ค้นหาข้อมูลจากบล็อกนี้

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ใครจะเป็นคน "รับเราขึ้นไป" (Rapture) พบกับพระคริสต์

ยังคงเป็นบทความต่อเนื่องจากเรื่อง "การรับขึ้นไป" เพราะเอาเข้าจริงๆ ในพระคัมภีร์ ไม่มีคำว่า "Rapture" ปรากฏอยู่เลย


แต่ถึงกระนั้น ก็ยังคงมีการสอนเรื่องนี้อย่างกว้างขวางและแพร่หลาย แต่เป็นแบบไม่เจาะลึกถึงเนื้อหาจริงๆ ความหมายจึงคลาดเคลื่อนไปอย่างน่าเสียดาย

ถ้าเราเข้าใจหลักการที่ดูน่าจะเป็นมาตรฐานของการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระเยซูแล้วคือ
      1. ต้องมีเสียงแตร
      2. มาพร้อมกับเหล่าทูตสวรรค์
      3. พระคริสต์จึงกลับมา และมาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

"การรับขึ้นไป" จะเกิดขึ้นด้วยการรวบรวมคนทั้งปวงทั้งสี่ทิศทั่วโลก

คือเรื่องเดียวกันที่ต่อเนื่องเป็นลำดับเหตุการณ์ แน่นอนว่า คนที่จะพาผู้เชื่อขึ้นไปก็น่าจะเป็น "ทูตสวรรค์" ซึ่งแนวคิดนี้ไม่ใช่การกล่าวลอยๆ แต่มีข้อพระคัมภีร์ยืนยันชัดเจน



และร่างกายของมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงใหม่เฉกเช่นเดียวกับพระเยซู

การรับขึ้นไป เปรียบเสมือน การเลือกไฟล์ที่ยังใช้ได้อยู่ออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ติดไวรัส ต้องล้างระบบใหม่ เมื่อระบบดีแล้วจึงเอาไฟล์ที่ยังใช้ได้ๆกลับไปใช้อีกครั้ง ก็เหมือนกับการรับเอาคนที่เชื่อจริงๆ ไปเก็บไว้ก่อน แล้วค่อยเอามาอยู่ในโลกที่เป็นระเบียบเรียบร้อยดีอีกครั้ง ในยุคพันปี

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

การรับขึ้นไป Rapture มีกี่ครั้งกันแน่? ในพระคัมภีร์ (ประเด็นคาใจของคริสตชน)

มีเพื่อนๆ พี่น้องหลายคนถามกันว่า การรับขึ้นไป (Rapture) มีกี่ครั้ง บ้างก็ว่า 4 ครั้ง บางก็ว่า 3 หรือ 2 ครั้ง แถมยังมีข้อพระคัมภีร์มาสนับสนุนความคิดหรือคำสอนของตน มีหลายคนพึงพอใจกับคำตอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับขึ้นไปก่อนกลียุค จะได้ไม่ต้องเผชิญความทุกข์ยากลำบาก

สอนกันหลายคณะหลายโบสถ์ครับ ดูดีด้วย ไม่ต้องลำบาก แต่จริงๆ แล้ว ยังไม่มีข้อพระคัมภีร์สนับสนุนชัดๆ เลยครับ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ลองมาดูตัวอย่างที่อ้างๆ กันมา...

1. อยู่ใน มัทธิว บทที่ 24 ข้อ 40 "เวลา​นั้น​ชาย​สอง​คน​อยู่​ที่​ทุ่ง​นา จะ​ถูก​รับ​ไป​คน​หนึ่ง และ​ถูก​ละ​ทิ้ง​ไว้​คน​หนึ่ง ข้อ 41 หญิง​สอง​คน​โม่​แป้ง​อยู่​ด้วย​กัน จะ​ถูก​รับ​ไป​คน​หนึ่ง ถูก​ละ​ทิ้ง​ไว้​คน​หนึ่ง" โดยสอนว่านี่คือการรับขึ้นไปครั้งแรก โดยเลือกรับแต่คริสเตียนที่ได้รับชัยชนะ

ต้องอ่านทั้งบริบท ในตอนนี้บอกว่า มารับตอนบุตรมนุษย์เสด็จมา
แต่จริงๆ แล้วพระคัมภีร์ตอนนี้ต้องดูทั้งบริบท และดูในข้อที่ 37 และ 39 ที่กล่าวว่า "...เมื่อ​บุตร​มนุษย์​เสด็จ​มา​ก็​จะ​เป็น​อย่าง​นั้น" อ่านแล้วตีความง่ายๆ ตรงๆ เลยครับว่า "บุตรมนุษย์" หรือ "พระเยซู" ต้อง "เสด็จมาก่อน" ถึงจะมี "การรับขึ้นไป"

จึงต้องตั้งคำถามกลับว่า จริงๆ แล้ว พระเยซูจะเสด็จกลับมากี่ครั้ง? ถ้าคำตอบคือ 4 ครั้่ง การรับขึ้นไปก็คงมี 4 ครั้ง แค่ถ้าคำตอบคือ "ครั้งเดียว" คำตอบก็คือ "ครั้งเดียว" เหมือนกัน

2. มีการอ้างถึง วิวรณ์ บทที่ 7 เกี่ยวกับคนยิว 144,000 คน ว่าคือ การรับขึ้นไป ครั้งที่ 2 อีกด้วย  อ่านดูเผินๆ ก็เหมือนจะเป็นเช่นนั้น แต่จริงๆ แล้ว คนเหล่านี้มีที่มาที่ไปครับ...




อ่านดีๆ ตอนนี้ก็เล็งถึง "กลียุค" (ความทุกข์เวทนาครั้งใหญ่)
ถ้าอ่านทบทวนดีๆ จะพบว่าข้อพระคัมภีร์ตอนนี้โยงกับวิวรณ์ บทที่ 6 ข้อ 9-11 ซึ่งหมายความว่าจะต้องมีผู้เชื่อถูกฆ่าตายเพราะพระวจนะของพระเจ้าจนครบจำนวน และได้สวมเสื้อสีขาว (ไม่เกี่ยวกับการรับขึ้นไปเลย)




3. มีการอ้างถึง วิวรณ์ บทที่ 12 ว่าหมายถึงผู้เชื่อในพระคริสต์ แต่ข้อนี้ เล็งถึงพระเยซู โดยตรง ในบทที่ 12 ข้อ 5 บุตรชาย ผู้ซึ่งจะครอบครองประชาชาติ ไม่ใช่ผู้เชื่อ อย่างที่ตีความกันไปเองว่าคือ การรับขึ้นไปครั้งที่ 3


4. แน่นอนว่า การรับขึ้นไป จึงมีเพียงครั้งเดียวก่อนการขันที่ 7 ซึ่งอยู่ในวิวรณ์ บทที่ 16 ข้อ 15 เพราะขันสุดท้ายคือการล้างโลกเลยทีเดียว


ส่วนข้อพระคัมภีร์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรับขึ้นไป ลองอ่านดูครับ

1 คร. 15:52
ใน​ชั่ว​ขณะ​เดียว ใน​พริบ​ตา​เดียว เมื่อ​เป่า​แตร​ครั้ง​สุด​ท้าย เพราะ​ว่า​จะ​มี​การ​เป่า​แตร และ​พวก​ที่​ตาย​แล้ว​จะ​ถูก​ทำ​ให้​เป็น​ขึ้น​โดย​ปราศ​จาก​ความ​เสื่อม​สลาย แล้ว​เรา​จะ​ถูก​เปลี่ยน​ใหม่

1 ธส. 4:16
คือ​ว่า​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​จะ​เสด็จ​มา​จาก​สวรรค์​ด้วย​พระ​ดำ​รัส​สั่ง ด้วย​เสียง​เรียก​ของ​หัว​หน้า​ทูต​สวรรค์​และ​ด้วย​เสียง​แตร​ของ​พระ​เจ้า และ​ทุก​คน​ที่​ตาย​แล้ว​ใน​พระ​คริสต์​จะ​เป็น​ขึ้น​มา​ก่อน

วว. 11:15
แล้ว​ทูต​สวรรค์​องค์​ที่​เจ็ด​ก็​เป่า​แตร​ขึ้น และ​มี​เสียง​หลายๆ เสียง​กล่าว​ขึ้น​ดังๆ ใน​สวรรค์​ว่า “อา​ณา​จักร​ของ​โลก​นี้​กลับ​กลาย​เป็น​ของ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​เรา​แล้ว และ​เป็น​ของ​พระ​คริสต์​ของ​พระ​องค์ และ​พระ​องค์​จะ​ทรง​ครอบ​ครอง​ตลอด​ไป​เป็น​นิตย์” ​

การเป่าแตรมาจากทูตสวรรค์ มาพร้อมกับการเสด็จกลับมาของพระคริสต์ และเป็นการมาครั้งเดียวเท่านั้น (ดูแผนภาพด้านล่าง ซึ่งยังคงเป็นทฤษฎีตามความน่าจะเป็น)

ตรา แตร ขัน ไม่ได้เรียงลำดับเหตุการณ์ตามตัวอักษร นี่เป็นเพียงอีกทฤษฎีหนึ่งเท่านั้น

จะเกิดอะไรขึ้นใน 7 ปีกลียุค
และถ้าท่านใดได้มาอ่านบทความนี้ และได้ไตร่ตรองดู ควรรู้ไว้ว่า ใครก็ตามที่เชื่อในพระเจ้า และได้รักษาความเชื่อของตนในช่วง 7 ปีกลียุค จะได้บำเน็จคือ การครอบครองร่วมกับพระคริสต์เป็นเวลาพันปี ดูใน วิวรณ์ บทที่ 20 และมีบางคนไม่ได้อยู่ในยุคพันปีด้วย ต้องรอให้ยุคพันปีผ่านไปก่อนถึงจะได้ฟื้นขึ้นมาสู่การพิพากษาสุดท้าย

ข้อความที่ชัดเจนเกี่ยวกับการไม่รับเครื่องหมาย 666 แม้ต้องตายก็จะคืนชีพอีกครั้ง และได้ครอบครองร่วมกับพระคริสต์

มีบางคนต้องรอหลังยุคพันปี


อยากให้ผู้สอน หรือนักเทศน์ หรือคนที่สนใจศึกษาวิวรณ์เชิงลึก ช่วยกันสอนเรื่อง ยุคพันปี กันให้มาก เพราะนี่คือรางวัลที่แท้จริงของผู้เชื่อ

อย่ากลัวเลย! ที่จะกลายเป็นคริสเตียนที่อยู่ใน 7 ปีกลียุค ท่านไม่ใช่ผู้พ่ายแพ้ แต่ท่านคือผู้ที่ได้รับโอกาสพิสูจน์ความเชื่อศรัทธาในพระคริสต์ และมีโอกาสได้อยู่ใน ยุคพันปี นั่นเอง 

ขอพระเจ้าประทานความเข้าใจแก่เราทุกคน อาเมน

หนังสือ ‪"‎วิวรณ์‬" ไม่ใช่ตำราวิทยาศาสตร์ แต่พยากรณ์ถึงอนาคตโลก


นักวิทยาศาสตร์ขององค์การนาซาใช้กล้องเคปเลอร์ (Kepler) ซึ่งเป็นกล้องโทรทรรศน์มีกำลังขยายสูง สำรวจพบดาวเคราะห์ในกลุ่มดาวซิกนัส (Cygnus) หรือกลุ่มดาวหงส์ซึ่งมีลักษณะคล้ายโลกมากที่สุดและตั้งชื่อว่า "เคปเลอร์ 452b" (Kepler-452b) นาซายังระบุอีกว่าดาวเคราะห์ที่เปรียบเสมือนกับดาวลูกพี่ลูกน้องหรือคู่แฝดของโลกนี้อยู่ในโซนของกลุ่มดาวที่เอื้อต่อการอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต

ดาวเคราะห์เคปเลอร์ 452b มีขนาดใหญ่กว่าโลกถึงร้อยละ 60 นอกจากนี้่ยังมีอายุมากกว่าโลก อยู่ห่างจากโลกประมาณ 1,400 ปีแสง โดยโคจรอยู่รอบดาวที่มีลักษณะคล้ายกับดวงอาทิตย์และมีระยะการโคจรเท่าๆ กับโลก รวมทั้งมีความเป็นไปได้ว่าอาจมีภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่น มีทะเล แสงแดดเหมือนกับโลกและอาจมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่


ก่อนหน้านี้นาซาเคยประกาศการค้นพบดาวเคราะห์คล้ายโลกมาแล้วหลายครั้ง แต่ดาวเคราะห์ที่พบส่วนใหญ่ยังขาดคุณสมบัติบางอย่างที่ใกล้เคียงกับโลก เช่น บางดวงมีสภาพอากาศที่ร้อนจัดเกินกว่าที่สิ่งมีชีวิตจะดำรงชีวิตอยู่ได้ ต่างจากดาวเคราะห์เคปเลอร์ 452b ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ของนาซาระบุว่าเป็นดาวคู่แฝดของโลกจึงตั้งชื่อเล่นให้ว่า "Earth 2.0"






ข้อมูลจาก http://news.thaipbs.or.th/content/นาซาพบดาวเคราะห์-คู่แฝด-ของโลก

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

การรับเครื่องหมายเพื่อซื้อขาย กับขันแห่งพระพิโรธใบที่หนึ่ง

การตีความพระคัมภีร์ จนไปสู่การเรียนการสอนหนังสือ "วิวรณ์" มักจะเลยเถิดไปไกล ยิ่งยุคสมัยที่แชร์ข้อมูลง่ายๆ เพียงแค่คลิกเดียว ทำให้ผู้ศึกษาพระคัมภีร์และคำพยากรณ์ขาดการไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน

เราจึงอยากนำเสนอลำดับเหตุการณ์ และความต่อเนื่องของเนื้อหาที่สมเหตุสมผล ไม่ได้เรียนแบบแยกส่วนเฉพาะข้อ หรือเลือกมาสื่อสารเพียงข้อเดียว

เหตุการณ์การรับเครื่องหมาย "666" ที่หลายคนกำลังหวาดกลัว (จนชิน) ว่าเกิดขึ้นจากตรงนั้นตรงนี้


แต่ในหนังสือ "วิวรณ์" กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า...วิวรณ์  13:16 ...และมันยังได้บังคับคนทั้งปวง ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย  คนมั่งมี  และคนจน  ไทและทาสให้รับเครื่องหมายไว้ที่มือขวาหรือที่หน้าผากของเขา (ข้อ 17) เพื่อไม่ให้ผู้ใด ทำการซื้อขายได้ นอกจากผู้ที่มีเครื่องหมายนั้น  ซึ่งเป็นชื่อของสัตว์ร้ายนั้น  หรือเลขชื่อของมัน

เหตุการณ์บังคับให้รับเครื่องหมาย น่าจะเกิดขึ้นในช่วงที่ "สัตว์ร้าย" มีอำนาจปกครองโลกนาน 42 เดิือน หรือ 3 ปีครึ่ง

จากนั้น หนังสือ "วิวรณ์" ก็ยังกล่าวถึงการประกาศของทูตสวรรค์ ใน วิวรณ์ 14:6 แล้วข้าพเจ้าได้เห็น
ทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งเหาะไปในท้องฟ้า เพื่อประกาศข่าวประเสริฐอันเป็นอมตะแก่ชนชาวโลกทั้งปวง   
ทุกเผ่าพันธุ์  ทุกชาติ  ทุกภาษา



และสุดท้าย วิวรณ์ 16:2 ทูตสวรรค์องค์แรกจึงออกไป และเทขันของตน ลงบนแผ่นดินโลก และคนทั้งหลายที่มีเครื่องหมายของสัตว์ร้าย และบูชารูปของมันก็เกิดเป็นแผลร้ายที่เป็นหนองทั่วตัว 

สรุปก็คือ จะมีการรับเครื่องหมายเพื่อการซื้อขาย ในช่วงที่มีการครอบครองโลกแบบเบ็ดเสร็จ 3 ปีครึ่ง และใครที่ยอมแพ้ ไม่สามารถอดทนได้จนรับเครื่องหมาย หรือจะสมัครใจก็ตาม ก็ต้องรับผลจากพระพิโรธจากขันที่ 1 โดยเกิดเป็นแผลทั้งตัว

การรับขึ้นไปหรือ Rapture จะเกิดขึ้นก่อนขันสุดท้าย หรือขันที่ 7 ดูใน วิวรณ์ 16:15 (นี่แน่ะ  เราจะแอบย่องมาเหมือนขโมย ผู้ที่ตื่นอยู่และรักษาเสื้อผ้าของตนไว้อย่างดีจะเป็นสุข เพราะว่าเขาไม่ต้องเดินเปลือยกายให้คนทั้งหลายเห็น) 

การศึกษาพระคัมภีร์เชิงลึก จะทำให้ท่านเข้าใจพระคัมภีร์อย่างถ่องแท้ และไม่หลงประเด็น!

ทัศนคติของคนยุคโบราณเกี่ยวกับหมายเลข 666



เป็นข้อมูลที่มาของทัศนคติยุคเริ่มต้นของท­ี่มาหมายเลข "666" หรือ "616" แท้ที่จริงมาจากชื่อของ "Nero Caesar" และใช้หลักการเดียวกันนี้มาตลอดทุกยุคทุกส­มัย

ในสมัยครูเสด ถูกนำมากล่าวหาว่า ผู้นำชาวมุสลิมคือเจ้าของหมายเลข เพื่อกระตุ้นให้ชาวคริสต์ต่อสู้ในสงคราม

ในสมัยยุคปฏิรูปศาสนา "มาร์ติน ลูเธอร์" แปลพระคัมภีร์ตอนนี้ใช้โจมตีพระสันตปาปา และในวิธีเดียวกันพระสันตปาปากล่าวว่าวันเ­กิดของลูเธอร์คือ "666"

ตัวเลขนี้จึงถูกใช้กล่าวหาผู้คนฝ่ายตรงข้า­มมาคลอดทุกยุคทุกสมัย เพื่อดิสเครดิต แม้ในปัจจุบัน นักเทศน์หลายคณะก็ยังเชื่อเช่นนั้น ไม่สามารถก้าวข้ามทัศนคติเหล่านี้ไปได้ เพราะอะไร?


ในยุคปัจจุบัน การถอดรหัสตัวเลข กลับกลายเป็นคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่บุคคลแบบในอดีต

หลักการถอดรหัสตัวเลข มาจากวิชา "คับบาลา"

ชื่อ "เนโร ซีซาร์" ต้นกำเนิดหมายเลข "666" แต่มีสำเนาบางฉบับ "616" มาจากภาษาละตินนั่นเอง

กลยุทธศึกสงคราม ใช้โจมตีคู่ต่อสู้ให้กลายเป็นมารร้าย 666 ทุกวันนี้ก็ยังมีคนเชื่อแบบนี้โดยไม่รู้ว่าที่มา
ว่ามันเริ่มต้นจากไหน เพราะอะไร?

ใช้โจมตี "พระสันตปาปา" เป็นเจ้าของหมายเลขเลย ลดคาวมน่าเชื่อถือ ตั้งแต่ครั้งนั้น
จนถึงวันนี้ คริสเตียน โปรเตสแตนท์ยังคงสอนว่า "คาทอลิก" คือเจ้าของหมายเลข "666"
ทัศนคติของ "มาร์ติน ลูเธอร์" ฝังรากลึกข้ามกาลเวลาเลยทีเดียว

จับตาการรวมตัวของอาณาจักรสุดท้ายดีกว่า เพราะมันต้องใช้กับคนทั้งโลก

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ทำไม...การศึกษา ‎อนาคตศาสตร์‬ จึงต้องเรียน ‪‎เอเสเคียล‬ ‎ดาเนียล‬ และ ‎วิวรณ์‬

ตอบ... เพราะทั้ง 3 เล่ม มีเนื้อหาคำพยากรณ์ที่เกี่ยวโยงกัน และบางเรื่องก็ยังไม่เคยเกิดขึ้น (มีเค้าลางให้เห็นบ้างแล้ว) และบางเรื่องเหมือนเคยเกิดขึ้นแล้ว และที่สำคัญ คำพยากรณ์กำลังคืบใกล้เข้ามาทุกขณะ

การศึกษาเชิงลึกแบบละเอียด อิงประศาสตร์สากล และจับตาดูเส้นทางของความน่าจะเป็นในโลกปัจจุบัน จะช่วยให้เราเข้าใจประเด็นชัดเจนขึ้น

1. เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว คือ.. การกลับมารวมตัวของ‎อิสราเอล‬ ซึ่งอยู่ในคำพยากรณ์ของเอเสเคียล ไม่ใช่การกลับมาซ่อมสร้างพระวิหาร แต่เป็นการกลับมารวมตัวของชนชาติ หลังจากที่ถูกแบ่งเป็น 2 อาณาจักร อิสราเอล และยูดาห์
ดูใน ‎อสค‬.37 ข้อ 19 จงกล่าวกับพวกเขาว่า พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า ดูสิ เรากำลังจะเอาไม้ของโยเซฟ (ซึ่งอยู่ในมือของเอฟราอิม) และของเผ่าต่างๆ ของอิสราเอลที่ผูกพันกับเขา และเราจะเอาไม้ของยูดาห์มา แล้วทำให้เป็นไม้อันเดียวกัน และจะเป็นไม้อันเดียวในมือของเรา (ซึ่งเกิดขึ้นแล้ว ณ ปัจจุบัน)
และข้อที่ 22 และเราจะทำให้พวกเขาเป็นประชาชาติเดียวใน แผ่นดินนั้นที่บนภูเขาทั้งหลายของอิสราเอล และจะมีกษัตริย์องค์เดียวเป็นกษัตริย์อยู่เหนือเขาทั้งหมด พวกเขาจะไม่เป็นสองประชาชาติอีกต่อไป และจะไม่แยกเป็นสองราชอาณาจักรอีกต่อไป

2. ‪‎การสร้างพระวิหาร‬ ปัจจุบันมีการเตรียมตัวสร้างกันแล้วเรียบร้อย เหลือแต่การอนุญาตให้ใช้พื้นที่เดิมบนเนินโมริยาห์ และการสร้างพระวิหารครั้งนี้ ถูกพยากรณ์ไว้ในหนังสือทั้ง 3 เล่มนี้ ซึ่งมีรายละเอียดสอดคล้องกันอย่างน่าติดตามข่าวอย่างกระชั้นชิด
ดูใน อสค. 40 ข้อ 3 ดูสิ มีชายคนหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายทองสัมฤทธิ์ และมีเชือกป่านเส้นหนึ่งกับไม้วัดอันหนึ่งอยู่ในมือท่านย และท่านยืนอยู่ที่หอประตู...
และใน วิวรณ์ 11 ข้อ 1 ท่านผู้หนึ่งจึงเอาไม้อ้อท่อนหนึ่งให้ข้าพเจ้า รูปร่างเหมือนไม้วัด แล้วสั่งข้าพเจ้าว่า “จงลุกขึ้นไปวัดพระวิหารของพระเจ้าและแท่นบูชา และคำนวณคนทั้งหลายซึ่งนมัสการในนั้น...












 


เกี่ยวโยงกันอย่างมีแบบแผน

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

บทเรียนจาก "เอเสเคียล" กับการตีความพระคัมภีร์หลังปี 1948

นับตั้งแต่ "อิสราเอล" กลับมาเป็นประเทศอีกครั้ง ในปี 1948 ได้มีทั้งพลเมือง และแผ่นดินที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง ซึ่งต้องผ่านทั้งความยากลำบากมากมาย สงคราม การต่อสู้เพื่อแย่งชิงดินแดน

14 พฤษภาคม ปี 1948 รัฐอิสราเอลก่อตั้งขึ้น

คำพยากรณ์ที่ชาวคริสเตียนเคยนำมาใช้เป็นคำสอนในหลายๆ เรื่องจากหนังสือ "เอเสคียล" ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง

  • เรา​จะ​นำ​ใจ​หิน​ออก​จาก​เนื้อ​ของ​เจ้า และ​ให้​ใจ​เนื้อ​แก่​เจ้า ในบทที่ 36 ข้อ 26
  • กระดูกแห้ง ในบทที่ 37 ข้อ 1-14
  • น้ำที่ไหลออกจากพระวิหาร ในบทที่ 47
ในข้อนี้เล็งถึง "อิสราเอล" แบบตรงไปตรงมา 
ไม่เกี่ยวกับคนต่างชาติ
ซึ่งมักจะตีความว่าเป็นเรื่องของ "จิตวิญญาณ" และนำไปใช้สอนแก่บรรดาสมาชิก นับเป็นบทเรียนสอนใจที่ดี และแน่นอนว่าเป็นที่หนุนใจแก่หลายๆ คน

แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากเราศึกษาพระคัมภีร์เหล่านี้ ในเชิงลึก และเรียนรู้ถึงภูมิหลังของที่มาแห่งคำพยากรณ์เหล่านี้ ก็จะพบว่า เป็นคำพยากรณ์ที่กำลังเป็นจริง




  • เรา​จะ​นำ​ใจ​หิน​ออก​จาก​เนื้อ​ของ​เจ้า และ​ให้​ใจ​เนื้อ​แก่​เจ้า ในบทที่ 36 ข้อ 26 เป็นการกล่าวถึงชนชาติอิสราเอลโดยตรง และพวกเขาจะได้กลับใจใหม่ 

เรื่อง "กระดูกแห้ง" ที่นักเทศน์คริสเตียน มักเอาไปเทศน์สอน ในตอนนี้แท้ที่จริง เล็งถึงชนชาติ "อิสราเอล" เท่านั้น

ในข้อที่ 15 เป็นต้นไป เป็นคำพยากรณ์ถึงการรวมตัวของชนชาติ "อิสราเอล"

ในปัจจุบัน เหตุการณ์นี้กำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง


  • กระดูกแห้ง ในบทที่ 37 ข้อ 1-14 ซึ่งในตอนนี้หมายถึง ชนชาติอิสราเอลที่ดูเหมือนตายไปแล้วเป็นซากกองกระดูก แต่พวกเขากลับฟื้นคืนชีพอีกครั้ง และเมื่ออ่านต่อในข้อที่ 15 ขึ้นไป ก็จะพบว่าไม้ของโยเซฟ และไม้ของยูดาห์ กำลังเป็นจริง ชนชาติอิสราเอลรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง

แต่ก่อนนักเทศน์มักสอนเรื่องนี้เป้นดั่งคำอุปมา

แต่สิ่งที่พยากรณ์เอาไว้ กำลังจะเป็นความจริง


  • น้ำที่ไหลออกจากพระวิหาร ในบทที่ 47 ไม่ใช่เรื่องของเรื่อง "อุปมา" อีกแล้ว แต่กำลังจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง "พระวิหาร" ที่กำลังจะสร้างขึ้นในไม่ช้า
หนังสือ "เอเสเคียล" กำลังกล่าวถึง "อนาคต" ของชนชาติ "อิสราเอล" โดยตรง แบบไม่ต้องตีความเป็นอื่น หากเราจะจับตาดูอนาคตของโลก ก็ลองศึกษาหนังสือ "เอเสเคียล" กันอย่างละเอียดถี่ถ้วนนะครับ จะได้ไม่เข้าใจแค่ด้าน "จิตวิญญาณ" เพียงอย่างเดียว แต่เข้าใจในเรื่อง "ความจริง" ในประวัติศาสตร์อีกด้วย...

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

พระราชประวัติ "กษัตริย์ซาโลมอน"

ใน 2 ซามูเอล บทที่ 11 ทั้งบทและบทที่ 12 ตั้งแต่ข้อ 1-25 สรุปได้ความว่ากษัตริย์ดาวิด (กษัตริย์องค์ที่สองของอิสราเอล องค์แรกชื่อ ซาอูล) ไปรับหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นภรรยาของอุรีอาห์คนฮิตไทต์ ชื่อ “บัทเชบา” มาเข้าเฝ้าพระองค์ และได้สมสู่กับนาง (11:4) จนนางตั้งครรภ์และได้วางแผนกำจัดอุรีอาห์ให้ตายในสนามรบ เพราะอุรีอาห์เป็นทหารของดาวิด แล้วก็รับนางมาเป็นมเหสีของพระองค์ พระเจ้าไม่พอพระทัยการกระทำของดาวิด จึงใช้นาธันไปพบและต่อว่าดาวิด ดาวิดก็เสียพระทัยและกล่าวว่า “เรากระทำบาปต่อพระเจ้าแล้ว” (12:13) พระเจ้าทรงยกโทษให้ แต่เด็กที่เกิดมาต้องสิ้นชีวิต แล้วเด็กนั้นก็ป่วยหนัก ดาวิดอดอาหารขอกับพระเจ้า แต่ในที่สุดเด็กนั้นก็เสียชีวิต

หลังจากนั้นดาวิดทรงเล้าโลมใจบัทเชบามเหสีของพระองค์ และสมสู่กับพระนาง พระนางก็ประสูติบุตรชายคนหนึ่งชื่อ “ซาโลมอน” และพระเจ้าทรงรักซาโลมอน และทรงใช้นาธันผู้เผยพระวจนะไป ท่านจึงตั้งชื่อราชโอรสนั้นว่า “เยดีคิยาห์” เพราะเห็นแก่พระเจ้า (12:24-25) (เยดีคิยาห์ เป็นชื่อในภาษาฮีบรูมีความหมายว่า “เป็นที่รักของพระเจ้า” Beloved of the Lord)


ซาโลมอนได้เป็นกษัตริย์ (ดู 1 พงษ์กษัตริย์ บทที่ 1)
เมื่อดาวิดเข้าสู่วัยชรามากแล้ว อาโดนียาห์โอรสของพระนางฮักกีทได้ยกตัวเองขึ้นกล่าวว่า “เราเองจะเป็นพระราชา” (1:5) เรื่องนี้ดาวิดไม่ทราบเรื่องเลย นาธันได้นำความเรื่องนี้แจ้งแก่พระนางบัทเชบา พระนางจึงขอเข้าพบกษัตริย์ดาวิด เพราะดาวิดเคยปฏิญาณว่า “ซาโลมอนบุตรของเจ้าจะครองสมบัติต่อจากเราแน่นอน” เมื่อดาวิดทรงทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว ก็กล่าวว่า “ซาโลมอน บุตรของเจ้าจะครองสมบัติต่อจากเราแน่นอน และเธอจะนั่งบนบัลลังก์ของเราแทนเรา เราก็จะกระทำอย่างนั้นวันนี้แหละ” (1:30) .. ดังนั้นศาโดกปุโรหิต นาธันผู้เผยพระวจนะและเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาและคนเคเรธี กับคนเปเลทได้ลงไปจัดให้ซาโลมอนประทับบนล่อพระที่นั่งของพระราชาดาวิด และได้นำท่านมาถึงน้ำพุกีโฮน... และประชาชนทั้งปวงก็กล่าวว่า “ของพระราชาซาโลมอน ทรงพระเจริญ” (1:38-40)

ซาโลมอนขอสติปัญญา (ดู 1 พงษ์กษัตริย์ บทที่ 3)
หลังจากที่ดาวิดสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ซาโลมอนก็ได้ปกครองบ้านเมืองอย่างร่มเย็นเป็นสุข เพราะพระองค์ทรงรักพระเจ้า ทรงดำเนินตามกฎเกณฑ์ของดาวิด

อยู่มาคืนหนึ่ง พระเจ้าทรงปรากฎแก่ซาโลมอนในความฝันและตรัสว่า “เจ้าอยากให้เราให้อะไรเจ้าก็จงขอเถิด” (3:5) ดังนั้น ซาโลมอน จึงกล่าวว่า “..ขอพระองค์ทรงประทานความคิด ความเข้าใจแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ เพื่อจะวินิจฉัยประชากรของพระองค์...” (3:9) ที่ซาโลมอนทูลขอเช่นนี้ก็เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า “...ดูเถิด เราจะกระทำตามคำของเจ้า ดูเถิดเราให้จิตใจอันประกอบด้วยปัญญาและความเข้าใจ เพื่อว่าจะไม่มีใคร ที่เป็นอยู่ก่อนเจ้าเหมือนเจ้า และจะไม่มีใครที่ขึ้นมาภายหลังเจ้าเหมือนเจ้า..” (3:11-12)

การวินิจฉัยอันชาญฉลาดของซาโลมอน (ดู 1 พงษ์กษัตริย์ 3:16-28)
เมื่อซาโลมอนประกอบด้วยสติปัญญาของพระเจ้าก็มีประชาชนนำเรื่องและปัญหามากมายมาเข้าเฝ้าพระองค์ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทำชื่อเสียงให้แก่ซาโลมอน เป็นอย่างมาก คือเรื่องของหญิงสองคนที่แย่งลูกกัน เรื่องมีอยู่ว่าหญิงสองคนนี้อยู่บ้านเดียวกัน คลอดลูกในเวลาใกล้เคียงกันแต่คนหนึ่งนอนทับลูกตัวเองจนตาย ก็เลยเอามาเปลี่ยนกับลูกของอีกคนหนึ่ง เมื่ออีกคนหนึ่งตื่นขึ้นมาพบว่าเด็กตายแล้ว แต่ไม่ใช่ลูกของอีกคนหนึ่ง เมื่ออีกคนตื่นขึ้นมาพบว่าเด็กตายแล้ว แต่ไม่ใช่ลูกของตัวเอง จึงเป็นเรื่องมาให้พระราชาตัดสิน และพระราชาตรัสว่า “เอาดาบมาให้เราเล่มหนึ่ง .. จงแบ่งเด็กที่มีชีวิตนั้นออกเป็น 2 ท่อนและให้คนหนึ่งครึ่งหนึ่งและอีกคนหนึ่งครึ่งหนึ่ง” (3:24-25) สรุปว่าหญิงคนที่เป็นแม่ตัวจริงไม่ยอมให้แบ่งเด็ก แต่ขอให้ยกให้อีกคน ส่วนอีกคนหนึ่งขอให้แบ่ง แล้วพระราชาตัดสิน มอบเด็กให้แก่คนที่ไม่ยอมให้แบ่งเด็ก เพราะเธอมีความอาลัยในบุตรของเธอ คนอิสราเอลทั้งปวงทราบเรื่องการพิพากษา ..และเขาทั้งหลายประจักษ์ว่า พระสติปัญญาของพระเจ้าอยู่ในพระองค์ที่จะทรงวินิจฉัยให้ความยุติธรรม (2:28)



พระปัญญาของซาโลมอน
ในหนังสือ 1 พงษ์กษัตริย์ 4:29-34 กล่าวว่า “... พระเจ้าทรงประทานสติปัญญา และความเข้าใจแก่ซาโลมอนอย่างเหลือประมาณ ทั้งพระทัยอันกว้างขวางดุจทะเลทรายที่ชายทะเล และสติปัญญาของซาโลมอนล้ำกว่าสติปัญญาทั้งสิ้นของชาวตะวันออกและกว่าบรรดาสติปัญญาของอียิปต์ เพราะพระองค์ทรงมีสติปัญญาฉลาดกว่าคนอื่นทุกคน..พระนามของพระองค์ก็เลื่องลือไปในทุกประชาชาติที่อยู่ล้อมรอบพระองค์ตรัสสุภาษิตสามพันข้อด้วย และบทเพลงของพระองค์มีหนึ่งพันห้าบท พระองค์ตรัสถึงต้นไม้ตั้งแต่สีดาร์ซึ่งอยู่ในเลบานอน จนถึงต้นหุสบซึ่งงอกออกมาจากกำแพง พระองค์ตรัสถึงสัตว์ป่าด้วย ทั้งบรรดานกและสัตว์เลื้อยคลานและปลา และคนมาจากชนชาติทั้งหลาย เพื่อฟังสติปัญญาของซาโลมอน และมาจากบรรดาพระราชาแห่งแผ่นดินโลก ผู้ได้ยินถึงสติปัญญาของพระองค์

ยังมีอีกหลายเรื่องของซาโลมอนที่ขอไม่กล่าวถึงในตอนนี้ เพราะกลัวว่าจะยาวเกินไป แต่จะกล่าวเป็นข้อที่เด่น ๆ พอสังเขป ก็คือ


1. การสร้างพระวิหารของพระเจ้า
2. การมอบถวายพระวิหาร
3. พระนางเชบาเสด็จเยี่ยมซาโลมอน


4. ความมั่งคั่งกับพระเกียรติเลื่องลือของซาโลมอน ขนาดมีกองทัพเรือ ถือว่าเป็นกษัตริย์องค์แรกของอิสราเอลที่มีทัพเรือ เพื่อใช้ในการขนทรัพย์สมบัติ (1 พกษ. 10:22-25)
เพราะความมีสติปัญญาของพระองค์นั่นเองทำให้มีคนทั่วทั้งโลกอยากมาฟังสติปัญญาของพระองค์ทุกคนที่มาก็นำเครื่องบรรณาการมาด้วย ทำให้ซาโลมอนร่ำรวยเพราะทางนี้ด้วย
5. ทรงค้าม้า และรถรบ
6. ทรงหลงเจิ่นจากพระศาสนาและเรื่องปรปักษ์ของพระองค์ เพราะเหตุที่มีมเหสีถึง 700 องค์ และนางห้ามอีก 300 คน หญิงหลายคนเป็นคนต่างด้าว และนำพระของตัวเองมาบูชาด้วย (1 พกษ.11:1-8)
7. มรณกรรมของซาโลมอน

ในพระคัมภีร์เดิมกล่าวถึงหนังสือที่เขียนโดยซาโลมอนไว้ 3 เล่มด้วยกัน คือ สุภาษิต ปัญญาจารย์ และเพลงซาโลมอน
(บทความจาก เรียนรู้อดีต ลิขิตอนาคต เขียนโดย อภิรักษ์ สอนพรินทร์)