่ดิฉันมาถึงประตูอารามท่านก็อันตรธานไป ”

ข้อมูลจาก http://conquering.exteen.com/20080806/entry-2

ทูตสวรรค์ของพระเจ้าคอยปกป้องคุณ - พระวจนะประจำวันจากพระธรรมสดุดี

ทูตสวรรค์ของพระเจ้าคอยปกป้องคุณ

ทูตสวรรค์ของพระเจ้าได้ตั้งค่าย ล้อมบรรดาผู้ที่เกรงกลัวพระองค์ และช่วยเขาทั้งหลายให้รอด – สดุดี ๓๔:๗
เรื่องทูตสวรรค์ถูกกล่าวถึงน้อยมากในปัจจุบันทั้งๆ ที่ถูกกล่าวถึงมากในพระคัมภีร์ คำว่า “ทูตสวรรค์” หมายถึง “ผู้นำสาร”

พระคัมภีร์บันทึกเรื่องราวที่พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ของพระองค์นำข่าวสารมาบอกมนุษย์ ปกป้องพวกเขาจากศัตรู ช่วยกู้พวกเขาจากที่คุมขัง ทูตสวรรค์ยังมีภารกิจอื่นๆ อีกมากมาย

แต่หนึ่งในภารกิจสำคัญคือ ดูแลคุณ

ทราบหรือไม่ว่าพระเจ้าทรงห่วงใยคุณจนได้ประทานทูตสวรรค์ของพระองค์มาปกป้องคุ้มครองคุณ
ทราบหรือไม่ว่าพระเจ้าทรงห่วงใยคุณจนได้ประทานทูตสวรรค์ของพระองค์มาปรนนิบัติคุณ “ทูตสวรรค์ทั้งปวง เป็นแต่เพียงวิญญาณผู้ปรนนิบัติ ที่พระองค์ทรงส่งไปช่วยเหลือบรรดาผู้ที่จะได้รับความรอด...” (ฮบ. ๑:๑๔)

พระเยซูตรัสว่า คุณมีทูตสวรรค์ประจำตัว

พระคัมภีร์บันทึกว่า เหล่าสาวกทูลถามพระองค์ว่า “ใครเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์” พระเยซูทรงเรียกเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมาให้ยืนท่ามกลางเขา แล้วตรัสว่า "เรากล่าวความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าพวกท่านไม่กลับใจเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดถ่อมจิตใจลง เหมือนเด็กเล็กคนนี้ ผู้นั้นจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์” จากนั้นพระองค์ตรัสถึงเด็กเล็กๆ ว่า “จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่ง ด้วยเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ทูตสวรรค์ประจำของเขาเฝ้าอยู่เสมอ ต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์” (มธ. ๑๘:๑-๑๐)

ตั้งแต่เด็กเล็กๆ คุณมีทูตสวรรค์ประจำตัว ไม่มีข้อพระคัมภีร์ใดกล่าวว่า เมื่อคุณโตขึ้น เขาก็จากคุณไป
โดยที่คุณไม่รู้ตัวหรือจำไม่ได้ เขาอาจเคยช่วยคุณให้พ้นจากอุบัติเหตุร้ายแรงมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
พวกเขาดูแลเอาใจใส่คุณอย่างใกล้ชิดจนคุณอาจเคยพบเขาโดยไม่รู้ตัว พระคัมภีร์กล่าวว่า “อย่าละเลยที่จะต้อนรับแขกแปลกหน้า เพราะว่าโดยการกระทำเช่นนั้น บางคนก็ได้ต้อนรับทูตสวรรค์โดยไม่รู้ตัว” (ฮบ. ๑๓:๒)

ทราบเช่นนี้แล้วคุณอาจรู้สึกอยากแสดงความซาบซึ้งออกมา แต่อย่างไรก็ตาม เราไม่กราบไว้ทูตสวรรค์ เราไม่อธิษฐานถึงทูตสวรรค์ เราไม่ปั้นรูปทูตสวรรค์ เราไม่ทูลขอพระเจ้าให้ทูตสวรรค์มาปรากฏ การหมกมุ่นที่จะเห็นทูตสวรรค์เป็นเหตุให้บางคนเห็นมารที่ปลอมเป็นทูตแห่งความสว่าง (๒ คร. ๑๑:๑๔)

บางคนเข้าใจว่าในหนังสือกิจการ ทูตสวรรค์ปรากฏกับทุกคน ทุกวัน แต่นั่นไม่ใช่ความจริง เพราะทูตสวรรค์ปรากฏกับน้อยคน และอย่างมากคือ หนึ่งหรือสองครั้งในชีวิตของผู้นั้น โดยเฉพาะจะปรากฏเมื่อพวกเขากำลังติดคุก เจอภัยพิบัติ เราไม่สามารถขอให้พระเจ้าทำสิ่งที่พระองค์ไม่เคยสัญญาในพระคัมภีร์ได้ พระองค์ไม่เคยสัญญาว่าทุกคนสามารถขอให้เห็นทูตสวรรค์ได้ สิ่งแปลกๆ เกิดขึ้นเพราะคนทิ้งพระวจนะไปแสวงหาประสบการณ์นอกพระวจนะ
คุณสามารถแสดงความซาบซึ้งได้โดยขอบพระคุณพระเจ้า และยำเกรงพระองค์

การดำเนินชีวิตอย่างไร้ความยำเกรงพระเจ้า ไม่เชื่อฟัง ไปในที่ๆ ไม่ควรไป ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ คุณกำลังออกนอกการปกป้องคุ้มครอง

ตัดสินวันนี้ที่จะยำเกรงพระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ส่งใช้ทูตสวรรค์ประจำตัวคุณคอยปกป้องและปรนนิบัติคุณ คุณจะพ้นจากการดำเนินชีวิตด้วยความกลัว คุณจะปิดประตูไม่ให้มารฉวยโอกาสคุณได้โดยผ่านความกลัว การดำเนินชีวิตโดยปราศจากความกลัว จะทำให้ความรักและความเชื่อของคุณไม่มีอุปสรรคขัดขวาง สิ่งดีๆ จะเริ่มเกิดขึ้นในชีวิตคุณ และคุณจะมีประสบการณ์กับชีวิตครบบริบูรณ์ที่พระเยซูได้เสด็จมาเพื่อประทานแด่คุณ

คำอธิษฐานด้วยความเชื่อ: พระบิดาเจ้า ลูกขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์ทรงห่วงใยลูก เพราะทูตสวรรค์ของพระองค์ได้ตั้งค่าย ล้อมลูกผู้ที่ยำเกรงพระองค์ และช่วยลูกให้รอดจากภัยทั้งปวง ลูกสรรเสริญพระองค์ ในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

ข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/psalms/2008/06/16/entry-1

ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

"ทูตสวรรค์ทั้งปวงเป็นแต่เพียงวิญญาณผู้ปรนนิบัติ ที่พระองค์ทรงส่งไปช่วยเหลือบรรดาผู้ที่จะได้รับความรอดเป็นมรดกมิใช่หรือ" ฮีบรู 1:14

"จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่ง ด้วยเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่าบนสวรรค์ ทูตสวรรค์ประจำของเขาเฝ้าอยู่เสมอ ต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์" มัทธิว 18:10

ผมนำข้อพระคัมภีร์จากหนังสือกิจการบทที่ 23 (ฉบับไทยคิงเจมส์) มาให้อ่านกัน เพราะมีผู้อ้างว่าเป็นผู้รับใช้พระเจ้าบอกให้เลิกพูดเรื่องทูตสวรรค์ และยังกล่าวหาว่าไม่ถูกต้อง โดยส่งจดหมายไม่ลงชื่อผู้ส่งมาให้ เป็นทัศนะที่ค่อนข้างเจาะจงไปถึงบุคคลผู้หนึ่งโดยใช้คำว่า "ผู้ที่สนับสนุนหนังสือเล่มนี้"

ลองอ่านพระคัมภีร์บทนี้ดูก็จะรู้ว่าทัศนะที่แตกต่างนั้นมาจากความเชื่อดั้งเดิมของแต่ละกลุ่มเช่น "สะดูสี" และ "ฟาริสี" ดังนั้น จดหมายนี้จงเป็นเพียงความคิดแบบสะดูสีที่ไม่เห็นด้วยเท่านั้น ผมเองกล้ายืนยันว่าการศึกษาในเชิงประวัติศาสตร์และข้อมูลดั้งเดิม และภาษาเดิมอย่างฮีบรูเป็นเรื่องที่ทำการศึกษาด้วยตนเองและเข้าใจได้ ไม่ใช่เรื่องความเชื่อเพียงอย่างเดียว แต่เรื่องภาษาและการแปลเป็นเรื่องของการสื่อสารเฉพาะถิ่น มีหรือไม่มีเป็นเรื่องระดับความรู้ของผู้ศึกษาและทัศนะที่มีหรือไม่มีอคติ..

เปาโลต่อหน้าสภา
1 ฝ่ายเปาโลจึงเพ่งดูพวกสมาชิกสภาแล้วกล่าวว่า "ท่านพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้ประพฤติต่อพระพักตร์พระเจ้าล้วนแต่ตามใจวินิจฉัยผิดชอบอันดีจนถึงทุกวันนี้"

2 อานาเนียผู้เป็นมหาปุโรหิตจึงสั่งคนที่ยืนอยู่ใกล้ให้ตบปากเปาโล

3 เปาโลจึงกล่าวแก่ท่านว่า "พระเจ้าจะทรงตบเจ้า ผู้เป็นผนังที่ฉาบด้วยปูนขาว เจ้านั่งพิพากษาข้าตามพระราชบัญญัติ และยังสั่งให้เขาตบข้าซึ่งเป็นการผิดพระราชบัญญัติหรือ"

4 คนทั้งหลายที่ยืนอยู่ที่นั่นจึงถามว่า "เจ้าพูดหยาบคายต่อมหาปุโรหิตของพระเจ้าหรือ"

5 เปาโลจึงตอบว่า "พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านเป็นมหาปุโรหิต ด้วยมีคำเขียนไว้แล้วว่า `อย่าพูดหยาบช้าต่อผู้ปกครองชนชาติของเจ้าเลย'"

6 ครั้นเปาโลเห็นว่า ผู้ที่อยู่ในประชุมสภานั้นเป็นพวกสะดูสีส่วนหนึ่งและพวกฟาริสีส่วนหนึ่ง ท่านจึงร้องขึ้นต่อหน้าที่ประชุมว่า "ท่านพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าเป็นพวกฟาริสีและเป็นบุตรชายของพวกฟาริสี ที่ข้าพเจ้าถูกพิจารณาพิพากษานี้ก็เพราะเรื่องความหวังว่า มีการเป็นขึ้นมาจากความตาย"

7 เมื่อท่านกล่าวอย่างนั้นแล้ว พวกฟาริสีกับพวกสะดูสีก็เกิดเถียงกันขึ้น และที่ประชุมก็แตกเป็นสองพวก

8 ด้วยพวกสะดูสีถือว่า การที่เป็นขึ้นมาจากความตายนั้นไม่มีและทูตสวรรค์หรือวิญญาณก็ไม่มี แต่พวกฟาริสีถือว่ามีทั้งนั้น

เปาโลก่อให้เกิดการแตกแยกในพวกฟาริสีและพวกสะดูสี
9 แล้วก็อื้ออึงเกิดโกลาหล และพวกธรรมาจารย์บางคนที่อยู่ฝ่ายพวกฟาริสีก็ลุกขึ้นเถียงว่า "เราไม่เห็นว่าคนนี้มีความผิดอะไร ถ้าวิญญาณก็ดีหรือทูตสวรรค์ก็ดีได้พูดกับเขา พวกเราอย่าต่อสู้กับพระเจ้าเลย"

10 เมื่อการโต้เถียงกันรุนแรงขึ้น นายพันกลัวว่าเขาจะยื้อแย่งจับเปาโลฉีกเสีย ท่านจึงสั่งพวกทหารให้ลงไปรับเปาโลออกจากหมู่พวกนั้นพาเข้าไปไว้ในกรมทหาร

(ขอให้ผู้อ้างตนอย่าเอาประเด็นทางคจ.ของท่านมาต่อสู้งานของพระเจ้าเลยครับ)