บทความจากหนังสือ "เรียนรู้อดีต ลิขิตอนาคต"
ประวัติศาสตร์โลกถูกเปิดเผยออกเรื่อย ๆ จนทำให้เราสามารถเรียนรู้ถึงอดีตกาลได้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับพื้นพิภพแห่งนี้ สำหรับประเทศไทยเรานั้นถ้าพูดถึงประวัติศาสตร์แล้วพบว่าในสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พ.ศ.1820-1860 (ค.ศ.1277-1317) กำหนดอักษรไทยในปี พ.ศ.1826 (ค.ศ.1283) ตรงกับประวัติศาสตร์ยุโรปที่เกิดสงครามครูเสด (ค.ศ.1238-1378) แต่ถ้าเปรียบเทียบกับเรื่องราวของอาณาจักรอียิปต์กับประเทศไทยนั้น เรายังไม่รู้เลยว่าพวกคนไทยนั้นอยู่ที่ไหน แต่พอจะทราบได้ว่าคนไทยก็รู้จักอียิปต์บ้างเหมือนกัน จากบทกลอนบทหนึ่งของท่านสุนทรภู่ กวีเอกของไทยกล่าวเอาไว้ว่า “ไอยคุปโตโกสัมพีระดีระดิ่น...”
ในปี 1966 ได้มีการตีพิมพ์พระคัมภีร์เป็นภาษาไทย (ซึ่งแปลออกมาจากภาษาเดิมเป็นของหอพระคริสต์ธรรมประเทศไทย (Thailand Bible House) พิมพ์ที่ฮ่องกง) ใช้ชื่อว่า “พระคริสตธรรมเดิม” คือ มีหนังสือในเล่มอยู่ 39 เรื่อง (พระคัมภีร์ปัจจุบันมี 66 เรื่องรวมทั้งฉบับเดิม 39 เรื่องและใหม่ 27 เรื่อง) ตั้งแต่ปฐมกาล-มาลาคี ซึ่งในภาษาในฉบับเดิมนี้เรียกหนังสือ ปฐมกาลว่า “เยเนซิส” และในหนังสือเล่มนี้เรียกอียิปต์ว่า “อายฆุบโต” (เยเนซิส 12:10)
อียิปต์ ไอยคุปโต หรือ อายฆุบโต ได้ชื่อว่าดินแดนแห่งความเร้นลับ และไสยศาสตร์ที่แตกต่างจากอาณาจักรอื่น ๆ นับตั้งแต่อดีตกาลมา เป็นอาณาจักรที่ยึดมั้นในลัทธิความเชื่อ และขนบธรรมเนียมประเพณีของตนเองมากที่สุด และมีอิทธิพลต่ออารยธรรมของชาติอื่น ๆ หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทางประติมากรรม สถาปัตยกรรม การชลประทาน และการแพทย์ ฯลฯ
เรื่องราวของอียิปต์เริ่มเป็นที่รู้จักเมื่อนักปราฃญ์กรีกโบราณ คือ “เฮโรโดตุส บิดาแห่งประวัติศาสตร์” ได้ค้นพบดินแดนแห่งนี้ราวๆ 500 ปี ก่อนคริสตกาล กล่าวกันว่าเฮโรโดตุสเคยเดินทางไปอียิปต์ประมาณ 450 ปีก่อนคริสตกาล และได้พบกับนักบวชชั้นสูงที่เชี่ยวชาญในการอ่านภาษาภาพโบราณที่แกะสลักจารึกไว้ตามผนังวิหาร และสุสานต่างๆ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเรื่องราวของอาณาจักรอียิปต์จึงถูกเปิดเผยออกสู่สายตาชาวโลก ... ผมขอวกกลับมายังเรื่องราวของโมเสสตามที่ได้สัญญาไว้ว่าจะมานำเสนอต่อท่านผู้อ่านว่าทำไมโมสสต้องให้อาโรนมาเป็นเพื่อน แต่ก่อนอื่นขอเท้าความก่อนว่าคนฮีบรูมาอยูอียิปต์ได้อย่างไร
ประวัติย่อเรื่องโยเซฟ
เรื่องราวที่เกิดขึ้นนับสืบเนื่องมาจากเกิดการกันดารอาหารเป็นอย่างมากทั่วแผ่นดิน ซึ่งก่อนหน้านั้นโยเซฟบุตรชายของยาโคบถูกพวกพี่ชายขายเป็นทาสเพราะความอิจฉาน้อง และถูกนำมาที่อียิปต์ ต่อมาภายหลังได้เป็นใหญ่เป็นโตในอียิปต์ควบคุมการสะสมเสบียง เพราะสามารถทำนายความฝันของฟาโรห์ได้ (ปฐก.41:1-57) “การกันดารอาหารแผ่ไปทั่วแผ่นดิน โยเซฟก็เปิดฉางออกขายข้าวแก่ชาวอียิปต์ เพราะการกันดารอาหารในแผ่นดินรุนแรงมาก ยิ่งกว่านั้นทั้งโลกก็มายังประเทศอียิปต์หาโยเซฟเพื่อซื้อข้าว เพราะกันดารอาหารร้ายแรงทั่วโลก” (ปฐก.41:56-57) และโดยเหตุนี้เองพี่น้องของโยเซพก้มาซื้ออาหารด้วยเช่นกัน ภายหลังโยเซฟสำแดงตัวให้พี่น้องรู้ว่าตนเป็นใคร (ปฐก.45:1-28) ทำให้ยาโคบกับครอบครัวเดินทางมายังอียิปต์ (ปฐก.46:1-7)
การขาดแคลนอาหารดำเนินไปหลายปีขนาดประชาชนทั่วแผ่นดินอียิปต์ทั้งหมด ต้องนำสัตว์มาแลกอาหาร สุดท้ายต้องขายไร่ขายนา ขายตัวเองเป็นทาส “ส่วนประชาชนอียิปต์นั้นโยเซฟให้เป็นทาสทั่วบ้านทั่วเมือง” (ปฐก.47:21) โยเซฟจบชีวิตลงเมื่อท่านอายุได้ 110 ปี (ปฐก.50:26)
เหตุผลทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องของโยเซฟที่ได้เป็นใหญ่
ช่วงเวลาประมาณ 1700 ปีก่อนคริสตกาล อาณาจักรอียิปต์อ่อนแอลงจนทำให้พวก “ฮิกโซส (Hyksos)” (ฮิกโซสเป็นภาษาอียิปต์ใช้ทับศัพท์แปลว่า “เจ้านายต่างชาติ”) บุกยึดเมืองได้ ทั้งๆ ที่พวกนี้เป็นชาวเผ่าร่อนเร่ ป่าเถื่อนและด้อยพัฒนากว่า ในยุคนี้ไม่มีหลักฐานทางโบราณคดีมากนัก ทั้งๆที่ชาวอียิปต์มักจะเป็นชนชาติที่ช่างเขียนช่างจดช่างสลัก นักโบราณคดีพยายามหาข้อเท็จจริงจึงพบว่าอาณาจักรอียิปต์ในยุคนี้ถูกปกครองโดยกษัตริย์ต่างแดน คือราชวงศ์ฮิกโซสนั้นเอง ปกครองถึง 6 รัชกาล ถึงแม้ว่าพวกฮิกโซสไม่ใช่ชาวอียิปต์ แต่พวกเขาได้ปกครองอียิปต์ตามแบบเดิม และประชาชนชาวอียิปต์ก็ยินยอม แต่สาเหตุที่ไม่มีงานศิลปะออกมาเลยเพราะพวกฮิกโซสเป็นเพียงชาติที่เร่ร่อนในทะเลทราย ไม่มีศิลปะอารยธรรมเป็นของตน เมื่อมายึดครองอียิปต์ก็มัวหลงเพลิดเพลินอยู่กับความงามของมหานครจึงไม่มีความคิดจะสร้างสรรค์อะไร
การที่โยเซฟ อดีตทาสชาวฮีบรูได้รับอำนาจสูงสุดตำแหน่งรองจากฟาโรห์นั้น นักโบราณคดีพากันสงสัยกันใหญ่ว่า เหตุใดฟาโรห์จึงยอมให้ทาสเป็นใหญ่ เพราะเท่าที่ผ่านมาชาวอียิปต์นั้นถือว่าตนเจริญสูงสุดในโลก และเหยียดหยามชนชาติอื่นต่ำกว่าตนไปหมด ในที่สุดก็สรุปได้ว่าเพราะฟาโรห์ชาวฮิกโซสก้เป็นชาวต่างชาติเหมือนกัน และเห็นความฉลาดของโยเซฟดังในหนังสือปฐมกาลบทที่ 41:39 ฟาโรห์จึงตรัสกับโยเซฟว่า “เพราะพระเจ้าได้ทรงสำแดงเรื่องนี้ทั้งสิ้นแก่ท่าน จะมีผู้ใดที่มีความคิดดี และมีปัญญาเหมือนท่านก็ไม่ได้ เราจะตั้งท่านไว้ให้ดูแลราชสำนัก และให้ประชาชนทั้งหลายของเราปฏิบัติตามท่าน...” และโยเซฟได้ชื่อใหม่อีกว่า “ศาเฟนาท-ปาเนอาห์” และได้ภรรยาชาวอียิปต์ชื่อ “อาเสนัท” บุตรของโปทิเฟรา (ปฐก.41:45) มีบุตร 2 คนชื่อ “มนัสเสห์” และ “เอฟราอิม” (ปฐก.41:51-52)
หลายร้อยปีผ่านไปจนมาถึงสมัยของฟาโรห์องค์ใหม่ที่ไม่รู้จักเรื่องราวของโยเซฟ (ราชวงศ์ฮิกโซสถูกยึดอำนาจคืนโดย อาโมซีสที่ 1 แห่งธีบิส) เห็นว่าคนฮีบรูชักจะมีมากเกินไปแล้วเกรงว่าจะยากแก่การปกครองจึงคิดจะกำจัดจึงทำการบีบบังคับต่างๆ นานาแต่คนฮีบรูก็มากขึ้นเรื่อยๆ จึงมีคำสั่งว่า “บุตรชายฮีบรูทุกคนที่เกิดมาให้เอาไปทิ้งเสียในแม่น้ำไนล์...” (อพย.1:22) เข้าใจว่าเป็นการบูชาแก่เทพ และเทวีต่างๆ ของอียิปต์ที่ปกป้องแม่น้ำไนล์ด้วย
กำเนิดโมเสส (อพย.1:1-10)
“ยังมีชายเผ่าเลวีคนหนึ่ง ได้หญิงสาวคนเลวีมาเป็นภรรยา หญิงนั้นตั้งครรภ์คลอดบุตรชาย เมื่อนางเห็นบุตรน่ารักจึงซ่อนตัวไว้ถึงสามเดือน...” (ข้อ 1) มาถึงตอนสำคัญของเรื่องแล้ว ด้วยความรักของนางโยเคเบดผู้เป็นมารดามิอาจจะให้บุตรของตนเสียชีวิตได้ ครั้นจะซ่อนต่อไปอีก เรื่องก็จะแดงออกมา จึงเอาตระกร้าสานด้วยกก ยาดวยยางมะตอย และชัน เอาทารกใส่ในระกร้าแล้วเอาทารกไปวางไว้ที่กอปรือริมแม่น้ำ แล้วให้มีเรียมพี่สาวไปคอยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผลปรากฏว่ามีพระราชธิดาของฟาโรห์ลงไปทรงน้ำที่แม่น้ำพระนางเห็นตระกร้าจึงให้สาวใช้ไปนำมาเปิดตระกร้าเห็นเด็กกำลังร้องไห้ มีเรียมเห็นได้ทีจึงโผล่พรวดเข้าไป และทูลว่า "จะให้หม่อมฉันไปหานางนมชาวฮีบรูมาเลี้ยงทารกนี้ให้นางไหม” (ข้อ 7) เป็นอันว่าก็รอดตายโดยความกล้าหาญของมีเรียมพี่สาวที่กล้ามาพูดกับราชธิดาของฟาโรห์แถมนางโยเคเบดยังได้เลี้ยงลูกตัวเอง และยังได้ค่าจ้างเลี้ยงดูอีกด้วย
ดังนั้น อับราม และนางโยเคเบดได้บุตรกลับคืนมาโดยไม่ต้องกลัวอีกแล้ว พวกทหารคงไม่กล้ามายุ่งกับเด็กที่ราชธิดาของฟาโรห์รับไว้ให้เป็นพระราชบุตรบุญธรรมของพระนางเป็นแน่ เขาทั้งสองคงจะขอบคุณพระเยโฮวา สำหรับวิถีทางอันอัศจรรย์ที่ทรงปกป้องเด็กเอาไว้
จากวันกลายเป็นเดือนที่เลื่อนผ่านไป จากทารกน้อยสู่การเป็นเด็กที่เติบโตขึ้นท่ามกลางความสุข ความอบอุ่นของครอบครัว เขาได้ปลูกฝังเด็กน้อยให้ได้รู้ถึงความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าและพระราชกิจอันใหญ่ยิ่งของพระองค์ เรียนรู้ถึงการนมัสการพระเยโฮวาซึ่งเป็นพระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ
สู่พระราชวังในฐานะเจ้าชาย
“เมื่อทารกเติบใหญ่ขึ้นแล้ว นางก้พามาถวายพระราชธิดาของฟาโรห์ พระนางก็รับไว้เป็นพระราชบุตรของพระนาง ประทานชื่อว่า “โมเสส” ตรัสว่า “เพราะเราได้ฉุดขึ้นมาจากน้ำ” (อพย.2:10)
พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าพ่อแม่ของโมเสสนำเขามาถวายให้พระราชธิดาตอนอายุเท่าไหร่ แต่ก็มีบางตำราตั้งข้อสังเกตไว้ว่าน่าจะเป็นช่วงอายุประมาณ 4-5 ขวบ เด็กตั้งแต่วัยแรกเกิดจนถึง 3 ขวบนั้นเป็นวัยที่สามารถรับรู้ มีระบบย่อยข่าวสารขั้นพื้นฐานซึ่งสำคัญมาก เนื่องจากเด็กได้รับการกระตุ้นจากภายนอก ส่วนในเรื่องความนึกคิด ความมุ่งมั่น ความคิดสร้างสรรค์ ความเข้าใจ อารมณ์ ซึ่งเป็นเรื่องระดับสูงจะถูกสร้างหลังจากอายุ 3 ขวบ กล่าวคือ เป็นส่วนที่ว่าจะเอาส่วนที่ถูกสร้างมาก่อนอายุ 3 ขวบ ไปใช้อย่างไร จากพระคัมภีร์ใหม่ในหนังสือฮีบรูบทที่ 11 ข้อ 24 กล่าวว่า “เพราะความเชื่อ เมื่อโมเสสโตแล้วท่านไม่ยอมให้ใครเรียกท่านว่าเป็นบุตรของธิดากษัตริย์ฟาโรห์” นั่นแสดงให้เห็นว่าโมเสสถูกปลูกฝังมาอย่างดีจากพ่อแม่ของเขาในเรื่องชาติกำเนิดของตน
ตั้งแต่โมเสสเข้ามาอยู่ในพระราชวังในฐานะพระราชบุตร เขาก็ได้รับการศึกษาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การเขียน การอ่านจารึกโบราณ ภาพเขียนแห่งอียิปต์ แม้แต่ความลึกลับแห่งศาสนาอียิปต์ การบวงสรวงในวิหาร (อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้โมเสสมีความสามารถในการเขียนพระคัมภีร์เล่มแรก หนังสือปฐมกาลจากตำนานโบราณที่ได้เรียนรู้มา และการดลใจจากพระเจ้า โมเสสได้เขียนหนังสือเล่มอื่น ๆ อีก 4 เล่ม คือ อพยพ เลวีนิติ กันดารวิถี เฉลยธรรมบัญญัติ) เรียกได้ว่าเรียนรู้กันแบบครบหลักสูตรสมฐานะเจ้าชายแห่งอียิปต์ พระราชบุตรแห่งธิดาฟาโรห์ จนเขาเติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มรูปงามเพียบพร้อมไปด้วยความรอบรู้ ส่วนเรื่องราวของโมเสสตอนที่หนีไปมีเดียนนั้นเกิดขึ้น เพราะเขาได้ฆ่าคนอียิปต์ที่ไปตีคนฮีบรู อีกวันต่อมาคนฮีบรูตีกันเอง โมเสสไปห้าม กลับถูกต่อว่า “ใครแต่งตั้งท่านให้เป็นเจ้านายและเป็นตุลาการปกครองข้าพเจ้า ท่านตั้งใจจะฆ่าข้าพเจ้าเหมือนกับที่ได้ฆ่าคนอียิปต์คนนั้นหรือ” (อพย.2:14) โมเสสได้ฟังแล้วก็กลัว จึงหนีไปอยู่มีเดียนก็ได้ภรรยา และมีบุตรชาย เวลาผ่านล่วงเลยไป จนฟาโรห์สิ้นพระชนม์....
ทรงเรียกโมเสส (อพย.3)
โมเสสมาอยู่มีเดียนหลายสิบปี จากเจ้าชายกลับกลายมาเป็นคนเลี้ยงแกะ จากคนที่มีความรู้เก่งกล้าสามารถกลับมาเป็นคนเงียบขรึม และไม่ค่อยพูดจากับใคร เพราะอยู่แต่กับแกะ จนพระเจ้าทรงเรียกโมเสส ให้เขาเห็นพุ่มไม้เป็นเปลวไฟโดยไม่ไหม้พระเจ้าต้องการใช้โมเสสให้ไปนำคนอิสราเอลมายังดินแดนแห่งพันธสัญญา เพราะเสียงร้องของคนอิสราเอลจากการโดนกดขี่ดังไปถึงพระเจ้า ฝ่ายโมเสสปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า จนพระเจ้าต้องสำแดงให้โมเสสเห็นฤทธิ์เดชแห่งพระเจ้า โดยให้ไม้เท้าของโมเสสกลายเป็นงู ทำให้มือเป็นโรคเรื้อน แต่โมเสสปฏิเสธอีกว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์มิใช่เป็นคนช่างพูด ทั้งในกาลก่อน และตั้งแต่เวลาที่พระองค์ตรัสกับผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าพระองค์เป็นคนพูดไม่คล่องแคล่ว” (อพย.4:10) บัดนี้โมเสสคนเก่งในอดีตฆ่าคนอียิปต์ในชั่วพริบตา เก่งกล้าเชิงยุทธ และความรู้กลับกลายเป็นคนพูดไม่คล่องแคล่วขาดความมั่นใจในตนเองไปเสียแล้ว พระเจ้าจึงตรัสว่า “...ไปเถิด เราจะอยู่ที่ปากของเจ้า และจะสอนคำซึ่งควรจะพูด” แต่โมเสสกลับทูลว่า “ข้าแต่พระเจ้าขอทรงโปรดใช้ผู้อื่นไปเถิดพระเจ้าข้า” พระเจ้าทรงกริ้วโมเสสจึงตรัสว่า “เจ้ามีพี่ชายคืออาโรนคนเลวีมิใช่หรือ เรารู้แล้วว่าเขาเป็นคนพูดเก่ง ..เขาจะเป็นปากแทนเจ้า...” (อพย.4:11-17)
เป็นอันว่าโมเสสยอมทำตามพระบัญชาของพระเจ้า เพราะมีอาโรนไปด้วยนี่เอง เหตุเพราะยังกลัวๆ นั่นเอง เลยต้องการมีเพื่อนไปด้ย จากตารางฤทธานุภาพ 11 ประการของพระเจ้าในฉบับที่แล้ว ทำให้เราทราบว่าในฤทาธานุภาพครั้งที่ 1-4 นั้น อาโรนเป็นคนที่กระทำการของพระเจ้าทั้งสิ้น ครั้งที่ 5-6 พระเจ้าดลบันดาลเอง ครั้งที่ 7-10 สังเกตได้ว่าความมั่นใจของโมเสสกลับคืนมาแล้วท่านจึงกระทำการของพระเจ้าเองโดยตลอด ยกเว้นครั้งสุดท้ายที่พระองค์ประหารบุตรหัวปีทั้งคน และสัตว์เลั้ยงทั่วทั้งอียิปต์ หลังจากนั้นโมเสสก็เป็นผู้นำคนอิสราเองโดยตลอด เพราะความมั่นใจในฤทธานุภาพของพระเจ้านั่นเอง ...
ฟาโรห์พระทัยแข็งกระด้าง
เรามาทำความรู้จักกับฟาโรห์ก่อนดีกว่าว่าเป็นใคร พระราชาของอียิปต์จะถูกเรียกว่า “ฟาโรห์” คำว่าฟาโรห์จึงไม่ใช่ชื่อคน แต่เป็นภาษาอียิปต์ใช้ทับศัพท์แปลว่า “กษัตริย์” ชาวอียิปต์ไม่เพียงแต่เคารพนับถือฟาโรห์อย่างสูงเท่านั้น เขายังเชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้าองค์หนึ่งที่ต้องเชื่อฟ้ง ไม่กล้าละเมิดพระดำรัสของพระองค์...
ทำไมฟาโรห์ถึงพระทัยแข็งกระด้างครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าจะตอบโดยใช้หลักฐานจากพระคัมภีร์เพียงอย่างเดียวก็คงจะต้องตอบว่าเพราะ “พระเจ้าทรงบันดาลให้พระทัยฟาโรห์แข็งกระด้าง” เป็นคำพูดที่นักเทศน์หลายท่านนำมาใช้บ่อย ๆ ในการเทศนาเรื่องนี้ ซึ่งจากพระคัมภีร์นั้นมีข้อสังเกตเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายจุดด้วยกัน โดยเริ่มจากตอนที่พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “เราจะทำให้ใจของฟาโรห์แข็งกระด้าง แม้เราจะกระทำหมายสำคัญ และอัศจรรย์ให้ทวีมากขึ้นในประเทศอียิปต์ ฟาโรห์ไม่เชื่อฟังเจ้า” (อพย.7:3-4) พระคัมภีร์บันทึกคำว่า “จริงดังที่พระเจ้าตรัสว่าพระทัยฟาโรห์ก็แข็งกระด้างหายอมเชื่อไม่” กล่าวในทำนองเดียวกันเช่นนี้ถึง 6 ครั้ง มีคำว่า “พระเจ้าทรงให้พระทัยของฟาโรห์แข็งกระด้าง” 3 ครั้งและพระทัยของฟาโรห์แข็งกระด้างเอง 1 ครั้ง ส่วนครั้งสุดท้ายถึงยอมปล่อยคนอิสราเอล สาเหตุสำคัญที่ฟาโรห์จำเป็นต้องพระทัยแข็งกระด้างหลายครั้งเพื่อการอัศจรรย์ของพระเจ้าจะได้เพิ่มขึ้นในอียิปต์ (อพย.11:9) และเพื่อคนอิสราเอลจะออกจากอียิปต์อย่างสมกับเป็นประชากรของพระเจ้าที่ทรงเลือกสรรไว้ ซึ่งจากการที่คนอิสราเอลออกจากอียิปต์นั้น ทำให้มีชื่อเสียงไปทั่วดินแดนต่างๆ เมื่อคนอิสราเอลยกไปที่ไหน ก็สามารถปราบเมืองต่าง ๆ นั้นได้โดยง่าย เพราะพวกชาวเมืองต่างๆ กลังเกรงอำนาจของพระเจ้า
ยังมีอีกมุมมองหนึ่งของเรื่องนี้ คือตามตำนานโบราณของอียิปต์จากอักขระอักษรภาพโบราณที่เก่าแก่ตามกำแพง และเสาในมหาวิหารต่างๆ ที่มีผู้ถอดความออกมาเป็นภาษาปัจจุบัน ได้กล่าวถึงเรื่องราวของเวทมนตร์ต่างๆ ที่มีอย่างดาษดื่นในอียิปต์เชื่อกันว่าใครได้เรียนมหาเวทจากคัมภีร์เทพเจ้าท็อต ก็จะกลายเป็นผู้เก่งฉกาจไร้เทียมทาน นักบวชตามวิหารเทพ ก็ต้องมีศิลปวิทยาการไว้โชว์ให้ฟาโรห์เห็นบ้างตามยุคสมัยของเขา ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาๆ ในสายตาของฟาโรห์เห็นบ้างตามยุคสมัยของเขา ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาๆ ในสายตาของฟาโรห์ พระองค์มองดูเรื่องเช่นนี้เป็นเพียงแค่ความบันเทิงอย่างหนึ่งเท่านั้น การที่โมเสส และอาโรนมาสำแดงกิจมหัศจรรย์ต่างๆ คนของฟาโรห์ก็ทำได้ถึง 3 ครั้ง ดังนั้นจึงน่าจะสรุปได้ว่าฟาโรห์เห็นแล้วเฉย ๆ เพราะเห็นมาบ่อยจึงคิดว่าสิ่งที่โมเสส และอาโรนกระทำนั้นเป็นเพียงการแสดงกลให้ดูตามจารึกโบราณบันทึกว่าเคยมีการประลองเวทมนตร์ระหว่างสองอาณาจักร คือ อียิปต์ และเอธิโอเปีย ผลปรากฎว่า ชาวเอธิโอเปียพ่ายแพ้ต่อหน้าพระที่นั่งฟาโรห์ ไม่เพียงเท่านี้ ในประเทศอียิปต์นั้นทุกกิจกรรมของพวกเขามักจะมีเรื่องไสยศาสตร์ เวทมนตร์ คาถา มาเกี่ยวข้องด้วยเสมไม่ว่าจะเป็นการทำการเกษตร การสร้างปิรามิด การทำพิธีศพ (ดังตัวอย่างในฉบับที่แล้ว) การสงคราม ฯลฯ แม้ในปัจจุบันผู้คนยังเชื่อถือในคำสาบแห่งสุสานฟาโรห์ใครไปยุ่งเกี่ยวต้องมีอันเป็นไปถึงชีวิต
คนทำวิทยาคม
ในอดีตกาลที่ผ่านมา มนุษย์เราถูกดึงดูดใจ และควบคุมโดยความลึกลับแห่งวิทยาคม ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “magic” แปลว่า “เวทมนตร์คาถา อำนาจวิเศษ อาถรรพณ์ มายากล” มาจากคำว่า “magi (อ่านว่า เม-ไจ)” หมายถึง นักบวชชาวเปอร์เซียโบราณ ซึ่งเชี่ยวชาญกิจกรรมทางศาสนาโดยเฉพาะ ความหมายตรง ๆ ก็คือ ความพยายามจะควบคุม หรือบังคับพลังธรรมชาติ หรือเหนือธรรมชาติให้ทำตามคำสั่งมนุษย์
พระคัมภีร์เดิมได้พูดถึงพวกวิทยาคมไว้หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น ปฐมกาล 41:12-14 ดาเนียล 2:27, 4:7 นักวิทยาคมมีบทบาทมากในอียิปต์ บาบิโลน อิทธิพลนี้ยังแพร่มายังพวกกรีก และชาวโรมัน สังเกตได้จากแต่ละวิหารของแต่ละชนชาติจะมีพระ หรือผู้ประกอบพิธีสำแดงอภินิหารให้เห็นเป็นประจำ เมื่อประกอบพิธีใดพิธีหนึ่ง
จะขอแบ่งรูปแบบของมายากลตามแบบของโรเบิร์ต เอ. สเต็บบินส์ ซึ่งจัดแบ่งออกมาได้ 3 ประเภทด้วยกัน คือ
1. มายากลลี้ลับ คือ “การแสดงถึงสิ่งลี้ลับ” มีการอ้างว่า “เหตุการณ์หรือกระบวนการต่างๆ ซึ่งขัดแย้งกับสามัญสำนึก หรือความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์” เป็น “ความจริงหรือถูกต้อง” สเต็บบินส์อธิบายว่า “มายากลลี้ลับคือผู้รับใช้ของเวทมนตร์คาถา พ่อมดหมอผี การเล่นแร่แปรธาตุ และศาสนา ภายใต้สภาพการณ์บางอย่าง”
2. มายากลแบบแสวงผลประโยชน์ “ผู้แสดงจะควบคุม หรือหลอกผู้ชมให้เข้าใจผิดจากความเป็นจริง เพื่อโอ้อวดอำนาจของตน” พวกเขารู้ว่ากำลังหลอกลวงผู้คน “พวกเขากระตุ้นผู้คน ซึ่งกำลังชมมายากลให้เชื่ออย่างอื่น ให้เชื่อว่าในฐานะมายากล พวกเขามีอำนาจเหนือธรรมชาติ หรือมีความเกี่ยวพันพิเศษกับสิ่งที่มีชีวิตซึ่งมีอำนาจเหนือธรรมชาติ” สเต็บบินส์กล่าว
3. มายากลเพื่อความบันเทิง มีจุดมุ่งหมายเพื่อเร้าให้เกิดความงงงวยพิศวงโดยตบตา มายากลแบบนี้ แบ่งออกเป็น 5 วิธีพื้นฐาน คือ
3.1 มายากลบนเวที
3.2 มายากลที่ให้ดูใกล้ ๆ
3.3 วิทยากล
3.4 การลวงตา
3.5 การติดต่อทางจิต
พระคัมภีร์ว่าอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องผี
พระคัมภีร์กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจ้าอย่าเป็นหมอดูหรือเป็นหมอผี” (ลนต.19:26 ฉธบ.18:914) ในหนังสือกิจการกล่าวถึงชาวเมืองเอเฟซัสที่มาเชื่อแล้วได้เอาตำราเวทมนตร์มาเผาไฟต่อหน้าคนทั้งปวง “มีหลายคนที่เชื่อแล้วได้มาสารภาพ และเปิดเผยว่าเขาได้ใช้เวทมนตร์...” (กจ.19:18-19)
อันตรายจากมายากลแบบแสวงผลประโยชน์ หมอดูลายมือ ทำนายโชคชะตา รักษาโรคด้วยวิธีต่าง ๆ โดยใช้เวทมนตร์หรือของวิเศษ ฯลฯ พวกนี้ทำเพื่อประโยชน์ของตนเอง ดังข่าวในหนังสือพิมพ์ทั่วไปที่พาดหัวอยู่บ่อย ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ในประเทศไทย พระคัมภีร์กล่าวว่า “อย่า..ประพฤติคดโกง หรือมุสาวาทต่อกันและกัน” (ลนต. 19:11)
บางครั้งพวกวิทยาคมก็ไปยุ่งเกี่ยวกับวิญญาณของผู้ตาย ซึ่งบางคนต้องการจะติดต่อหรือทราบความเป็นอยู่ของญาติสนิทมิตรสหายของตนเองแม้จะเป็นการทำเล่น ๆ เมื่อได้โอกาสพวกปีศาจสามารถฉวยโอกาสนี้ และพยายามอย่างไม่ลดละ “เมื่อมารทำการทดลองทุกอย่างสิ้นแล้ว จึงละพระองค์ไปจนถึงโอกาสเหมาะ” (ลก.4:13) “แต่ว่าทุกคนก็ถูกล่อให้หลวเมื่อกิเลสของตัวเองล่อ และชักนำให้กระทำตาม” (ยก.1:14)
ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้จะเป็นใครอื่นไม่ได้นอกจาก “พญามาร” เพราะมันได้ชื่อว่า “ผู้ล่อลวง” ตั้งแต่สมัยปฐมกาลมาแล้ว (ปฐก.3:1-19) หนังสือธุรกิจเล่มหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า “ซาตาน” เป็น “เซลล์แมนคนแรกของโลก” คือมัน “ขายความเชื่อ” ใครจะขายความเชื่อบ้าง? หรือว่าขายไป แล้วอย่างไม่รู้ตัว เปาโลเขียนจดหมายบอกพี่น้องที่เมืองเอเฟซัสว่า “เหตุฉะนั้นท่านจงเลียนแบบของพระเจ้า..” (อฟ.5:1) ในหนังสือยากอบก็กล่าวในเรื่องนี้เช่นกัน “เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงน้อมใจยอมฟังพระเจ้า จงต่อสู้กับมาร และมันจะหนีท่านไป” (ยก.4:7)
มีหลายคนนำเรื่อง “มายากล” ไปรวมกับความบันเทิง อาจจะไม่มีใครคัดค้านเรื่องนี้ แต่ถ้ามีการเสแสร้งว่าเป็น “มายากลลี้ลับ” คริสเตียนควรใส่ใจกับเรื่องนี้ไหม .. ยังมีอันตรายแฝงอยู่มากมายเกี่ยวกับเรื่อง “มายากล” คริสเตียนแท้จึงครหลีกห่างจากการฝึกปฏิบัติสิ่งเหล่านี้ หรือข้องเกี่ยว หรือชมการแสดง “ข้าพเจ้ามิได้หมายถึงใจสำนักผิดชอบของท่าน แต่หมายถึงใจสำนึกผิดชอบของคนที่บอกนั้น” (1คร.10:29) “ในข้อนี้ข้าพเจ้าอุตสาห์ประพฤติตามจิตสำนึกเห็นว่าดีเสมอ มิให้ผิดต่อพระเจ้า และต่อมนุษย์” (กจ. 24:16)
ประวัติศาสตร์โลกถูกเปิดเผยออกเรื่อย ๆ จนทำให้เราสามารถเรียนรู้ถึงอดีตกาลได้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับพื้นพิภพแห่งนี้ สำหรับประเทศไทยเรานั้นถ้าพูดถึงประวัติศาสตร์แล้วพบว่าในสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พ.ศ.1820-1860 (ค.ศ.1277-1317) กำหนดอักษรไทยในปี พ.ศ.1826 (ค.ศ.1283) ตรงกับประวัติศาสตร์ยุโรปที่เกิดสงครามครูเสด (ค.ศ.1238-1378) แต่ถ้าเปรียบเทียบกับเรื่องราวของอาณาจักรอียิปต์กับประเทศไทยนั้น เรายังไม่รู้เลยว่าพวกคนไทยนั้นอยู่ที่ไหน แต่พอจะทราบได้ว่าคนไทยก็รู้จักอียิปต์บ้างเหมือนกัน จากบทกลอนบทหนึ่งของท่านสุนทรภู่ กวีเอกของไทยกล่าวเอาไว้ว่า “ไอยคุปโตโกสัมพีระดีระดิ่น...”
ในปี 1966 ได้มีการตีพิมพ์พระคัมภีร์เป็นภาษาไทย (ซึ่งแปลออกมาจากภาษาเดิมเป็นของหอพระคริสต์ธรรมประเทศไทย (Thailand Bible House) พิมพ์ที่ฮ่องกง) ใช้ชื่อว่า “พระคริสตธรรมเดิม” คือ มีหนังสือในเล่มอยู่ 39 เรื่อง (พระคัมภีร์ปัจจุบันมี 66 เรื่องรวมทั้งฉบับเดิม 39 เรื่องและใหม่ 27 เรื่อง) ตั้งแต่ปฐมกาล-มาลาคี ซึ่งในภาษาในฉบับเดิมนี้เรียกหนังสือ ปฐมกาลว่า “เยเนซิส” และในหนังสือเล่มนี้เรียกอียิปต์ว่า “อายฆุบโต” (เยเนซิส 12:10)
อียิปต์ ไอยคุปโต หรือ อายฆุบโต ได้ชื่อว่าดินแดนแห่งความเร้นลับ และไสยศาสตร์ที่แตกต่างจากอาณาจักรอื่น ๆ นับตั้งแต่อดีตกาลมา เป็นอาณาจักรที่ยึดมั้นในลัทธิความเชื่อ และขนบธรรมเนียมประเพณีของตนเองมากที่สุด และมีอิทธิพลต่ออารยธรรมของชาติอื่น ๆ หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทางประติมากรรม สถาปัตยกรรม การชลประทาน และการแพทย์ ฯลฯ
เรื่องราวของอียิปต์เริ่มเป็นที่รู้จักเมื่อนักปราฃญ์กรีกโบราณ คือ “เฮโรโดตุส บิดาแห่งประวัติศาสตร์” ได้ค้นพบดินแดนแห่งนี้ราวๆ 500 ปี ก่อนคริสตกาล กล่าวกันว่าเฮโรโดตุสเคยเดินทางไปอียิปต์ประมาณ 450 ปีก่อนคริสตกาล และได้พบกับนักบวชชั้นสูงที่เชี่ยวชาญในการอ่านภาษาภาพโบราณที่แกะสลักจารึกไว้ตามผนังวิหาร และสุสานต่างๆ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเรื่องราวของอาณาจักรอียิปต์จึงถูกเปิดเผยออกสู่สายตาชาวโลก ... ผมขอวกกลับมายังเรื่องราวของโมเสสตามที่ได้สัญญาไว้ว่าจะมานำเสนอต่อท่านผู้อ่านว่าทำไมโมสสต้องให้อาโรนมาเป็นเพื่อน แต่ก่อนอื่นขอเท้าความก่อนว่าคนฮีบรูมาอยูอียิปต์ได้อย่างไร
ประวัติย่อเรื่องโยเซฟ
เรื่องราวที่เกิดขึ้นนับสืบเนื่องมาจากเกิดการกันดารอาหารเป็นอย่างมากทั่วแผ่นดิน ซึ่งก่อนหน้านั้นโยเซฟบุตรชายของยาโคบถูกพวกพี่ชายขายเป็นทาสเพราะความอิจฉาน้อง และถูกนำมาที่อียิปต์ ต่อมาภายหลังได้เป็นใหญ่เป็นโตในอียิปต์ควบคุมการสะสมเสบียง เพราะสามารถทำนายความฝันของฟาโรห์ได้ (ปฐก.41:1-57) “การกันดารอาหารแผ่ไปทั่วแผ่นดิน โยเซฟก็เปิดฉางออกขายข้าวแก่ชาวอียิปต์ เพราะการกันดารอาหารในแผ่นดินรุนแรงมาก ยิ่งกว่านั้นทั้งโลกก็มายังประเทศอียิปต์หาโยเซฟเพื่อซื้อข้าว เพราะกันดารอาหารร้ายแรงทั่วโลก” (ปฐก.41:56-57) และโดยเหตุนี้เองพี่น้องของโยเซพก้มาซื้ออาหารด้วยเช่นกัน ภายหลังโยเซฟสำแดงตัวให้พี่น้องรู้ว่าตนเป็นใคร (ปฐก.45:1-28) ทำให้ยาโคบกับครอบครัวเดินทางมายังอียิปต์ (ปฐก.46:1-7)
การขาดแคลนอาหารดำเนินไปหลายปีขนาดประชาชนทั่วแผ่นดินอียิปต์ทั้งหมด ต้องนำสัตว์มาแลกอาหาร สุดท้ายต้องขายไร่ขายนา ขายตัวเองเป็นทาส “ส่วนประชาชนอียิปต์นั้นโยเซฟให้เป็นทาสทั่วบ้านทั่วเมือง” (ปฐก.47:21) โยเซฟจบชีวิตลงเมื่อท่านอายุได้ 110 ปี (ปฐก.50:26)
เหตุผลทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องของโยเซฟที่ได้เป็นใหญ่
ช่วงเวลาประมาณ 1700 ปีก่อนคริสตกาล อาณาจักรอียิปต์อ่อนแอลงจนทำให้พวก “ฮิกโซส (Hyksos)” (ฮิกโซสเป็นภาษาอียิปต์ใช้ทับศัพท์แปลว่า “เจ้านายต่างชาติ”) บุกยึดเมืองได้ ทั้งๆ ที่พวกนี้เป็นชาวเผ่าร่อนเร่ ป่าเถื่อนและด้อยพัฒนากว่า ในยุคนี้ไม่มีหลักฐานทางโบราณคดีมากนัก ทั้งๆที่ชาวอียิปต์มักจะเป็นชนชาติที่ช่างเขียนช่างจดช่างสลัก นักโบราณคดีพยายามหาข้อเท็จจริงจึงพบว่าอาณาจักรอียิปต์ในยุคนี้ถูกปกครองโดยกษัตริย์ต่างแดน คือราชวงศ์ฮิกโซสนั้นเอง ปกครองถึง 6 รัชกาล ถึงแม้ว่าพวกฮิกโซสไม่ใช่ชาวอียิปต์ แต่พวกเขาได้ปกครองอียิปต์ตามแบบเดิม และประชาชนชาวอียิปต์ก็ยินยอม แต่สาเหตุที่ไม่มีงานศิลปะออกมาเลยเพราะพวกฮิกโซสเป็นเพียงชาติที่เร่ร่อนในทะเลทราย ไม่มีศิลปะอารยธรรมเป็นของตน เมื่อมายึดครองอียิปต์ก็มัวหลงเพลิดเพลินอยู่กับความงามของมหานครจึงไม่มีความคิดจะสร้างสรรค์อะไร
การที่โยเซฟ อดีตทาสชาวฮีบรูได้รับอำนาจสูงสุดตำแหน่งรองจากฟาโรห์นั้น นักโบราณคดีพากันสงสัยกันใหญ่ว่า เหตุใดฟาโรห์จึงยอมให้ทาสเป็นใหญ่ เพราะเท่าที่ผ่านมาชาวอียิปต์นั้นถือว่าตนเจริญสูงสุดในโลก และเหยียดหยามชนชาติอื่นต่ำกว่าตนไปหมด ในที่สุดก็สรุปได้ว่าเพราะฟาโรห์ชาวฮิกโซสก้เป็นชาวต่างชาติเหมือนกัน และเห็นความฉลาดของโยเซฟดังในหนังสือปฐมกาลบทที่ 41:39 ฟาโรห์จึงตรัสกับโยเซฟว่า “เพราะพระเจ้าได้ทรงสำแดงเรื่องนี้ทั้งสิ้นแก่ท่าน จะมีผู้ใดที่มีความคิดดี และมีปัญญาเหมือนท่านก็ไม่ได้ เราจะตั้งท่านไว้ให้ดูแลราชสำนัก และให้ประชาชนทั้งหลายของเราปฏิบัติตามท่าน...” และโยเซฟได้ชื่อใหม่อีกว่า “ศาเฟนาท-ปาเนอาห์” และได้ภรรยาชาวอียิปต์ชื่อ “อาเสนัท” บุตรของโปทิเฟรา (ปฐก.41:45) มีบุตร 2 คนชื่อ “มนัสเสห์” และ “เอฟราอิม” (ปฐก.41:51-52)
หลายร้อยปีผ่านไปจนมาถึงสมัยของฟาโรห์องค์ใหม่ที่ไม่รู้จักเรื่องราวของโยเซฟ (ราชวงศ์ฮิกโซสถูกยึดอำนาจคืนโดย อาโมซีสที่ 1 แห่งธีบิส) เห็นว่าคนฮีบรูชักจะมีมากเกินไปแล้วเกรงว่าจะยากแก่การปกครองจึงคิดจะกำจัดจึงทำการบีบบังคับต่างๆ นานาแต่คนฮีบรูก็มากขึ้นเรื่อยๆ จึงมีคำสั่งว่า “บุตรชายฮีบรูทุกคนที่เกิดมาให้เอาไปทิ้งเสียในแม่น้ำไนล์...” (อพย.1:22) เข้าใจว่าเป็นการบูชาแก่เทพ และเทวีต่างๆ ของอียิปต์ที่ปกป้องแม่น้ำไนล์ด้วย
กำเนิดโมเสส (อพย.1:1-10)
“ยังมีชายเผ่าเลวีคนหนึ่ง ได้หญิงสาวคนเลวีมาเป็นภรรยา หญิงนั้นตั้งครรภ์คลอดบุตรชาย เมื่อนางเห็นบุตรน่ารักจึงซ่อนตัวไว้ถึงสามเดือน...” (ข้อ 1) มาถึงตอนสำคัญของเรื่องแล้ว ด้วยความรักของนางโยเคเบดผู้เป็นมารดามิอาจจะให้บุตรของตนเสียชีวิตได้ ครั้นจะซ่อนต่อไปอีก เรื่องก็จะแดงออกมา จึงเอาตระกร้าสานด้วยกก ยาดวยยางมะตอย และชัน เอาทารกใส่ในระกร้าแล้วเอาทารกไปวางไว้ที่กอปรือริมแม่น้ำ แล้วให้มีเรียมพี่สาวไปคอยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผลปรากฏว่ามีพระราชธิดาของฟาโรห์ลงไปทรงน้ำที่แม่น้ำพระนางเห็นตระกร้าจึงให้สาวใช้ไปนำมาเปิดตระกร้าเห็นเด็กกำลังร้องไห้ มีเรียมเห็นได้ทีจึงโผล่พรวดเข้าไป และทูลว่า "จะให้หม่อมฉันไปหานางนมชาวฮีบรูมาเลี้ยงทารกนี้ให้นางไหม” (ข้อ 7) เป็นอันว่าก็รอดตายโดยความกล้าหาญของมีเรียมพี่สาวที่กล้ามาพูดกับราชธิดาของฟาโรห์แถมนางโยเคเบดยังได้เลี้ยงลูกตัวเอง และยังได้ค่าจ้างเลี้ยงดูอีกด้วย
ดังนั้น อับราม และนางโยเคเบดได้บุตรกลับคืนมาโดยไม่ต้องกลัวอีกแล้ว พวกทหารคงไม่กล้ามายุ่งกับเด็กที่ราชธิดาของฟาโรห์รับไว้ให้เป็นพระราชบุตรบุญธรรมของพระนางเป็นแน่ เขาทั้งสองคงจะขอบคุณพระเยโฮวา สำหรับวิถีทางอันอัศจรรย์ที่ทรงปกป้องเด็กเอาไว้
จากวันกลายเป็นเดือนที่เลื่อนผ่านไป จากทารกน้อยสู่การเป็นเด็กที่เติบโตขึ้นท่ามกลางความสุข ความอบอุ่นของครอบครัว เขาได้ปลูกฝังเด็กน้อยให้ได้รู้ถึงความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าและพระราชกิจอันใหญ่ยิ่งของพระองค์ เรียนรู้ถึงการนมัสการพระเยโฮวาซึ่งเป็นพระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ
สู่พระราชวังในฐานะเจ้าชาย
“เมื่อทารกเติบใหญ่ขึ้นแล้ว นางก้พามาถวายพระราชธิดาของฟาโรห์ พระนางก็รับไว้เป็นพระราชบุตรของพระนาง ประทานชื่อว่า “โมเสส” ตรัสว่า “เพราะเราได้ฉุดขึ้นมาจากน้ำ” (อพย.2:10)
พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าพ่อแม่ของโมเสสนำเขามาถวายให้พระราชธิดาตอนอายุเท่าไหร่ แต่ก็มีบางตำราตั้งข้อสังเกตไว้ว่าน่าจะเป็นช่วงอายุประมาณ 4-5 ขวบ เด็กตั้งแต่วัยแรกเกิดจนถึง 3 ขวบนั้นเป็นวัยที่สามารถรับรู้ มีระบบย่อยข่าวสารขั้นพื้นฐานซึ่งสำคัญมาก เนื่องจากเด็กได้รับการกระตุ้นจากภายนอก ส่วนในเรื่องความนึกคิด ความมุ่งมั่น ความคิดสร้างสรรค์ ความเข้าใจ อารมณ์ ซึ่งเป็นเรื่องระดับสูงจะถูกสร้างหลังจากอายุ 3 ขวบ กล่าวคือ เป็นส่วนที่ว่าจะเอาส่วนที่ถูกสร้างมาก่อนอายุ 3 ขวบ ไปใช้อย่างไร จากพระคัมภีร์ใหม่ในหนังสือฮีบรูบทที่ 11 ข้อ 24 กล่าวว่า “เพราะความเชื่อ เมื่อโมเสสโตแล้วท่านไม่ยอมให้ใครเรียกท่านว่าเป็นบุตรของธิดากษัตริย์ฟาโรห์” นั่นแสดงให้เห็นว่าโมเสสถูกปลูกฝังมาอย่างดีจากพ่อแม่ของเขาในเรื่องชาติกำเนิดของตน
ตั้งแต่โมเสสเข้ามาอยู่ในพระราชวังในฐานะพระราชบุตร เขาก็ได้รับการศึกษาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การเขียน การอ่านจารึกโบราณ ภาพเขียนแห่งอียิปต์ แม้แต่ความลึกลับแห่งศาสนาอียิปต์ การบวงสรวงในวิหาร (อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้โมเสสมีความสามารถในการเขียนพระคัมภีร์เล่มแรก หนังสือปฐมกาลจากตำนานโบราณที่ได้เรียนรู้มา และการดลใจจากพระเจ้า โมเสสได้เขียนหนังสือเล่มอื่น ๆ อีก 4 เล่ม คือ อพยพ เลวีนิติ กันดารวิถี เฉลยธรรมบัญญัติ) เรียกได้ว่าเรียนรู้กันแบบครบหลักสูตรสมฐานะเจ้าชายแห่งอียิปต์ พระราชบุตรแห่งธิดาฟาโรห์ จนเขาเติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มรูปงามเพียบพร้อมไปด้วยความรอบรู้ ส่วนเรื่องราวของโมเสสตอนที่หนีไปมีเดียนนั้นเกิดขึ้น เพราะเขาได้ฆ่าคนอียิปต์ที่ไปตีคนฮีบรู อีกวันต่อมาคนฮีบรูตีกันเอง โมเสสไปห้าม กลับถูกต่อว่า “ใครแต่งตั้งท่านให้เป็นเจ้านายและเป็นตุลาการปกครองข้าพเจ้า ท่านตั้งใจจะฆ่าข้าพเจ้าเหมือนกับที่ได้ฆ่าคนอียิปต์คนนั้นหรือ” (อพย.2:14) โมเสสได้ฟังแล้วก็กลัว จึงหนีไปอยู่มีเดียนก็ได้ภรรยา และมีบุตรชาย เวลาผ่านล่วงเลยไป จนฟาโรห์สิ้นพระชนม์....
ทรงเรียกโมเสส (อพย.3)
โมเสสมาอยู่มีเดียนหลายสิบปี จากเจ้าชายกลับกลายมาเป็นคนเลี้ยงแกะ จากคนที่มีความรู้เก่งกล้าสามารถกลับมาเป็นคนเงียบขรึม และไม่ค่อยพูดจากับใคร เพราะอยู่แต่กับแกะ จนพระเจ้าทรงเรียกโมเสส ให้เขาเห็นพุ่มไม้เป็นเปลวไฟโดยไม่ไหม้พระเจ้าต้องการใช้โมเสสให้ไปนำคนอิสราเอลมายังดินแดนแห่งพันธสัญญา เพราะเสียงร้องของคนอิสราเอลจากการโดนกดขี่ดังไปถึงพระเจ้า ฝ่ายโมเสสปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า จนพระเจ้าต้องสำแดงให้โมเสสเห็นฤทธิ์เดชแห่งพระเจ้า โดยให้ไม้เท้าของโมเสสกลายเป็นงู ทำให้มือเป็นโรคเรื้อน แต่โมเสสปฏิเสธอีกว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์มิใช่เป็นคนช่างพูด ทั้งในกาลก่อน และตั้งแต่เวลาที่พระองค์ตรัสกับผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าพระองค์เป็นคนพูดไม่คล่องแคล่ว” (อพย.4:10) บัดนี้โมเสสคนเก่งในอดีตฆ่าคนอียิปต์ในชั่วพริบตา เก่งกล้าเชิงยุทธ และความรู้กลับกลายเป็นคนพูดไม่คล่องแคล่วขาดความมั่นใจในตนเองไปเสียแล้ว พระเจ้าจึงตรัสว่า “...ไปเถิด เราจะอยู่ที่ปากของเจ้า และจะสอนคำซึ่งควรจะพูด” แต่โมเสสกลับทูลว่า “ข้าแต่พระเจ้าขอทรงโปรดใช้ผู้อื่นไปเถิดพระเจ้าข้า” พระเจ้าทรงกริ้วโมเสสจึงตรัสว่า “เจ้ามีพี่ชายคืออาโรนคนเลวีมิใช่หรือ เรารู้แล้วว่าเขาเป็นคนพูดเก่ง ..เขาจะเป็นปากแทนเจ้า...” (อพย.4:11-17)
เป็นอันว่าโมเสสยอมทำตามพระบัญชาของพระเจ้า เพราะมีอาโรนไปด้วยนี่เอง เหตุเพราะยังกลัวๆ นั่นเอง เลยต้องการมีเพื่อนไปด้ย จากตารางฤทธานุภาพ 11 ประการของพระเจ้าในฉบับที่แล้ว ทำให้เราทราบว่าในฤทาธานุภาพครั้งที่ 1-4 นั้น อาโรนเป็นคนที่กระทำการของพระเจ้าทั้งสิ้น ครั้งที่ 5-6 พระเจ้าดลบันดาลเอง ครั้งที่ 7-10 สังเกตได้ว่าความมั่นใจของโมเสสกลับคืนมาแล้วท่านจึงกระทำการของพระเจ้าเองโดยตลอด ยกเว้นครั้งสุดท้ายที่พระองค์ประหารบุตรหัวปีทั้งคน และสัตว์เลั้ยงทั่วทั้งอียิปต์ หลังจากนั้นโมเสสก็เป็นผู้นำคนอิสราเองโดยตลอด เพราะความมั่นใจในฤทธานุภาพของพระเจ้านั่นเอง ...
ฟาโรห์พระทัยแข็งกระด้าง
เรามาทำความรู้จักกับฟาโรห์ก่อนดีกว่าว่าเป็นใคร พระราชาของอียิปต์จะถูกเรียกว่า “ฟาโรห์” คำว่าฟาโรห์จึงไม่ใช่ชื่อคน แต่เป็นภาษาอียิปต์ใช้ทับศัพท์แปลว่า “กษัตริย์” ชาวอียิปต์ไม่เพียงแต่เคารพนับถือฟาโรห์อย่างสูงเท่านั้น เขายังเชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้าองค์หนึ่งที่ต้องเชื่อฟ้ง ไม่กล้าละเมิดพระดำรัสของพระองค์...
ทำไมฟาโรห์ถึงพระทัยแข็งกระด้างครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าจะตอบโดยใช้หลักฐานจากพระคัมภีร์เพียงอย่างเดียวก็คงจะต้องตอบว่าเพราะ “พระเจ้าทรงบันดาลให้พระทัยฟาโรห์แข็งกระด้าง” เป็นคำพูดที่นักเทศน์หลายท่านนำมาใช้บ่อย ๆ ในการเทศนาเรื่องนี้ ซึ่งจากพระคัมภีร์นั้นมีข้อสังเกตเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายจุดด้วยกัน โดยเริ่มจากตอนที่พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “เราจะทำให้ใจของฟาโรห์แข็งกระด้าง แม้เราจะกระทำหมายสำคัญ และอัศจรรย์ให้ทวีมากขึ้นในประเทศอียิปต์ ฟาโรห์ไม่เชื่อฟังเจ้า” (อพย.7:3-4) พระคัมภีร์บันทึกคำว่า “จริงดังที่พระเจ้าตรัสว่าพระทัยฟาโรห์ก็แข็งกระด้างหายอมเชื่อไม่” กล่าวในทำนองเดียวกันเช่นนี้ถึง 6 ครั้ง มีคำว่า “พระเจ้าทรงให้พระทัยของฟาโรห์แข็งกระด้าง” 3 ครั้งและพระทัยของฟาโรห์แข็งกระด้างเอง 1 ครั้ง ส่วนครั้งสุดท้ายถึงยอมปล่อยคนอิสราเอล สาเหตุสำคัญที่ฟาโรห์จำเป็นต้องพระทัยแข็งกระด้างหลายครั้งเพื่อการอัศจรรย์ของพระเจ้าจะได้เพิ่มขึ้นในอียิปต์ (อพย.11:9) และเพื่อคนอิสราเอลจะออกจากอียิปต์อย่างสมกับเป็นประชากรของพระเจ้าที่ทรงเลือกสรรไว้ ซึ่งจากการที่คนอิสราเอลออกจากอียิปต์นั้น ทำให้มีชื่อเสียงไปทั่วดินแดนต่างๆ เมื่อคนอิสราเอลยกไปที่ไหน ก็สามารถปราบเมืองต่าง ๆ นั้นได้โดยง่าย เพราะพวกชาวเมืองต่างๆ กลังเกรงอำนาจของพระเจ้า
ยังมีอีกมุมมองหนึ่งของเรื่องนี้ คือตามตำนานโบราณของอียิปต์จากอักขระอักษรภาพโบราณที่เก่าแก่ตามกำแพง และเสาในมหาวิหารต่างๆ ที่มีผู้ถอดความออกมาเป็นภาษาปัจจุบัน ได้กล่าวถึงเรื่องราวของเวทมนตร์ต่างๆ ที่มีอย่างดาษดื่นในอียิปต์เชื่อกันว่าใครได้เรียนมหาเวทจากคัมภีร์เทพเจ้าท็อต ก็จะกลายเป็นผู้เก่งฉกาจไร้เทียมทาน นักบวชตามวิหารเทพ ก็ต้องมีศิลปวิทยาการไว้โชว์ให้ฟาโรห์เห็นบ้างตามยุคสมัยของเขา ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาๆ ในสายตาของฟาโรห์เห็นบ้างตามยุคสมัยของเขา ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาๆ ในสายตาของฟาโรห์ พระองค์มองดูเรื่องเช่นนี้เป็นเพียงแค่ความบันเทิงอย่างหนึ่งเท่านั้น การที่โมเสส และอาโรนมาสำแดงกิจมหัศจรรย์ต่างๆ คนของฟาโรห์ก็ทำได้ถึง 3 ครั้ง ดังนั้นจึงน่าจะสรุปได้ว่าฟาโรห์เห็นแล้วเฉย ๆ เพราะเห็นมาบ่อยจึงคิดว่าสิ่งที่โมเสส และอาโรนกระทำนั้นเป็นเพียงการแสดงกลให้ดูตามจารึกโบราณบันทึกว่าเคยมีการประลองเวทมนตร์ระหว่างสองอาณาจักร คือ อียิปต์ และเอธิโอเปีย ผลปรากฎว่า ชาวเอธิโอเปียพ่ายแพ้ต่อหน้าพระที่นั่งฟาโรห์ ไม่เพียงเท่านี้ ในประเทศอียิปต์นั้นทุกกิจกรรมของพวกเขามักจะมีเรื่องไสยศาสตร์ เวทมนตร์ คาถา มาเกี่ยวข้องด้วยเสมไม่ว่าจะเป็นการทำการเกษตร การสร้างปิรามิด การทำพิธีศพ (ดังตัวอย่างในฉบับที่แล้ว) การสงคราม ฯลฯ แม้ในปัจจุบันผู้คนยังเชื่อถือในคำสาบแห่งสุสานฟาโรห์ใครไปยุ่งเกี่ยวต้องมีอันเป็นไปถึงชีวิต
คนทำวิทยาคม
ในอดีตกาลที่ผ่านมา มนุษย์เราถูกดึงดูดใจ และควบคุมโดยความลึกลับแห่งวิทยาคม ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “magic” แปลว่า “เวทมนตร์คาถา อำนาจวิเศษ อาถรรพณ์ มายากล” มาจากคำว่า “magi (อ่านว่า เม-ไจ)” หมายถึง นักบวชชาวเปอร์เซียโบราณ ซึ่งเชี่ยวชาญกิจกรรมทางศาสนาโดยเฉพาะ ความหมายตรง ๆ ก็คือ ความพยายามจะควบคุม หรือบังคับพลังธรรมชาติ หรือเหนือธรรมชาติให้ทำตามคำสั่งมนุษย์
พระคัมภีร์เดิมได้พูดถึงพวกวิทยาคมไว้หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น ปฐมกาล 41:12-14 ดาเนียล 2:27, 4:7 นักวิทยาคมมีบทบาทมากในอียิปต์ บาบิโลน อิทธิพลนี้ยังแพร่มายังพวกกรีก และชาวโรมัน สังเกตได้จากแต่ละวิหารของแต่ละชนชาติจะมีพระ หรือผู้ประกอบพิธีสำแดงอภินิหารให้เห็นเป็นประจำ เมื่อประกอบพิธีใดพิธีหนึ่ง
จะขอแบ่งรูปแบบของมายากลตามแบบของโรเบิร์ต เอ. สเต็บบินส์ ซึ่งจัดแบ่งออกมาได้ 3 ประเภทด้วยกัน คือ
1. มายากลลี้ลับ คือ “การแสดงถึงสิ่งลี้ลับ” มีการอ้างว่า “เหตุการณ์หรือกระบวนการต่างๆ ซึ่งขัดแย้งกับสามัญสำนึก หรือความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์” เป็น “ความจริงหรือถูกต้อง” สเต็บบินส์อธิบายว่า “มายากลลี้ลับคือผู้รับใช้ของเวทมนตร์คาถา พ่อมดหมอผี การเล่นแร่แปรธาตุ และศาสนา ภายใต้สภาพการณ์บางอย่าง”
2. มายากลแบบแสวงผลประโยชน์ “ผู้แสดงจะควบคุม หรือหลอกผู้ชมให้เข้าใจผิดจากความเป็นจริง เพื่อโอ้อวดอำนาจของตน” พวกเขารู้ว่ากำลังหลอกลวงผู้คน “พวกเขากระตุ้นผู้คน ซึ่งกำลังชมมายากลให้เชื่ออย่างอื่น ให้เชื่อว่าในฐานะมายากล พวกเขามีอำนาจเหนือธรรมชาติ หรือมีความเกี่ยวพันพิเศษกับสิ่งที่มีชีวิตซึ่งมีอำนาจเหนือธรรมชาติ” สเต็บบินส์กล่าว
3. มายากลเพื่อความบันเทิง มีจุดมุ่งหมายเพื่อเร้าให้เกิดความงงงวยพิศวงโดยตบตา มายากลแบบนี้ แบ่งออกเป็น 5 วิธีพื้นฐาน คือ
3.1 มายากลบนเวที
3.2 มายากลที่ให้ดูใกล้ ๆ
3.3 วิทยากล
3.4 การลวงตา
3.5 การติดต่อทางจิต
พระคัมภีร์ว่าอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องผี
พระคัมภีร์กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจ้าอย่าเป็นหมอดูหรือเป็นหมอผี” (ลนต.19:26 ฉธบ.18:914) ในหนังสือกิจการกล่าวถึงชาวเมืองเอเฟซัสที่มาเชื่อแล้วได้เอาตำราเวทมนตร์มาเผาไฟต่อหน้าคนทั้งปวง “มีหลายคนที่เชื่อแล้วได้มาสารภาพ และเปิดเผยว่าเขาได้ใช้เวทมนตร์...” (กจ.19:18-19)
อันตรายจากมายากลแบบแสวงผลประโยชน์ หมอดูลายมือ ทำนายโชคชะตา รักษาโรคด้วยวิธีต่าง ๆ โดยใช้เวทมนตร์หรือของวิเศษ ฯลฯ พวกนี้ทำเพื่อประโยชน์ของตนเอง ดังข่าวในหนังสือพิมพ์ทั่วไปที่พาดหัวอยู่บ่อย ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ในประเทศไทย พระคัมภีร์กล่าวว่า “อย่า..ประพฤติคดโกง หรือมุสาวาทต่อกันและกัน” (ลนต. 19:11)
บางครั้งพวกวิทยาคมก็ไปยุ่งเกี่ยวกับวิญญาณของผู้ตาย ซึ่งบางคนต้องการจะติดต่อหรือทราบความเป็นอยู่ของญาติสนิทมิตรสหายของตนเองแม้จะเป็นการทำเล่น ๆ เมื่อได้โอกาสพวกปีศาจสามารถฉวยโอกาสนี้ และพยายามอย่างไม่ลดละ “เมื่อมารทำการทดลองทุกอย่างสิ้นแล้ว จึงละพระองค์ไปจนถึงโอกาสเหมาะ” (ลก.4:13) “แต่ว่าทุกคนก็ถูกล่อให้หลวเมื่อกิเลสของตัวเองล่อ และชักนำให้กระทำตาม” (ยก.1:14)
ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้จะเป็นใครอื่นไม่ได้นอกจาก “พญามาร” เพราะมันได้ชื่อว่า “ผู้ล่อลวง” ตั้งแต่สมัยปฐมกาลมาแล้ว (ปฐก.3:1-19) หนังสือธุรกิจเล่มหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า “ซาตาน” เป็น “เซลล์แมนคนแรกของโลก” คือมัน “ขายความเชื่อ” ใครจะขายความเชื่อบ้าง? หรือว่าขายไป แล้วอย่างไม่รู้ตัว เปาโลเขียนจดหมายบอกพี่น้องที่เมืองเอเฟซัสว่า “เหตุฉะนั้นท่านจงเลียนแบบของพระเจ้า..” (อฟ.5:1) ในหนังสือยากอบก็กล่าวในเรื่องนี้เช่นกัน “เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงน้อมใจยอมฟังพระเจ้า จงต่อสู้กับมาร และมันจะหนีท่านไป” (ยก.4:7)
มีหลายคนนำเรื่อง “มายากล” ไปรวมกับความบันเทิง อาจจะไม่มีใครคัดค้านเรื่องนี้ แต่ถ้ามีการเสแสร้งว่าเป็น “มายากลลี้ลับ” คริสเตียนควรใส่ใจกับเรื่องนี้ไหม .. ยังมีอันตรายแฝงอยู่มากมายเกี่ยวกับเรื่อง “มายากล” คริสเตียนแท้จึงครหลีกห่างจากการฝึกปฏิบัติสิ่งเหล่านี้ หรือข้องเกี่ยว หรือชมการแสดง “ข้าพเจ้ามิได้หมายถึงใจสำนักผิดชอบของท่าน แต่หมายถึงใจสำนึกผิดชอบของคนที่บอกนั้น” (1คร.10:29) “ในข้อนี้ข้าพเจ้าอุตสาห์ประพฤติตามจิตสำนึกเห็นว่าดีเสมอ มิให้ผิดต่อพระเจ้า และต่อมนุษย์” (กจ. 24:16)