ณ ที่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
ขณะที่เด็กวันรุ่น 2 คนเดินผ่านร้านอาหาร ผู้ใหญ่คนหนึ่งนั่งอยู่ที่ร้านอดไม่ได้ ตะโกนถามว่า "ออกไปแล้วได้อะไร?"
เพราะรู้แน่ๆ ว่าเด็กพวกนี้ไปม็อบ เด็กสมัยนี้ ฉะฉาน ไม่ก้มหน้า และปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปเงียบๆ ก็เลยสวนกลับไปว่า "แล้วที่นั่งอยู่เฉยๆ เนี้ยได้อะไร?"
(**ขอขอบคุณต้นเรื่องจากปากแม่ค้าที่เห็นเหตุการณ์)
"ทำไมคุยเรื่องการเมืองไม่ได้กับคนไทย" เพื่อนมิชชั่นนารีชาวเกาหลีใต้กล่าวด้วยความสงสัย? เขาจึงเล่าเรื่องประสบการณ์ในช่วงวัยรุ่นให้ฟัง
การประท้วงที่เกาหลีใต้ มีทั้งนักศึกษาและประชาชนออกมาประท้วงอย่างกว้างขวาง เพื่อขับไล่รัฐบาลเผด็จการ แน่นอน เขาเป็นคริสเตียน และกำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนพระคริสตธรรม มีการประท้วงเกือบทุกวัน เขาออกไปร่วม เอาน้ำมันใส่ขวด เพื่อเป็นระเบิดเพลิง ไว้ขว้างปาใส่ตำรวจ-ทหารที่ออกมาปราบปรามประชาชน ที่โบสถ์ มีการอธิษฐานเผื่อเรื่องเหตุการณ์การชุมนุม เขาโกรธ และโมโห ที่เพื่อนของเขาไม่ออกมาร่วม เขามองว่าเพื่อนคริสเตียนคนนี้ขี้ขลาดตาขาว อ่อนแอ และ...ฯลฯ มัวแต่อธิษฐานอยู่ได้ มันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอก
หลายสิบปีต่อมา...
การประท้วงที่เกาหลีใต้ ประสบความสำเร็จ สื่อมวลชน สำนักข่าว มองเห็นความจริง ยอมเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา และเข้าร่วมที่จะเปิดเผยความจริง
เกาหลีใต้เป็นประเทศประชาธิปไตย ที่เราเห็นแล้วว่ากฎหมายสามารถเอาผิดกับผู้นำประเทศได้ด้วยขบวนการยุติธรรมทางกฎหมาย ที่ตรวจสอบที่มาที่ไปได้อย่างโปร่งใส
มิชชั่นเกาหลีใต้ท่านนี้ ได้ยกตัวอย่าง อพยพ บทที่ 17 ข้อ 8 -15 เรื่องทำสงครามกับคนอามาเลข
ถ้าโมเสสไม่ยกมือขึ้น (อธิษฐาน) อิสราเอลก็คงไม่ได้รับชัยชนะ แน่นอนการยกมือคนเดียวคงเมื่อยล้า อาโรนและเฮอร์ก็ช่วยยกมือท่านคนละข้าง
(**ขอขอบคุณต้นเรื่องจากเพื่อนมิชชั่นเกาหลีใต้ ต่อมา เพื่อนที่เป็นนักอธิษฐานกลายเป็นนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงของเกาหลีใต้ ส่วนผู้ที่ออกมาประท้วงกลายเป็นมิชชั่นนารีหลายคน)
เมื่อดาเนียลอธิษฐาน แม้จะผิดกฎหมายบ้านเมือง จนตัวเองต้องถูกจับโยนไปในถ้ำสิงโต แต่สุดท้าย เยรูซาเล็มได้กลับมารื้อฟื้นบ้านเมืองใหม่ พระวิหารได้รับการบูรณะ
เมื่อเอสเธอร์อธิษฐาน แม้จะเสี่ยงแต่กฎหมายบ้านเมือง ในการล้างเผ่าพันธุ์ชนชาติอิสราเอลของเธอและเธออาจจจะถูกปลดออกจากตำแหน่งราชินี กฎหมายที่ตราแล้วเปลี่ยนไม่ได้ในการอนุญาตให้มีการจับกุมคนยิว แต่เมื่อมีการร่างกฎหมายใหม่เพิ่มเติม โดยอนุญาตให้ชาวยิวป้องกันตัวเอง และต่อสู้คนที่จะมาทำร้ายชาวยิวได้ พวกเขารับมอบอำนาจให้ต่อต้านได้อย่างเต็มที่
สุดท้าย ชาวยิวล้างบางคนคิดร้ายได้สำเร็จ จนเกิดเทศกาลปูริม มอบของขวัญให้กันและกัน ฮามาน ผู้ร่างกฎหมายเพื่อทำร้ายคนอื่น ก็ถูกแขวนคอที่ตัวเองสร้างขึ้นมา
แม้แต่ ปิลาต ผู้ปกครองจากโรมัน ที่อนุญาตให้มีการตรึงกางเขนพระเยซู ก็ถูกปลดจากตำแหน่ง เพราะปัญหาการคอรับชั่นของตนเองในกรุงเยรูซาเล็ม
คายาฟาส มหาปุโรหิต (คศ.18-36) ก็ถูกปลดจากตำแหน่งใหญ่ หมดอำนาจวาสนา เพราะโรมันเห็นว่าหมดประโยชน์
ปี คศ. 66 เกิดกบฏชาวยิวขึ้น ช่วงแรกสามารถขับไล่และต่อต้านทหารโรมันได้ แต่ต่อมาใน คศ.70 เยรูซาเล็มถูกทำลาย พระวิหารถูกเผา ชาวยิวกลายเป็นทาส และกระจัดกระจายไป
อย่าไปบังคับใครให้ทำอะไร? ถ้าปากของคุณพูดออกมาว่าไปชุมนุม เพื่อแสดงจุดยืนทาง "ประชาธิปไตย"
แต่คุณเองกลับบังคับคนอื่น ให้ออกไป หรือคิดเหมือนคุณ การกระทำแบบนั้น เขาเรียกว่า "เผด็จการ" เช่นกัน