ค้นหาข้อมูลจากบล็อกนี้

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558

วิวรณ์ reboot#5 การสัมมนารอบสุดท้ายของวิวรณ์

วิวรณ์ reboot#5 การสัมมนารอบสุดท้ายของวิวรณ์ เราจะศึกษาบทที่ 19 ถึง 22 ซึ่งเป็นบทสรุปของคำพยากรณ์ทั้งหมดถึงอนาคตโลกทุกบททุกข้อ และไม่เคยสัมมนาที่ไหนมาก่อน โปรดอย่าพลาด วันเสาร์ที่ 23 มกราคม 2016



วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2558

สัมมนาวิวรณ์ 7 ธค.2015

จันทร์ที่ 7 ธันวาคม เรียนรู้อะไรกัน อย่าพลาด ถ้ามาได้!
- ที่มาของสัตว์ร้ายจากทะเล
- ทัศนะการตีความที่มาของหมายเลข 666 และ 616
- ทูตสวรรค์กับภารกิจโลก
- ธรรมิกชนเผชิญหน้ากลียุค
- 7 ขันแห่งพระพิโรธเพื่อใคร?
- กำเนิดสงคราม อารมาเกดโดน
- เปิดตำนาน ความลึกลับแห่งมหานครบาบิโลน และแม่ของหญิงแพศยาทั้งหลาย


วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

โลกของเรากลมจริงหรือ?


สวัสดีครับพี่น้องคริสเตียนทุกท่านพบกันฉบับแรกก็ขอตั้งคำถามเองตอบเองก่อนเลย เพราะยังไม่มีใครถามกันมา  จริง ๆ แล้วคำถามที่ว่า “ทำไมคนในสมัยก่อนจึงเชื่อว่าโลกแบน?”  นั้นผมเคยได้ยินคำถามนี้มาจากพี่น้องท่านหนึ่ง แล้วยังถามอีกว่า “มีพระคัมภีร์ข้อไหนบ้างที่บอกว่าโลกกลม?”  ก็เป็นคำถามที่ตอบยากเอาการอยู่  ถ้าจะให้ตอบในทันทีเลยก็คงต้องตอบว่า “ไม่รู้เหมือนกัน” หรือ “ขอเวลาศึกษาดูก่อน”  แล้วคำถามนี้ก็ค้างอยู่ในใจของคนถามตลอดไป  เพราะคนตอบไม่รู้จะมาเฉลยเมื่อไหร่  คำถามนี้ก็ค้างอยู่ในใจของผมเหมือนกัน  จึงต้องทำการค้นคว้าว่ามีพระคัมภีร์ตอนไหนบ้างที่บอกว่า โลกกลม  ถ้าจะให้เปิดพระคัมภีร์ดูทุกหน้าคงจะใช้เวลามากเกินไป  ดังนั้น ผมจะเริ่มต้นที่ “ศัพท์สัมพันธ์พระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับ 1971”  โดยศจ.โรเบอร์ต นิชิโมโต๊ะ  เป็นผู้จัดทำ

ดูจากศัพท์สัมพันธ์
ก็พบคำว่า “โลก” มี 368 แห่ง “ชาวโลก” 1 แห่ง  “โลกธาตุ” 2 แห่ง “โลกบาดาล” 5 แห่ง “โลกปัจจุบัน” 1 แห่ง “โลกมนุษย์” 1 แห่ง และ “โลกใหม่” อีก 2 แห่ง  ไม่มีแห่งไหนเลยที่จะสนับสนุนว่าโลกกลม  มีแต่จะสนับสนุนว่าโลกแบน...

         เช่นในพระคัมภีร์เดิม  เฉลยธรรมบัญญัติ 13:7 กล่าวว่า “... ไม่ว่าใกล้หรือไกล  จากสุดปลายแผ่นดินโลกข้างนี้ถึงสุดปลายแผ่นดินโลกข้างโน้น..” และบทที่ 26:65  อิสยาห์ 24:16; 41:9  เยเรมีย์ 16:19 ; 25:33  ก็กล่าวในทำนองเดียวกันว่า มีจุดปลายโลก  โลกนั้นมีปลายข้างหนึ่งไปยังปลายอีกข้างหนึ่ง  ยิ่งไปกว่านั้นพระคัมภีร์ใหม่ในหนังสือกิจการก็ยังมีข้อความที่กล่าวสนับสนุนอีกว่าโลกแบนคือ  บทที่ 1:8 “... และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในเยรูซาเร็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” สุดปลายแผ่นดินโลก หรือว่าโลกเรานี้แบนจริง ๆ เพราะถ้าคิดตามจริง ๆ ง่าย ๆ ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น  คือพอเรานึกถึงอะไรที่มีปลายข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่ง  มันต้องเป็นวัตถุที่แบน  มีความยาวเดินทางเป็นเส้นตรงเมื่อเรามองดูโลกมันก็ตรง ๆ ไปไม่เห็นมีส่วนไหนโค้งให้เห็น  ทีนี้เรามาดูกันต่อดีกว่าว่ามีใครบ้างในยุคโบราณที่เชื่อว่าโลกเรานี้แบนบ้าง

คนในยุคโบราณเชื่อกันต่อๆ มาว่า “โลกแบน”
  ไม่เพียงแต่เชื่อว่าโลกแบนเท่านั้น  ยังเชื่อว่าโลกเรานั้นเป็นศูนย์กลางของจักรวาลอีกด้วย  พวกที่ตั้งสมมุติฐาน  หรือสนใจเกี่ยวกับโลกกลมหรือแบนนั้นก็เห็นจะมีแต่พวกนักปรัชญาเท่านั้น  เพราะชาวบ้านธรรมดาคงไม่สนใจกันเท่าไหร่  เมื่อประมาณ 624 ปีก่อนคริสตกาล  ที่นครรัฐกรีก (ตอนนั้นยังไม่เป็นประเทศ) ได้กำเนิดชายคนหนึ่งชื่อธาเลส (Thales)  ท่านคือนักปรัชญากรีก เป็นผู้ก่อตั้งสำนักไมเลตุส และได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาของปรัชญาตะวันตก  ท่านสามารถทำนายการเกิดสุริยคราสได้อย่างแม่นยำ  มีชื่อเสียงขึ้นถึงขีดสุดเมื่อถูกแต่งตั้งให้เป็น 1 ใน 7 บัณฑิตกรีก  ท่านมีความเชื่อว่าโลกมีลักษณะกลมแบน  และลอยอยู่เหนือน้ำที่กว้างใหญ่ไพศาลหาของเขตมิได้โลกมีกำเนิดมาอย่างไร  ท่านคิดหาคำตอบด้วยการสังเกตธรรมชาติรองตัวแล้ววิเคราะห์หาเหตุผลสนับสนุน ธาเลสมิได้อ้างตำนาน  หรือเทพนิยายกรีกโบราณสนับสนุนการหาคำตอบของตนเองแต่อย่างใด (ชาวกรีกในยุคนั้นเชื่อว่า โลกถูกสร้างโดยเทพเจ้าต่างๆ)  เมื่อธาเลสทำอย่างนี้นั้นก็แสดงว่าท่านเปิดโอกาสให้คนอื่นคิดตามอย่างเสรี  ใครคิดตามแล้วอาจเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับทัศนะของท่านก็ได้  เท่ากับเป็นการเปิดศักราชให้กับการคิดแบบปรัชญาในสังคมกรีกโบราณก็ทำให้มีนักปรัชญาหลายสำนักเกิดขึ้นในยุคต่อมา  มีทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดนี้  แต่ก็ทำให้เกิดอิทธิพลอย่างหนึ่งในด้านความคิด คือ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิดเท่าเทียมกัน
พลาโต้ และอริสโตเติ้ล
จนมายุคของโปรแทกอรัส (Protagoras 480-410 ปีก่อนคริสตกาล) ท่านได้กล่าวว่า “มนุษย์เป็นเครื่องวัดสรรพสิ่ง”  ในทัศนะของท่านถือว่าความคิดเห็นของทุกคนถูกด้วยกันทั้งหมด  หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่า “ทัศนะอัตนัย (Subjective Opinion)”  เป็นคำที่ใช้บ่อยมากในวิชาปรัชญา ยกตัวอย่างเช่น ผมสงสัยว่า โลกนี้กลมหรือแบน  บนความสงสัยนี้มีองค์ประกอบสำคัญ 2 ส่วนคือ
        (1) ผม หรือจิต ผู้คิดสงสัย
        (2) โลก  หรือวัตถุที่ถูกคิด  ดังนั้นต้องพิสูจน์และก็ต้องตอบว่า โลกแบน  เพราะสายตาบอกผมอย่างนั้น  ผมมองไปข้างหน้า  ผมเห็นแต่ทางราบยาวไปจรดของฟ้า  ดังนั้นก็ต้องสรุปว่าโลกแบน  เพราะผมเห็นว่ามันแบน  ทัศนะของผมถูกเพราะมันเป็นความจริงในทัศนะผม (เราจะพบว่าคนในปัจจุบันก็มีความคิดเห็นแบบนี้อยู่เหมือนกัน) นั่นเป็นตัวอย่างของวิธีคิดแบบนักปรัชญาในยุคแรก ๆ และมีอิทธิพลต่อคนในยุคต่อมาด้วย
บุคคลต่อมาที่ทำให้ทัศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก  ท่านหนึ่งก็คือ พลาโต้ (Plato  427-347  ก่อนคริสตกาล)  ท่านเชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล  ดวงดาวทั้งหลายโคจรรอบโลก วิถีโคจรของดวงดาวเป็นวงกลม  การที่ดวงดาวและโลกเกาะกลุ่มกันอยู่เป็นระเบียบ  เนื่องจากสิ่งเหล่านี้นมีวิญญาณสิงสถิตอยู่  ท่านสรุปว่าพระเจ้าเป็นผู้บงการ  โดยการนำเทพนิยายโบราณมาอธิบายประกอบ  ในเรื่องนี้ถือเป็นข้อด้อยอย่างหนึ่งในวิชาปรัชญาของพลาโต้ เพราะเทพนิยายไม่ใช่เหตุผลที่หนักแน่นพอสำหรับสนับสนุนทฤษฎีทางปรัชญา  แต่เมื่อมองในทางประวัติศาสตร์ก็พบว่าเรื่องนี้มีอิทธิพลต่อแนวความคิดของนักปรัชญายุคต่อมาได้ยาวนานที่สุด  ไม่ว่าจะเป็นอริสโตเติล  ลัทธิพลาโต้ใหม่  หรือปรัชญาคริสต์  ล้วนได้รับอิทธิพลจากพลาโต้ทั้งสิ้น
ส่วนอริสโตเติล (Aristotle 384-322 ปีก่อนคริสตกาล)  สังเกตพบว่าดวงดาวบนท้องฟ้าโคจรเป็นวงกลม  จักรวาลเคลื่อนที่ตลอดเวลา  การเคลื่อนที่ของสิ่งต่างๆ ในจักรวาลมีสาเหตุมาจากพลังภายนอกสิ่งเหล่านั้น เมื่อสาวหาสาเหตุแรกสุดของการเคลื่อนไหว  ก็ได้คำตอบว่าปฐมเหตุแห่งการเคลื่อนไหวคือ พระเจ้าเป็นแบบบริสุทธิ์  พระเจ้าคือผู้ทำให้สรรพสิ่งเคลื่อนไหวโดยที่ตนเองไม่เคลื่อนไหว (Unmoved Mover) “การเคลื่อนไหว” หมายถึง การเปลี่ยนแปลงทุกประการ  ไม่ว่าในเชิงปริมาณ คุณภาพ หรือการเปลี่ยนสถานที่เนื่องจากพระเจ้าไม่ทรงเคลื่อนไหว เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงไม่เปลี่ยนแปลง  ดังนั้นอริสโตเติลจึงกล่าว่า “พระเจ้าเป็นภาวะที่ดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ทรงมีชีวิตต่อเนื่องเป็นนิตย์  นั่นคือพระเจ้า”
ความรู้ด้านจักรวาลของอริสโตเติลตั้งอยู่บนข้อมูลที่จำกัดของนักดาราศาสตร์สมัยนั้น  ท่านเชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางจักรวาล  ดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์ และดวงดาวทั้งหมดโคจรรอบโลกเป็นวงกลม  อริสโตเติลแบ่งจักรวาลออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนล่าง  นับตั้งแต่ภายใต้ดวงจันทร์ลงมาถึงพื้นโลก  และส่วนบนนับแต่ดวงจันทร์ขึ้นไปจนถึงดวงดาว  สุดท้ายที่ขอบจักรวาล

ปโตเลมี
ทัศนะของอริสโตเติลที่ว่า โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาลนี้ได้รับการสนับสนุนต่อมาโดยนักดาราศาสตร์ชาวกรีก-อียิปต์ที่มีชื่อว่า คลาวดิอุส ปโตเลมี (Claudius Ptolemy ค.ศ.130) ได้เสนอแนวความคิดคือ “ระบบจีโอเซนทริก”  ในหนังสือ “Almagest”  ว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล  ปักหลักนิ่งอยู่กับที่มีดวงดาวโคจรรอบโลก  วงโคจรเป็นวงกลม  มีผู้คนมากมายเชื่อตามทัศนะนี้นานถึง 1800 ปี
ในปี ค.ศ.1539 ได้มีผู้เขียนภาพระบบสุริยจักรวาล  โดยถอดมาจากคำสอนของปโตเลมี  และใช้ภาษาละติน  วงกลมรอบนอกจะเป็น Habitaculum  Dei  หรือแหล่งพำนักของพระผู้เป็นเจ้า
ในปี ค.ศ.1611 ได้มีการแปลพระคัมภีร์ฉบับกษัตริย์เจมส์ (King James Version) เป็นพระคัมภีร์ฉบับที่มีชื่อเสียงมาก  ก็ยังสนับสนุนแนวคิดนี้ด้วย  ดังในหนังสืออิสยาห์ บทที่ 40 ข้อ 22 ซึ่งได้กล่าวว่า “มีผู้หนึ่งซึ่งประทับเหนือวงกลมแห่งแผ่นดินโลก (It is he that sitteth upo the circle of the earth... )”
           สรุปได้ว่าปรัชญาของอริสโตเติลมีอิทธิพลอย่างมากต่อนักปรัชญาสมัยกลางนั้นคือ  ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกและศาสนาอิสลาม  ได้นำปรัชญามาช่วยอธิบายความสมเหตุสมผลของศาสนา ปรัชญาของท่านช่วยเสริมคำสอนได้เป็นอย่างดี


มาถึงยุควิทยาศาสตร์เริ่มต้น
โคเพอร์นิคัส
เมื่อประมาณปี ค.ศ. 1543 นิโคเลาส์โคเพอร์นิคัส  ชาวโปแลนด์ นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโปแตสแตนท์  ผู้มีชื่อเสียงในยุคนั้นในสาขาวิชาคณิตศาสตร์ และดาราศาสตร์  ท่านเดินทางมาศึกษายังประเทศอิตาลีและได้ตีพิมพ์หนังสือเล่มหนึ่งชื่อ “On the Revolutions of the Heavenly Spheres”  เกี่ยวกับเรื่องทฤษฎีการเคลื่อนไหวของดวงดาวและท่านเชื่อว่าโลกไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่  โลกจะหมุนรอบตัวเองครบ 1 รอบ/วัน  ยิ่งไปกว่านั้นโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์เหมือนเป็นดาวเคราะห์อื่น ๆ ระบบนี้เรียกว่า  “ระบบเฮลิโอเซนทริก”  มีนักวิทยาศาสตร์มากมายพิสูจน์ และยืนยันว่าเป็นคามจริง  ชาวฝรั่งเศสทานหนึ่งได้เขียนแผนภาพขึ้นมา  เพื่อสนับสนุนแนวคิดของโคเพอร์นิคัส  ซึ่งขัดแย้งกับแนวคิดของปโตเลมีโดยสิ้นเชิง

โยฮันเนส เคปเลอร์ (ค.ศ. 1571-1630) ชาวเยอรมัน  นักคณิตศาสตร์ และดาราศาตร์ 
    หนังสือของโคเพอร์นิคัสได้รับการตีพิมพ์โดยโยฮันเนส เคปเลอร์ (ค.ศ. 1571-1630) ชาวเยอรมัน  นักคณิตศาสตร์ และดาราศาตร์  ท่านเป็นผู้ตั้งกฎสำคัญๆ เกี่ยวกับการโคจรของดวงดาวต่างๆ อยู่ในวงรีในขอบเขตคงที่  โดยดวงดาวนั้นๆ จะไม่ล้ำเขตวงรีนั้นเข้าไปภายในเลย  ซึ่งครั้งหนึ่งท่านเคยคิดว่าน่าจะมีหลักการบางอย่างที่สามารถอธิบายถึงปรากฎการณ์ของดวงดาวต่างๆ ในรูปวงรีในขอบเขตที่ว่านี้  แต่ไม่รู้หลักการนั้นคืออะไร  จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่ท่านอ่านพระคัมภีร์ประจำวันอยู่  ท่านพบข้อความตอนหนึ่งที่พระเยซูกล่าวว่า “เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว  เราก็จะชักนำคนเป็นอันมากให้มาหาเรา” (ยอห์น 12:32) ในทันใดนั้นท่านก็เกิดความคิดแวบหนึ่งขึ้นมาว่า เป็นไปได้ที่ดวงดาวต่างๆ ดึงดูดกันและกันในห้วงอวกาศเหมือน ๆ กับคำสอนทางด้านจิตวิญญาณเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ที่สามารถดึงดูดคนจำนวนมากมาหาพระองค์  จึงทำให้ท่านตั้งกฎต่างๆ ว่าด้วยการโคจรของดวงดาว (ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต  ท่านได้เขียนตำราว่าด้วยเหตุผลสนับสนุนความน่าเชื่อถือของพระคัมภีร์ว่าเป็นพระคำของพระเจ้า)
ในตอนนั้นก็มีอีกท่านหนึ่งที่เชื่อตามแนวคิดของโคเพอร์นิคัสก็คือ  กาลิเลโอ (Gaileo ค.ศ. 1564-1641) นักคณิตศาสตร์ และฟิสิกส์ชาวอิตาลี  และเป็นผู้ที่เคร่งครัดในสาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกท่านเกิดที่เมืองปิซา (เมืองที่มีหอเอียงที่โด่งดังจนติดอันดับสิ่งมหัศจรรย์ของโลก) ท่านได้เขียนจดหมายติดต่อกับเคปเลอร์เสมอและแจ้งว่าแนวคิดของโคเพอร์นิคัสถูกต้อง แต่กาลิเลโอไม่กล้าประกาศอย่างเปิดเผย  เพราะแนวคิดนี้ขัดแย้งกับคำสอนของนักปรัชญาโบราณที่ผู้คนนับถืออยู่  คือ อริสโตเติล และแนทางของศาสนจักรในยุคนั้น
ในปี ค.ศ. 1609 มีข่าวจากฮอลแลนด์ว่า อันส์ ลิปเปอร์เซีย สร้างสิ่งประดิษฐ์ขึ้นใหม่ได้เป็นผลสำเร็จนั่นคือ  “กล้องโทรทรรศน์” อุปกรณ์ที่ใช้เลนส์ดึงภาพแสนไกลให้เห็นเสมือนอยู่ใกล้ตา กาลิเลโอจึงลงมือสร้างกล้องโทรทรรศน์ของตนเองขึ้นมาบ้างในเวลาต่อมา  ใช้เวลาไม่กี่เดือนก็ได้กล้องโทรทรรศน์กำลังขยาย 32 เท่า กล้องของเขาให้ภาพชัดเจน  และกำลังขยายสูงกว่าของผู้คนในยุคนั้นอีกไม่นาน  ต่อมาก็มีการใช้กล้องโทรทรรศน์แพร่หลายทั่วยุโรป

ปฏิวัติวงการดาราศาสตร์
กาลิเลโอ
เพียงส่องกล้องดูดาวไม่กี่เดือน  กาลิเลโอก็ค้นพบเรื่องสำคัญหลายเรื่อง  ผลงานการค้นพบส่วนหนึ่งตีพิมพ์ในหนังสือ Starry Messenger (1610) ท่านพบว่าพื้นผิวของดวงจันทร์ไม่ได้เนียนสวยเหมือนที่ผู้คนมองเห็น   แต่เป็นพื้นขรุขระมีแอ่งมีภูเขา  ทางช้างเผือกก็คือกลุ่มดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนมารวมกัน  การค้นพบดาวบริวารของดาวพฤหัส  นับว่าเป็นจุดสำคัญอย่างยิ่ง  เพราะจะหักล้างแนวคิดดั้งเดิมของปโตเลมี  ซึ่งทำให้เรารู้ว่าโลกมิได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล  การค้นพบของท่านก่อให้เกิดการถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อน  จึงทำให้ท่านต้องย้ายที่อยู่อาสัยไปปักหลักที่เมืองฟลอเรนซ์

ในปี 1611 ท่านเดินทางเข้ากรุงโรม  นำกล้องโทรทรรศน์มาให้นักวิทยาศาสตร์ และบุคคลสำคัญได้ชมเป็นขวัญตา  จนท่านได้รับคัดเลือกให้เข้าสมาคม “แอคคาเดมีย เดอิ ลินเชอิ (Accademiadia Lincei)”  สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งโลก
ในปี 1613 ท่านเขียนหนังสือ Letter ob Sunspots เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้  เป็นผลงานของการสังเกตการณ์  โดยใช้กล้องโทรทรรศน์และเป็นครั้งแรกที่กล่าวสนับสนุนแนวคิดของโคเพอร์นิคัสอย่างเปิดเผย ซึ่งนำไปสู่โทษทัณฑ์ร้ายแรงถึงขั้นจองจำตลอดชีวิต
แกรนด์ดัชเชส  คริสตินา
ในปี 1615 กาลิเลโอเขียนจดหมายทูลชี้แจงต่อ แกรนด์ดัชเชส  คริสตินาเพื่อขอ “เสรีภาพทางวิทยาศาสตร์” แต่ไม่เป็นผล  ดังนั้นท่านจึงเดินทางเข้ากรุงโรม เข้าเฝ้าสันตะปาปาที่ 5 ทูลขอเสรีภาพทางวิทยาศาตร์ เช่นเดียวกัน และยืนยันว่าโคเพอร์นิคัสเป็นฝ่ายถูก  ซึ่งแนวคิดนี้ขัดแย้งกับคำสอนทางศาสนา  และปโตเลมี
ในปี 1616 กาลิเลโอถูกนำตัวขึ้นศาล  ศาสนาถูกสั่งห้ามมิให้สอนไม่ให้เขียนสนับสนุนโคเพอร์นิคัสอีกต่อไป  มิฉะนั้นจะต้องโทษจำคุก
ในปี 1623 ท่านเขียนหนังสือ  Assayer เสนอหนทางสร้างโลกใหม่.. โลกที่เป็นจริงแทนที่จะอิงอยู่กับคำสอนดั้งเดิม  และในปีเดียวกัน  มาฟเฟโอ บาร์เบรินี่ เพื่อนเก่าของท่านได้รับการสถาปนาเป็นองค์สันตะปาปาเออร์บันที่ 8 และอนุญาตให้กาลิเลโอเขียนหนังสือเปรียบเทียบทฤษฎีทางศาสนศาสตร์ทั้งใหม่และเก่าได้อย่างเท่าเทียมกัน
องค์สันตะปาปาเออร์บันที่ 8
ในปี 1632 กาลิเลโอจึงเขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ  Dialogue Concerning the Two Chief World Systems ถือได้ว่าเป็นหนังสือวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเล่มหนึ่งท้าทายคำสอนดั้งเดิม และชี้ชัดว่ากฎสำหรับสวรรค์และกฎของโลกควรจะแยกจากกัน  เมื่อตีพิมพ์แล้วทางศาสนจักรโรมันคาทิอลิกพบว่า  เนื้อหาของหนังสือมิได้นำเสนออย่างเท่าเทียมกัน  เนื้อเรื่องสนับสนุนแนวคิดของโคเพอร์นิคัสทั้งหมด และคำสอนของอริสโตเติล และปโตเลมีเป็นฝ่ายผิด
ในปี 1633 ท่านจึงถูกจับตัวขึ้นศาลอีกครั้ง  ท่านให้การต่อศาลศาสนาและยืนยันว่า  การสังเกตการณ์  และข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ควรนำมาพิจารณาร่วมด้วย  แต่ท้ายที่สุดท่านถูกบังคับให้รับว่างานของท่าล้ำเส้นมากไป  หนังสือของท่านทุกเล่มถูกสั่งห้ามอ่าน หนังสือ Dialogue ถูกเก็บมาเผาทิ้งท่านถูกพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต แต่องค์สันตะปาปาสั่งการให้ลดหย่อนผ่อนโทษเหลือเพียงจองจำให้อยู่ในบ้าน
ในปี 1637 แม้ท่านจะถูกจองจำ แต่ท่านก็ไม่เคยหยุดสังเกตการณ์  ท่านจึงค้นพบว่าดวงจันทร์มีการแกว่งสั่นกระเพื่อม  เพราะเส้นศูนย์สุตรของดวงจันทรมิได้ตั้งฉากกับแกนการหมุนรอบตัวเอง
ในปี 1638 ท่านเขียนหนังสืออีก  ชื่อว่า Discoures  ซึ่งต้องลักลอบออกไปพิมพ์ต่างประเทศ  เพราะถูกศาสนจักรสั่งห้าม (หนังสือเล่มนี้มีอิทธิพลต่อมากับผลงานของ ไอแซค นิวตัน)

กาลิเลโอขึ้นศาลศาสนาในข้อหา "ประพฤตินอกรีต ฝ่าฝืนแนวทางคาทอลิกอย่างร้ายแรง"
ในปีถัดมา  ท่านตาบอดทั้งสองข้าง แต่ก็ยังทำงานหนัก และครุ่นคิดประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ เสมอ ท่านมีเพื่อนมาเยี่ยมเยียนพบปะไปมาหาสู่กันเสมออย่างไม่ขาดสาย  เพื่อนฝูงพยายามหลายครั้งที่จะขออภัยโทษ  แต่ไม่ประสบผลสำเร็จในที่สุดท่านเสียชีวิตในวันที่ 8 มกราคม 1642
ปี 1642-1727 ไอแซค นิวตัน ถือกำเนิดในปีที่กาลิเลโอเสียชีวิต  ท่านได้นำงานของกาลิเลโอมาสานต่อในสังคมที่เห็นคุณค่าทางวิทยาศาสตร์ และในที่สุดท่านสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับวงการวิทยาศาสตร์ ถึงแม้ว่ากาลิเลโอจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่สนใจเรื่องของจักรวาล  และดาราศาสตร์ แต่ท่านก็เป็นคาทอลิกที่เคร่งครัดเป็นอย่างมาก  ท่านเขียนหนังสืออธิบายความรู้  เรื่องจักรวาลหลายร้อยหน้าโดยอ้างอ้งจากพระคัมภีร์  ท่านกล่าวข้อความตอนหนึ่งไว้ว่า  “พระคัมภีร์และธรรมชาติ  ต่างเป็นผลโดยตรงจากพระเจ้า  ..พระคัมภีร์เกิดขึ้นเพราะการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และธรรมชาติเกิดขึ้นจากการเชื่อฟังคำตรัสของพระองค์”  เช่นในหนังสือปฐมกาลตอนหนึ่งบันทึกว่า  พระเจ้าตรัสว่า “จงมีความสว่างบนฟ้า เมื่อแยกวันออกจากคืน  ให้ดวงสว่างเป็นหมายกำหนด ฤดู วัน ปี และให้เป็นดวงสว่างบนฟ้า เพื่อส่องสว่างบนแผ่นดินก็เป็นดังนั้น (ปฐมกาล 1:14-14)

บทลงท้าย
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์แท้จริงแล้วไม่ได้ขัดแย้งกับเรื่องของพระคัมภีร์ เพียงแต่ว่าความเข้าใจของยุคสมัยและการมีอิทธิพลต่อความคิดของผู้มีอำนาจนั้นต่างหากที่เป็นตัวบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลง  ขอเพียงแต่เราเปิดใจออกให้กว้างสักนิด  คิดแบบปรนัยคือ ให้ข้อพิสูจน์จากฝ่ายวัตถุเป็นหลัก  ยกตัวอย่างเช่น  เราอาจขอร้องให้นักวิทยาศาสตร์ส่งดาวเทียมขึ้นไปถ่ายภาพของโลก ปรากฏว่าโลกที่ปรากฎในภาพมีรูปทรงกลม เราเชื่อตามภาพนั้น  ดังนั้นเราจึงสรุปว่าโลกกลม  โดยอาศัยหลักฐานจากโลก หรือวัตถุ  ใครจะคิดว่าโลกแบน  ก็คิดไป  แต่โลกในความเป็นจริง เป็นโลกกลม  ความจริงที่ได้เป็นความจริงแบบปรนัยที่ไม่เกี่ยวกับทัศนะส่วนตัวของใคร  ทีนี้ลองกับไปดูข้อพระคัมภีร์ที่กล่าวไว้ในตอนต้น  ก็สรุปได้สุดปลายข้างหนึ่งไปถึงปลายอีกข้างหนึ่งของโลกเรานั้นก็เดินทางเป็นเส้นตรง  แต่เป็นวิถีโค้งแล้วมาบรรจบกันเป็นวงกลมได้เหมือนกัน  ดังนั้นถ้าเราจะตีความพระคัมภีร์โดยเอาทัศนะของตัวเราเองเป็นหลัก  เรื่องก็จะออกมาเป็นวงแคบ ๆ และอาจจะครอบงำผู้อื่นได้ถ้าท่านเป็นผู้นำความคิด  แต่ถ้าตีความจากพระคัมภีร์โดยเราต้องการจะค้นหาความหมายทีผู้เขียนต้องการจะบอกก็จะเป็นประโยชน์แก่เราเอง และผู้อื่นด้วย  ผมหวังว่าพี่น้องที่เคยถามปัญหานี้ที่ว่า “โลกเรานี้กลมหรือแบน  มีข้อพระคัมภีร์สนับสนุนหรือเปล่า?”  ก็คงจะเข้าใจมากขึ้นนะครับ

บทความจาก "เรียนรู้อดีต ลิขิตอนาคต" (มิถุนายน 1999) โดย อ.อภิรักษ์ สอนพรินทร์

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558

บำเหน็จในสวรรค์ หรือบำเหน็จในยุคพันปี

หลายครั้งที่เราฟังเทศน์ และนักเทศน์มักจะหนุนใจให้เราอดทนเพื่อ "บำเหน็จในสวรรค์" ซึ่งมักจะไม่มีรายละเอียดอะไรเลยนอกจากคำว่า "บำเหน็จ" ซึ่งดูจะเป็น "นามธรรม" มากกว่าจะเป็น "รูปธรรม"

เราจึงนำข้อมูลจากการศึกษาเชิงลึกใน "วิวรณ์ reboot" มาให้ดูกัน เพื่อการศึกษา














วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ประวัติศาสตร์เวทมนตร์ (History of Magic) กับคัมภีร์ไบเบิ้ล

ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนมีที่มาเสมอ..

บทความจากหนังสือ "ไขปริศนามายาเวท"

อำนาจแห่ง “เวทมนตร์” มีจริงหรือไม่นั้น เราก็คงได้แต่คาดเดาเอาว่ามันมีที่มาจากสิ่งลี้ลับต่างๆ ในโลก และห้ามไปลบหลู่ หรือแตะต้องยุ่งเกี่ยว เพราะหากไปยุ่งก็อาจมีภัยร้ายมาถึงตนได้ บางคนก็ใช้สิ่งนี้เป็นฐานของอำนาจเพื่อกอบโกยผลประโยชน์มานานหลายยุคหลายสมัยมาแล้ว

ถึงแม้เรื่องนี้จะขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์หรือโลกยุคใหม่ แต่ผู้คนส่วนใหญ่ในโลกกลับยังหลงใหลและศึกษาแบบใฝ่รู้หรือเลื่อมใสศรัทธา จนบางครั้งถึงขั้นงมงายไปเลยก็มี

แล้วจริงๆ เรื่อง “เวทมนตร์” นั้นเริ่มต้นมาจากที่ใด? มีแหล่งข้อมูลอะไรบ้างที่สามารถไขปริศนามายาภาพเหล่านี้ให้กระจ่างแจ้งชัดเจนแบบวิเคราะห์ให้เห็นภาพรวมทั้งหมด

หากเราศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างเอาจริงเอาจัง ก็จะพบว่าเรื่องที่เกี่ยวกับเวทมนตร์นั้นมักจะสอดคล้องเกี่ยวกับศาสนาโบราณอย่าง อียิปต์ หรือไอยคุปต์ (ที่ออกเสียงตามภาษากรีก) และเรื่องที่ทำให้เรารู้จักเวทมนตร์แห่งปริศนาลึกลับก็มักมาจากบทประพันธ์ในรูปแบบของวรรณกรรม หรือภาพยนตร์แนวลึกลับ ซึ่งในเมืองไทยก็สามารถหาดูได้อย่างดาษดื่น..

อย่างเช่น “เดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะริงส์” ผลงานของ เจ.อาร์.อาร์.โทลคีน (มี 3 เล่ม ซึ่งยังไม่รวมเรื่อง “ฮอบบิท” อีก 1 เล่ม) ที่มีบรรดาเหล่าตัวประหลาดน่าเกลียดมากมาย และยังมีพ่อมดสุดแสนจะเท่ห์ในชุดขาวอย่างแกนดัล์ฟ ที่เป็นตัวเด่นของเรื่องอีกด้วย

“อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย” ผลงานของ ซี.เอส.ลูอิส (มี 7 เล่ม) ซึ่งมีบรรดาสรรพสัตว์พูดได้ ตัวประหลาดจากตำนานกรีกอย่างเซนทอร์, ฟอน (แพน) หรือแม่มดขาวจาดิส ซึ่งน่าจะเป็นอีกเรื่องที่จัดว่าเป็นวรรณกรรมต้นแบบและเป็นแรงบันดาลใจให้นักเขียนวรรณกรรมรุ่นใหม่หลายคน (แม่แต่ เจ.เค.โรว์ลิ่ง)

“แฮร์รี่ พอตเตอร์” ผลงานของ เจ.เค.โรล์ลิ่ง (มี 7 เล่ม เช่นกัน) ชื่อนี้หากเป็นนักอ่านประเภทวรรณกรรมเยาวชนก็คงไม่พลาด เพราะเรื่องนี้บรรจุเรื่องราวของพ่อมดแม่มดแบบเต็มรูปแบบหรือเรียกว่างัดทุกตำนานของพ่อมดแม่มดมารวมอยู่ในเรื่องนี้ทีเดียว

ทั้งสามเรื่องที่กล่าวมานี้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์แล้ว และอยากกล่าวถึงวรรณกรรมไทยอีกเรื่องที่มีกลิ่นไอตะวันตกผสมอยู่ด้วย นั่นคือเรื่อง “สิมิลัน กราภูงา” ผลงานของ เอ.เจ.พรินท์สัน (มี 9 เล่ม เขียนเสร็จแล้ว 5 เล่ม) เหตุที่เอ่ยถึงเรื่องนี้ด้วยก็เพราะว่าวรรณกรรมเยาวชนเรื่องนี้ถูกซื้อลิขสิทธิ์เพื่อสร้างเป็นภาพยนตร์แล้ว โดย บริษัท แมทชิ่ง โมชั่น พิกเจอร์ส จำกัด และยังเป็นเรื่องที่มีพ่อมดแม่มด สัตว์ประหลาด และมีเรื่องเวทมนตร์เป็นหลักในการเล่าเรื่อง จึงจะกล่าวถึงรวมๆ กันไปทั้งสี่เรื่องนี้

หากจะกล่าวว่าประเทศใดในโลกใช้เวทมนตร์ก่อนก็คงเป็นเรื่องยากที่จะระบุอย่างเจาะจงลงไป แต่หากจะบอกว่ามีหนังสืออะไรบ้างที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับเวทมนตร์ไว้บ้าง แน่นอนว่า หลายคนคงนึกไม่ถึง นั่นก็คือ “คัมภีร์ไบเบิ้ล (Holy Bible)” หนังสือที่ผลิตและขายดีมากที่สุดในโลก และถูกแปลเป็นภาษาต่างๆ มากกว่า 150 ภาษา

คัมภีร์ไบเบิ้ลไม่เพียงเป็นหนังสือสำหรับคริสเตียนที่สอนเรื่องจริยธรรมเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ของโลกที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะมีการคัดลอกสืบต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย และแน่นอนว่าเรื่องเวทมนตร์ในอดีตก็ถูกบันทึกเอาไว้ในนั้นเหมือนกัน

เรื่องราวของการกำเนิดมนุษย์ก็เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ เพราะบันทึกแรกได้กล่าวว่า มนุษย์คนแรกของโลกเกิดมาจากดิน ส่วนมนุษย์ผู้หญิงก็ถูกสร้างมาจากกระดูกซี่โครงของผู้ชาย เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีสัตว์ที่พูดได้อย่างงู ซึ่งได้ล่อลวงมนุษย์ให้กินผลไม้ต้องห้ามจนเป็นเหตุให้พวกเขาต้องออกจากสวนสวรรค์ที่พวกเขาถือกำเนิดขึ้นมา

อ่านมาถึงตรงนี้ผู้อ่านก็คงว่านี่ก็เป็นเรื่องแฟนตาซีเหมือนกัน เห็นได้ว่าความเชื่อในเรื่องความประหลาดมหัศจรรย์ถูกสอดแทรกเข้ามาในวิถีชีวิตของมนุษย์เพื่อตอบสนองความอยากรู้ถึงต้นตอของตัวตนของแต่ละชนชาติ ซึ่งในหลายๆ ชนชาติก็มีเรื่องการกำเนิดมนุษย์ที่คล้ายคลึงหรือแตกต่างกันไปก็แล้วแต่ภูมิภาค

แต่หากจะวัดเอาว่าชนชาติใดเชื่อถือเรื่องนี้มาก่อนก็คงต้องกล่าวว่าคือพวก “ซูเมเรียน (Sumerian)” ที่อาศัยอยู่ในดินแดนเมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) เพราะประวัติศาสตร์ที่ค้นพบระบุว่าชนเผ่าโบราณนี้มีความเก่าแก่โบราณไม่ต่ำกว่า 3,000 ปีก่อนคริสตกาล (ซึ่งหลายคนอาจจะคิดว่าไม่ใช่ชนชาติอียิปต์หรอกหรือที่เป็นชนชาติแรก)

เมโสโปเตเมีย-บาบิโลเนีย (Mesopotamia-Babylon)
เหตุที่ดินแดนเหล่านี้เป็นชนชาติแรกที่มีการใช้เวทมนตร์ ก็คงสืบเนื่องมาจากพื้นฐานความเชื่อทางศาสนา พิธีกรรม การบูชาเทพเจ้า และนักบวช

เมืองเออร์ถือเป็นเมืองแรกที่มีวิหารขนาดใหญ่สำหรับบูชาเทพเจ้า ซึ่งนักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดี อีกทั้งศาสนาศาสตร์ต่างตกลงปลงใจเชื่อกันว่าวิหารนี้ได้รับอิทธิพลมาจาก “หอบาเบล (Babel)” ซึ่งถูกบันทึกไว้ในหนังสือปฐมกาล (Genesis) หนังสือเล่มแรกของคัมภีร์ไบเบิ้ล เพราะลักษณะของหอดังกล่าวมีส่วนเหมือนกับ “มหาวิหารซิกกูรัท (Ziggurat)” ซึ่งเป็นวิหารที่ใช้บูชาเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์

ข้อความนั้นบันทึกเอาไว้ว่า..

คนทั้งหลายทั่วโลกพูดภาษาเดียวกัน และมีศัพท์สำเนียงเดียวกัน 
เมื่อพากันอพยพไปทิศตะวันออก ก็พบทุ่งราบในแดนเมืองชินาร์ 
จึงตั้งหลักแหล่งอยู่ที่นั่น แล้วต่างคนต่างก็พูดกันว่า
“มาเถิด เราจงทำอิฐ เผาให้สุกแข็ง”

 เขาจึงมีอิฐใช้ต่างหิน และมียางมะตอยใช้ต่างปูนสอ เขาทั้งหลายจึงว่า 
“มาเถิด เราจงสร้างเมืองขึ้นและก่อหอให้ยอดเทียมฟ้า ให้เราทำชื่อเสียงไว้ 
มิฉะนั้นเราจะต้องกระจัดกระจายไปทั่วพื้นแผ่นดิน”
พระเจ้าเสด็จลงมาทอดพระเนตรเมือง และหอที่มนุษย์ก่อสร้างขึ้นนั้น 

แล้วพระเจ้าตรัสว่า

“ดูเถิด คนเหล่านี้เป็นชนชาติเดียว มีภาษาเดียว นี่เป็นเพียงเบื้องต้นของสิ่งที่เขาจะทำ 
และเขาตั้งใจจะทำอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น มาเถิด เราจงลงไป 
ทำให้ภาษาของเขาวุ่นวายต่างกันไป อย่าให้เขาพูดเข้าใจกันได้”

พระเจ้าจึงทรงทำให้เขา กระจัดกระจายจากที่นั่นไปทั่วพื้นแผ่นดิน 
คนเหล่านั้นก็เลิกสร้างเมืองนั้น เหตุฉะนี้จึงเรียกเมืองนั้นว่าบาเบล  
(คล้ายคำ “บาลัล” ในฮีบรู แปลว่า วุ่นวาย) เพราะว่าที่นั่นพระเจ้าทรงทำให้ภาษาของเขาวุ่นวายไป 
และพระเจ้าทรงทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปทั่วพื้นแผ่นดิน
(คัดจากหนังสือปฐมกาล บทที่ 11 ข้อ 1-9)

พวกชาวเมืองนี้มีความสามารถในการผลิตอิฐขึ้นมาใช้เอง แทนการใช้หินหรือการอาศัยอยู่ในถ้ำ และพูดจาภาษาเดียวกัน ซึ่งหลังจากที่พวกเขากระจัดกระจายไปเพราะพูดจากันไม่รู้เรื่อง แน่นอนว่าพวกที่พูดกันรู้เรื่องก็คงยังอาศัยอยู่ที่นั่น การสร้างวิหารหรือก่อหอสูงยังคงทำกันต่อไป แต่คงทำให้สูงมากไม่ได้

สิ่งที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวคืออำนาจจากเบื้องบนที่ทำให้เกิดสิ่งเหนือธรรมชาติ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวในโลกที่มักจะหาเหตุผลมาอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติ จะถูกหรือจะผิดก็ตาม

ดังนั้นเทพเจ้าของพวกซูเมเรียนในยุคนั้น จึงมีลักษณะเป็นเทพที่อยู่เบื้องบน มีอิทธิพลต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์ เพราะพวกเขาสังเกตจากสิ่งรอบๆ ตัว พืชพรรณธัญญาหารต่างๆ จะเติบโตขึ้นมาได้ก็เพราะดวงอาทิตย์ ให้ความร้อน ความอบอุ่น และน้ำให้ความเย็น ความชุ่มชื่น และดวงจันทร์ก็มีอิทธิพลต่อการขึ้นลงของน้ำ พวกเขาจึงเชื่อว่านี่คือฤทธิ์เดชของเทพเจ้าที่ดลบันดาลให้ และมนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นข้ารับใช้ของเทพเจ้า ดังนั้นจึงต้องมีตัวแทนระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้าเพื่อจะได้พูดคุยกับเทพเจ้าว่าต้องการอะไร ตัวแทนดังกล่าวจึงรับหน้าที่นั้น และพัฒนาวิธีการจนกลายเป็นนักบวช คือต้องถือบวชรักษาตนให้ชีวิตที่แตกต่างจากบุคคลทั่วไป และมนุษย์ก็ต้องการเห็นอิทธิฤทธิ์ของเทพเจ้า พวกนักบวชจึงต้องเรียนรู้หรือหาวิธีที่จะสำแดงฤทธิ์ดังกล่าวเพื่อให้ผู้คนเชื่อถือ และมีการถ่ายทอดสู่รุ่นต่อมาจนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชนชาติ


ตำนานของซูเมเรียนบันทึกการสร้างมนุษย์เช่นเดียวกับคัมภีร์ไบเบิ้ล แต่มีความแตกต่างกันคือ มนุษย์ถือกำเนิดเกิดขึ้นเพราะความผิดพลาดของเทพเจ้า “ลาฮาร์ (Lahar) เทพแห่งโค” และ “อัชนาน (Ashnan) เทวีแห่งธัญพืช” ทั้งสองมีหน้าที่นำอาหารมาถวายแด่เทพผู้ยิ่งใหญ่ นั่นคือ “นานนา (Nanna) (พ่อ) เทพแห่งดวงจันทร์”, “อีนานนา (Inanna) (แม่) เทวีแห่งดวงดาว” และ “อูตู (Utu) (ลูก) เทพแห่งดวงอาทิตย์” แต่ทั้งสองเผลอหลับไปในระหว่างการทำงาน จึงมีผลทำให้ “นามมู (Nammu)” และ “นินมาฮ์ (Ninmah)” เทวีแห่งการเกิด ต้องสร้างมนุษย์จากดินเหนียวเพื่อเลี้ยงเหล่าทวยเทพ ด้วยการถวายธัญพืชและสัตว์เพื่อบูชายัญ และนี่คือสาเหตุที่ชนเผ่านี้เชื่อว่าพวกเขาถูกสร้างมาเพื่อเป็นคนรับใช้ของเทพเจ้า เพราะหากไม่ทำตามก็จะเกิดภัยพิบัติต่างๆ นานา

อับราฮัม (Abraham) บิดาแห่งความเชื่อของชาวยิว, คริสต์ และอิสลาม ก็เกิดขึ้นยังดินแดนแห่งนี้ เขาและครอบครัวอาศัยอยู่ที่เมืองเออร์ (Ur) เขาออกเดินทางจากเมืองเออร์เพื่อไปยังดินแดนแห่งใหม่ โดยเดินทางตามแนวของแม่น้ำยูเฟรติสขึ้นไปทางเหนือ และวกกลับทางตะวันตกคือดินแดนคานาอัน จนไปถึงดินแดนทางตะวันตกคืออียิปต์ ซึ่งเป็นแหล่งทำมาหากินของคนยุคโบราณที่อาศัยเส้นทางของแม่น้ำต่างๆ และอาศัยริมแม่น้ำปลูกพืชพรรณธัญญาหารต่างๆ อาศัยเลี้ยงชีพ

ทำไม? อับราฮัมจึงตัดสินใจออกเดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอนของเขา ทำไม? เขาจึงปฏิเสธที่จะบูชานับถือเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ หรือดวงดาวต่างๆ ที่คนที่นั่นเขานับถือกัน

บันทึกจากพระคัมภีร์ยังคงเป็นแห่งเดียวที่ให้เราได้ศึกษาค้นคว้ากัน

“เราจะอวยพรเจ้าแน่ เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้น 
ดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล 
เชื้อสายของเจ้าจะได้ประตูเมืองศัตรูของเจ้าเป็นกรรมสิทธิ์”
 (คัดลอกจากหนังสือปฐมกาล บทที่ 22 ข้อที่ 17)

ลูกหลานของอับราฮัมจะมีมากขึ้นเหมือนดวงดาวในท้องฟ้า ซึ่งตรงนี้ชี้ให้เห็นว่าความเชื่อของเขาเปลี่ยนไป พระเจ้าของอับราฮัมให้สิทธิพิเศษทำให้เขามีพรเหนือเทพเจ้าแห่งดวงดาว เพราะดวงดาวต่างๆ เป็นเพียงลูกหลานของเขา เขาจะกลายเป็นบิดาแห่งดวงดาว (สังเกตจากสัญลักษณ์จากธงชาติของชาวยิวก็เป็นรูปดาว และสัญลักษณ์ของอิสลามก็เป็นรูปดาว)

ดาว ยังเป็นสัญลักษณ์ของพวกที่เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์อีกด้วย ดาวห้าแฉกหรือเพนทาเคิล  (Pentacle) เป็นสัญลักษณ์ของ “ดวงดาวแห่งผู้วิเศษ” สามารถป้องกันอำนาจและอิทธิพลจากปิศาจร้ายได้

ซึ่งสัญลักษณ์นี้ถูกใช้และปรากฏบ่อยๆ ในตำนานหรือพิธีกรรมทางลัทธิความเชื่อของหลายๆ แหล่งชุมชน หรือแม้แต่ในปัจจุบัน


อียิปต์ (Egypt)
เมื่อเอ่ยชื่อดินแดนแห่งนี้ แทบจะทุกคนคงจะต้องนึกถึง “ปิรามิด” เป็นสิ่งแรก รองลงมาก็คงจะเป็น มัมมี่, สฟริงส์, คำสาปลึกลับ, สมบัติล้ำค่า, พระนางคลีโอพัตรา หรือแม่น้ำไนล์

ดินแดนแห่งนี้มีชื่อเสียงมากในเรื่องเวทมนตร์มากกว่าดินแดนใดๆ ในอดีตกาล เรื่องราวถูกถ่ายทอดเล่าสืบต่อกันมาอย่างมากมา

การดำรงชีวิตของผู้คนในดินแดนแถบนี้เกี่ยวข้องกับแม่น้ำไนล์เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมีผลทำให้เทพเจ้าต่างๆ ของอียิปต์มีหน้าตาบุคลิกลักษณะเป็นสัตว์ประจำถิ่นไป แต่เทพสูงสุดยังคงเกี่ยวข้องกับดวงดาวในท้องฟ้าอยู่เช่นเดียวกับพวกซูเมเรียน

เทพ “รา (Ra)” คือเทพสูงสุดของอียิปต์ มีวาจาสิทธิ์ในการสร้างสรรพสิ่ง เช่นเดียวกับพระเจ้าของชาวยิว

เมื่อเทพ “รา” ตรัสว่า “ข้าคือ เคเปรา (Khepera) ในยามรุ่งอรุณ คือ รา ในยามเที่ยงวัน และคือ ตุม (Tum) ในยามเย็น” และปรากฏร่างเป็นดวงอาทิตย์ขึ้นสู่ท้องฟ้าจากทิศตะวันออก และหายไปทางตะวันตกในวันแรกของการกำเนิดโลก

เมื่อเอ่ยนาม “ชู (Shu)” สายลมก็พัด

กล่าวคำว่า “เตฟนุต (Tefnut)” ฝนก็ตกลงมา

และคำว่า “เกบ (Geb)” แผ่นดินโลกก็เกิดขึ้น

“นุต (Nut)” กลายเป็นท้องฟ้า

“ฮาปิ (Hapy)” กลายเป็นแม่น้ำ (คือแม่น้ำไนล์)

เทพ “รา” เอ่ยคำอะไรสิ่งนั้นก็เกิดขึ้นบนแผ่นดินโลก คำตรัสสุดท้ายก็คือ ชาย และ หญิง จึงถือกำเนิดมาเป็นประชาชนของอียิปต์

แล้วเทพ “รา” ก็กลายร่างเป็นมนุษย์ปกครองอียิปต์นับพันปี ถือว่าเป็นฟาโรห์องค์แรก

ดังนั้นสัญลักษณ์ดวงอาทิตย์จึงเป็นสัญลักษณ์ที่พบเห็นอยู่บ่อยๆ ในภาพวาด หรือรูปสลักของอียิปต์

ในเรื่องเวทมนตร์คาถานั้น หากสังเกตจากเรื่องนี้ก็พอที่จะให้เราคลำทางได้ว่า คาถาอาคมต่างๆ ก็เกิดจากการพูดนั่นเอง การท่องคำเดิมๆ ซ้ำๆ ได้เพิ่มพลังสมาธิแก่ผู้ท่องบ่นหรือสวดภาวนาจนบรรลุถึงขั้นสูงสุด จนเมื่อคนๆ นั้นกล่าวสิ่งใด สิ่งนั้นก็เกิดขึ้น

ฟาโรห์แห่งอียิปต์มักจะมีไม้เท้าหรือคทาที่ใช้ควบคู่ไปกับการประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อ และการเรียนรู้เวทมนตร์เป็นเรื่องปกติที่เจ้าชายเจ้าหญิงและเหล่านักบวชชั้นสูงแห่งอียิปต์ต้องกระทำกัน

“โมเสส (Moses)” เป็นบุคคลหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ถูกกล่าวอ้างถึงอยู่บ่อยๆ เรื่องราวของเขาถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์และหนังการ์ตูนในหลายๆ รูปแบบ กล่าวว่า เขาใช้อำนาจพิเศษจากพระผู้สร้างสูงสุดเรียกร้องให้ฟาโรห์ปลดปล่อยทาสชาวฮีบรูออกจากอียิปต์ การประลองเวทจึงเกิดขึ้น และสุดท้ายฝ่ายอียิปต์ก็พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง ทั้งๆ ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งเวทมนตร์

บันทึกโบราณได้เล่าว่า

..ต่อมาในเวลาเที่ยงคืน พระเยโฮวาห์ทรงประหารบุตรหัวปีทุกคนในประเทศอียิปต์ 
ตั้งแต่พระราชบุตรหัวปีของฟาโรห์ผู้ประทับบนพระที่นั่ง 
จนถึงบุตรหัวปีของเชลยที่อยู่ในคุกใต้ดิน ทั้งลูกหัวปีของสัตว์เลี้ยงทุกตัว 
ฟาโรห์กับข้าราชการ และชาวอียิปต์ทั้งปวงตื่นขึ้นในตอนกลางคืน 
มีเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังทั่วทั้งอียิปต์ เนื่องด้วยไม่มีบ้านใดเลยที่ไม่มีคนตาย

 ฟาโรห์จึงตรัสเรียกโมเสสกับอาโรนให้มาเฝ้าในคืนวันนั้น ตรัสว่า

"เจ้าทั้งสองกับทั้งชนชาติอิสราเอลจงยกออกไปจากประชาชนของเราเถิด 
ไปปรนนิบัติพระเยโฮวาห์ตามที่ได้พูดไว้นั้น เอาฝูงแพะแกะและฝูงวัวของเจ้าไปด้วย
ตามที่เจ้าได้พูดไว้แล้ว ไปและอวยพรให้เราด้วย"
ฝ่ายชาวอียิปต์ก็เร่งรัดให้พลไพร่นั้นออกไปจากประเทศโดยเร็ว 
เพราะเขาพูดว่า

"พวกเราตายกันหมดแล้ว"

พลไพร่นั้นเอาก้อนแป้งดิบที่ยังมิได้ใส่เชื้อกับอ่างขยำแป้ง 
ห่อผ้าใส่บ่าแบกไป ชนชาติอิสราเอลกระทำตามคำสั่งของโมเสสคือ ขอเครื่องเงิน เครื่องทอง
และเครื่องนุ่งห่มจากชาวอียิปต์ และพระเยโฮวาห์ทรงบันดาลให้พลไพร่นั้น
เป็นที่โปรดปรานในสายตาของชาวอียิปต์ เขาจึงให้สิ่งของทั้งปวงตามที่เขาขอ 
เขาจึงได้ริบเอาสิ่งของต่างๆ ของชาวอียิปต์เสีย
 (คัดลอกจากหนังสืออพยพ บทที่ 12 ข้อที่ 29-36)

เรื่องราวของโมเสสยังมีอีกมาก แต่จะกล่าวถึงเรื่องที่อยู่นอกเหนือจากบันทึกที่มีอยู่ในคัมภีร์ไบเบิ้ล นั่นคือ "คาบาลา (Kabbala)” หรือสัญลักษณ์ของการเดินทางของดวงดาว หรือต้นไม้แห่งชีวิต ประกอบด้วยพระนามของพระเจ้า ชาวยิวเชื่อกันว่า โมเสสรู้ความลับเกี่ยวกับคาบาลา เมื่อโมเสสไปพบกับพระเจ้าบนยอดเขาซีนาย และหากใครได้เรียนรู้วิชานี้ก็จะสามารถสะกดวิญญาณอันชั่วร้ายหรือภูตผีปิศาจได้ มีชาวยิวหลายคนศึกษาวิชานี้และหากินกับการขับไล่ภูตผีจนเป็นอาชีพประจำเลยก็ว่าได้

พระเจ้าได้ทรงกระทำการอัศจรรย์อันพิสดารด้วยมือของเปาโล จนเขานำเอาผ้าเช็ดหน้ากับผ้ากันเปื้อนจากตัวเปาโลไปวางที่ตัวคนป่วยไข้ โรคนั้นก็หายและวิญญาณชั่วก็ออกจากคน

แต่พวกยิวบางคนที่เที่ยวไปเป็นหมอผีพยายามใช้พระนามของพระเยซูเจ้าขับวิญญาณชั่วว่า

 "เราสั่งเจ้าโดยพระเยซูซึ่งเปาโลได้ประกาศนั้น" 
พวกยิวคนหนึ่งชื่อเสวาเป็นปุโรหิตใหญ่มีบุตรชายเจ็ดคนซึ่งได้กระทำอย่างนั้น

 ฝ่ายวิญญาณชั่วจึงตอบเขาว่า
 "พระเยซู ข้าก็รู้จัก และเปาโล ข้าก็รู้จัก แต่พวกเจ้าเป็นผู้ใดเล่า"
คนที่มีวิญญาณชั่วสิงอยู่จึงกระโดดใส่คนเหล่านั้นและเอาชนะเขา 
และปราบเขาลงได้ จนคนเหล่านั้นต้องหนีออกไปจากเรือนทั้งเปลือยกายและบาดเจ็บ
(คัดลอกจากหนังสือกิจการ บทที่ 19 ข้อที่ 11-16)

จากบันทึกดังกล่าวจะพบว่าการเรียนเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องปกติที่พวกยิวกระทำกัน แม้ในปัจจุบันก็ยังมีผู้สนใจเรียนรู้การใช้คับบาลาอยู่ บางครั้งก็ปรากฏในรูปแบบของ คอร์ป ไซเคิล ด้วย (Crop Circles คือสัญลักษณ์ที่เกิดขึ้นในทุ่งนา เชื่อกันว่ามนุษย์ต่างดาวเป็นคนกระทำขึ้นมา)

เดี๋ยวจะเลยไปไกลกลับมาที่อาณาจักรอียิปต์ต่อ อาณาจักรนี้ยังคงดำรงอยู่ต่อมาจนถึงสมัยกรีกเรืองอำนาจ และราชวงศ์สุดท้ายที่ปกครองอียิปต์ก็หาใช่ชาวอียิปต์ไม่ แต่เป็นชาวกรีก นั่นคือ ราชวงศ์ ปโตเลมี โดยมีพระนางคลีโอพัตราที่ 7 ที่สร้างชื่อเสียงจนชาวโลกรู้จัก และให้ความสนใจ

กรีก-โรมัน (Greco-Roman)
อาณาจักรกรีก และโรมันนั้น แม้จะเป็นคนละอาณาจักร แต่มีอะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวพันกัน จึงขอเล่ารวมๆ ทั้งสองอาณาจักรไปพร้อมๆ กัน

เรื่องของเวทมนตร์ของ 2 ชนชาตินี้ปรากฏอยู่ในตำนานเทพเจ้าที่เล่าผ่านบทกวีของโฮเมอร์ นั่นคือ “อีเลียด (Iliad)” และ “โอดิสซี (Odyssey)” สงครามการต่อสู้เพื่อแย่งชิงหญิงงามผู้เลอโฉม “เฮเลน (Helen)” เหล่าเทพเทวีปรากฏตัวขึ้นสอดแทรกอยู่เป็นช่วงๆ จนเฮเสียดได้เขียนขึ้นให้เป็นเทพตำนาน โดยมีเทพซุสผู้ยิ่งใหญ่ประทับอยู่บนยอดเขาโอลิมปัส ต่างจากตำนานของซูเมเรียนแต่ก็มีส่วนคล้ายอียิปต์ เพราะเหล่าเทพ-เทวีเริ่มมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์ บางครั้งก็มาได้ภรรยาเป็นมนุษย์บ้าง และมักมีบุตร-บุตรีที่เป็นมนุษย์ด้วย ตัวประหลาดๆ อย่างคนครึ่งม้า “เซนทอร์ (Centaurs)” หรือคนมีหัวเป็นวัวอย่าง “มิโนทอร์ (Minotaur)” ก็มาจากตำนานของกรีก

เวทมนตร์ของชาวกรีก-โรมันมักไม่ปรากฏในหมู่มนุษย์ธรรมดา นอกเสียจากว่าเหล่าทวยเทพดลบันดาลให้เกิดขึ้น ดังนั้นผู้มีคาถาอาคมของชนชาตินี้จึงไปตกอยู่ที่เหล่านักบวช หรือเทพเจ้า

ประชาชนคนธรรมดาจึงบูชาเหล่าเทพ-เทวีต่างๆ อย่างงมงายแบบโงหัวไม่ขึ้น และบุคคลสำคัญต่างๆ ก็มีความเชื่อว่าตนเองถือกำเนิดมาจากเทพเจ้า

อเล็กซานเดอร์มหาราช (Alexander the Great) ราชันแห่งกรีกได้รับการสอนสั่งจากพระมารดาว่าตนเองเป็นบุตรแห่งซุส

รีมัส-โรมิวลัส (Remus-Romulus) สองพี่น้องผู้ก่อตั้งอาณาจักรโรมันเล่าต่อกันมาว่าเป็นบุตรของเทพมาร์ส (Mars) หรือเทพแห่งสงคราม

การที่ลูกหลายของเทพเจ้าลงมาปกครองมนุษย์ถูกถ่ายทอดผ่านอาณาจักรเก่าด้วย น่าสังเกตว่าความเชื่อเดิมที่มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นทาสรับใช้เทพเจ้าบนท้องฟ้า จนอับราฮัมกลายเป็นบิดาแห่งดวงดาว ความเชื่อเคลื่อนสู่อียิปต์ จนถึงกรีก-โรมัน ดินแดนที่อยู่รอบๆ ทะเลเมดิเตอริเนียนก็รับอิทธิพลนี้อย่างแนบเนียนจนไม่รู้ว่าต้นกำเนิดที่แท้จริงเป็นอย่างไร

ในช่วงนั้นตำราเวทมนตร์มีมากมาย ใครๆ ก็สามารถหาซื้อมาเป็นเจ้าของได้ มีการเรียนรู้อย่างกว้างขวาง และเรื่องประหลาดมหัศจรรย์กลายเป็นเรื่องที่ผู้คนชื่นชอบและตื่นเต้น

ที่เมืองลิสตรามีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ใช้เท้าไม่ได้ เขาพิการตั้งแต่ครรภ์มารดา 
ยังไม่เคยเดินเลย คนนั้นได้ฟังเปาโลพูดอยู่
เปาโลจึงเขม้นดูเขา เห็นว่ามีความเชื่อพอจะหายโรคได้ 
จึงร้องสั่งด้วยเสียงอันดังว่า

"จงลุกขึ้นยืนตรง" คนนั้นก็กระโดดขึ้นเดินไป

เมื่อหมู่ชนเห็นการซึ่งเปาโลได้กระทำนั้น 
จึงพากันร้องเป็นภาษาลิคาโอเนียว่า

"พวกพระแปลงเป็นมนุษย์ลงมาหาเราแล้ว"

เขาจึงเรียกบารนาบัสว่า พระซุส และเรียกเปาโลว่า พระเฮอร์เมส 
เพราะเปาโลเป็นผู้นำในการพูด ปุโรหิตประจำรูปพระซุส 
ซึ่งตั้งอยู่หน้าเมืองได้จูงวัวและถือพวงมาลัยมายังประตูเมือง 
หมายจะถวายเครื่องบูชาด้วยกันกับประชาชน
(คัดลอกจากหนังสือกิจการ บทที่ 14 ข้อที่ 9-13)

จากบันทึกนี้แสดงให้เห็นว่าผู้คนชาวบ้านชาวเมืองเชื่อสนิทใจกับปาฏิหาริย์แบบนี้เป็นมาจากเทพเจ้า แต่ต่อมาความเชื่อแบบพระเจ้าเดียวเข้ามาสู่อาณาจักรโรมัน พวกคริสเตียนทวีมากขึ้น ชนชั้นสูงเริ่มกลับใจมาเชื่อพระเจ้าของชาวยิว เพราะความแตกต่างจากความเชื่อเดิม และสอดคล้องกับหลักคำสอนของนักปรัชญากรีกหลายคน

พอค่ำลงพวกพี่น้องจึงส่งเปาโลกับสิลาสไปยังเมืองเบโรอา 
ครั้นถึงแล้วท่านจึงเข้าไปในธรรมศาลาของพวกยิว 
ชาวเมืองนั้นสุภาพกว่าชาวเมืองเธสะโลนิกา ด้วยเขาได้รับพระวจนะด้วยความเต็มใจ 
และค้นดูพระคัมภีร์ทุกวัน หวังจะรู้ว่า ข้อความเหล่านั้นจะจริงดังกล่าวหรือไม่ 
เหตุฉะนั้น มีหลายคนในพวกเขาได้เชื่อถือ กับสตรีผู้มีศักดิ์ชาติกรีก ทั้งผู้ชายไม่น้อย
(คัดลอกจากหนังสือกิจการ บทที่ 17 ข้อที่ 10-12)

“พระเจ้าคือผู้ทำให้สรรพสิ่งเคลื่อนไหวโดยที่พระองค์เองไม่เคลื่อนไหว” และ
“พระเจ้าทรงเป็นภาวะที่ดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ ทรงมีชีวิตต่อเนื่องเป็นนิตย์ นั่นคือพระเจ้า”
อริสโตเติ้ล (Aristotle)

คำสอนของอริสโตเติ้ลอีกหลายๆ บทกลับกลายเป็นหลักคำสอนที่สนับสนุนแนวคิดของพวกคริสเตียนในยุคต่อมา ซึ่งมีผลยาวนานถึง 1800 ปี นับจากอายุของเขาจนถึงยุควิทยาศาสตร์

ชาวกรีก-โรมันในยุคนั้นไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือกันทุกคน มีแต่เพียงชนชั้นสูง หรือชนชั้นปกครองเท่านั้นที่ได้เรียน ดังนั้นความเชื่อในลักษณะงมงายโดยใช้ศรัทธาเป็นหลักจึงดำรงอยู่อย่างถาวร

แสดงออกมาให้เห็นเป็นวิหารขนาดใหญ่โตนั่นก็คือ วิหารแห่งเทพซุส (โรมันเรียก ‘จูปิเตอร์’) ที่โอลิมเปีย และวิหารแห่งอาร์เทมิส (โรมันเรียก ‘ไดอาน่า’) ที่เมืองเอเฟซัส ซึ่งทั้งสองแห่งนี้ติดอันดับ 1 ใน 7 ของสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์ และแน่นอนว่าเรื่องราวของการใช้เวทมนตร์ในยุคนั้นมีแพร่หลาย และถือเป็นเรื่องปกติ

ยังมีชายคนหนึ่งชื่อ ซีโมนเคยทำเวทมนตร์ ในเมืองนั้นมาก่อน 
และได้ทำให้ชาวสะมาเรียพิศวงหลงใหล เขายกตัวว่าเป็นผู้วิเศษ 
ฝ่ายคนทั้งปวงทั้งผู้น้อยผู้ใหญ่ก็สนใจฟังคนนั้น แล้วว่า

"ชายคนนี้เป็นมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้า)"

คนทั้งหลายนับถือเขา เพราะเขาได้ทำเวทมนตร์ให้คนทั้งหลายพิศวงหลงใหลมานานแล้ว
(คัดลอกจากหนังสือกิจการ บทที่ 8 ข้อ 9-11)

จากบันทึกนี้สะท้อนให้เห็นถึงการใช้เวทมนตร์ของชาวยิวที่พูดภาษากรีก และมีคนมากมายนับถือเขา คำว่า “พระเจ้า” ในที่นี้อาจหมายถึง “เทพเจ้า” ที่พวกกรีก-โรมันนับถือ แต่เมื่อความเชื่อของคริสเตียนแพร่หลายเข้ามาในอาณาจักรกรีก-โรมัน ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

เมื่อได้เดินตลอดเกาะนั้นไปถึงเมืองปาโฟสแล้ว ก็ได้พบคนหนึ่งเป็นคนทำเวทมนตร์ เป็นผู้ทำนายเท็จ เป็นพวกยิวชื่อว่าบารเยซู อยู่กับผู้ว่าราชการเมืองชื่อเสอร์จีอัสเปาโล เป็นคนฉลาดรอบรู้ ผู้ว่าราชการเมืองจึงเชิญบารนาบัสกับเซาโลมา ปรารถนาจะฟังพระวจนะของพระเจ้า

 แต่เอลีมาสคนทำเวทมนตร์ (เพราะชื่อของเขามีความหมายอย่างนั้น) 
ได้คัดค้านขัดขวางบารนาบัสกับเซาโล หวังจะไม่ให้ผู้ว่าราชการเมืองเชื่อ 
แต่เซาโล (ที่มีชื่ออีกว่าเปาโล) ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์เขม้นดูเอลีมาส และพูดว่า

"โอ เจ้าเป็นคนเต็มไปด้วยอุบายและใจร้ายทุกอย่าง ลูกของพญามาร 
เป็นศัตรูต่อบรรดาความชอบธรรม เจ้าจะไม่หยุดพยายามทำทางตรงขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ให้เขวไปหรือ ดูเถิด บัดนี้พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็อยู่บนเจ้า 
เจ้าจะเป็นคนตาบอดไม่เห็นดวงอาทิตย์จนถึงเวลากำหนด"

 ทันใดนั้นความมืดมัวก็บังเกิดแก่เอลีมาส เอลีมาสจึงคลำหาคนให้จูงมือไป 
ครั้นผู้ว่าราชการเมืองได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นจึงเชื่อถือ 
และอัศจรรย์ใจด้วยพระดำรัสสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า
(คัดลอกจากหนังสือกิจการ บทที่ 13 ข้อ 6-12)

ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนที่ใช้เวทมนตร์มักจะมีตำแหน่งหน้าที่อยู่กับคนใหญ่คนโต ในบันทึกนี้จะพบว่าพวกคริสเตียนมีคำพูดที่ศักดิ์สิทธิ์จนทำให้เอลีมาสตาบอดไป หรือที่พวกใช้เวทมนตร์เรียกว่า “คาถา” หรือ “คำสาป”

มีหลายคนที่เชื่อแล้วได้มาสารภาพ และเล่าเรื่องการซึ่งเขาได้กระทำไปนั้น 
และหลายคนที่ใช้เวทมนตร์ได้เอาตำราของตนมาเผาเสียต่อหน้าคนทั้งปวง 
ตำราเหล่านั้นคิดเป็นราคาถึงห้าหมื่นเหรียญเงิน (1 เหรียญเงินเท่ากับค่าแรง 1 วัน)
(คัดลอกจากหนังสือกิจการ บทที่ 13 ข้อ 6-12)

การใช้เวทมนตร์ที่เป็นที่ยอมรับหรือแพร่หลายอย่างเปิดเผยนั้นเริ่มลดลงเพราะความเชื่อแบบคริสเตียน นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และนี่คงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ว่า ทำไมพวกคริสเตียนจึงต่อต้านพวกพ่อมดแม่มด หรือความเชื่อที่แตกต่างอย่างออกนอกหน้า (หนังสือ “แฮร์รี่ พอตเตอร์” จึงเป็นหนึ่งในหนังสือที่คริสเตียนต่อต้านด้วย)

และเมื่อคริสเตียนกลายเป็นศาสนาหลักของชาวกรีก-โรมัน พวกที่ใช้เวทมนตร์จึงต้องหลบๆ ซ่อนๆ ทำตัวลึกลับ และมีกลุ่มของตนเองเพื่อชุมนุมกัน

แต่จริงๆ แล้วความเชื่อในพระเจ้าของพวกยิวก็ปฏิเสธเรื่องการใช้เวทมนตร์มานานแล้ว ไม่ใช่เป็นเฉพาะพวกคริสเตียน ดูจากบันทึกจากคัมภีร์เดิม

“..เจ้าอย่าเป็นหมอผีหรือเป็นหมอดู..”
(คัดลอกจากหนังสือเลวีนิติ บทที่ 19 ข้อ 26)

“..ผู้ที่หันไปหาคนทรงเจ้าเข้าผีหรือพวกพ่อมดหมอผี เล่นชู้กับเขา เ
ราจะตั้งหน้าของเราต่อสู้ผู้นั้นและจะตัดเขาออกเสียจากชนชาติของตน..”
(คัดลอกจากหนังสือเลวีนิติ บทที่ 20 ข้อ 6)

“..อย่าให้มีคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านซึ่งให้บุตรชายหรือบุตรสาวของเขาลุยไฟ 
อย่าให้ผู้ใดเป็น คนทำนาย เป็นหมอดู เป็นหมอจับยามดูเหตุการณ์ 
หรือเป็นนักวิทยาคม เป็นหมอผี เป็นคนทรง เป็นพ่อมดแม่มด 
หรือเป็นหมอพราย เพราะทุกคนที่กระทำสิ่งเหล่านี้ย่อมเป็นที่สะอิดสะเอียนแด่พระเยโฮวาห์..”
(คัดลอกจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ บทที่ 18 ข้อ 10-12)

อาณาจักรโรมันเรืองอำนาจอยู่นานพอที่จะแผ่อิทธิพลความเชื่อของคริสเตียนไปทั่วภาคพื้นยุโรปทั้งหมด แต่ผู้ใช้เวทมนตร์ก็ยังซ่อนเร้นอยู่ตามชนบท แม้คริสเตียนจะกลายเป็นศาสนาหลักก็ตาม ผู้อ่านออกเขียนได้ก็ยังเป็นชนชั้นปกครองอยู่ดี คริสเตียนในยุคแรกจึงมีลักษณะครอบงำประชาชน ภาพวาดภาพเขียนจึงเป็นหนทางหนึ่งที่จะสื่อสารให้ประชาชนคนธรรมดาเข้าใจในศาสนา แต่ก็ยากที่จะถึงแก่น (จนถึงยุคปฏิวัติศาสนา เมื่อมาร์ติน ลูเธอร์ แปลพระคัมภีร์ให้ประชาชนทั่วไปได้อ่านกันเอง แทนที่จะฟังจากนักบวชหรือสารภาพบาปผ่านบาทหลวง)

ขอกล่าวถึงผู้ที่ใช้เวทมนตร์ที่แฝงเร้นอยู่ในอาณาจักรโรมันบ้างนั่นก็คือพวก ดรูอิด, วิคคา ซึ่งพวกนี้เป็นชนเผ่าพื้นเมืองกระจายอยู่ทั่วแคว้นกอล (ฝรั่งเศส) และเกาะบริเตน (อังกฤษ) หรือแม้แต่พวกนอร์ส (ยุโรปตอนเหนือ) พวกนี้ยังใช้เวทมนตร์ การทำนายดวงดาว การพยากรณ์ด้วยภาษารูนโบราณ จนถึงปัจจุบันพวกเหล่านี้ยังคงดำรงอยู่ การประกาศของคริสเตียนในเชิงลบ มีผลทำให้พวกนี้ยังดำรงอยู่

ที่อังกฤษ สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์ เรื่องพ่อมดแม่มดยังคงฝังตัวอยู่อย่างลึกซึ้ง มีหลายเมืองยังคงเค้าความเชื่ออยู่ แน่นอนว่าเรื่อง “แฮร์รี่ พอตเตอร์” จึงถือกำเนิดมาจากอังกฤษอย่างไม่ต้องสงสัย

หรือแม้แต่เรื่องของ “เมอร์ลิน” พ่อมดแห่งคาเมลอต ที่ปรึกษาของกษัตริย์อาเธอร์ ต้นแบบของพ่อมดแห่งอังกฤษ และเป็นที่มาของพ่อมดในวรรณกรรมหลายคนทั้งยังถูกกล่าวอ้างถึง
อาทิเช่น “แกนดัล์ฟ” ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับเมอร์ลิน

“บากูโมถ่าย” (จากเรื่อง สิมิลัน กราภูงา) ก็มีลักษณะของผู้วิเศษลึกลับ และยังมีพลังพิเศษเหมือนพวกเจไดจากเรื่อง “สตาร์วอร์” อีกด้วย

ยุโรป (Europe)
ในยุโรปเรื่องของการใช้เวทมนตร์ยังคงอยู่ทั่วไปตามแหล่งต่างๆ ซึ่งความเชื่อเหล่านี้ก็พัฒนามาจากเรื่องเล่า นิทานพื้นบ้าน ตำนานเทพเจ้านอร์ส ที่มีโอดินเทพเจ้าสูงสุด เจ้าแห่งเวทมนตร์

เรื่องราวตำนานนอร์สเป็นเรื่องที่สนุกสนานกลายเป็นเรื่องที่นักเรียนนักศึกษาได้เล่าเรียนกัน (หมายถึงเฉพาะในยุโรป เพราะในเมืองไทยเรานั้น ไม่มีการเรียนการสอนเรื่องเทพตำนานในแบบเรียนสามัญ) ซึ่งส่งผลให้เรื่องอย่าง “เดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์” มีตำนานนอร์สสอดแทรกอยู่อย่างกลมกลืน หรือแม้แต่เรื่องของ “นาร์เนีย” ภาพฉากมหาสงครามระหว่างฝ่ายดีและฝ่ายร้ายถูกยืมมาใช้ “แรกนาร๊อค” เป็นชื่อของมหาสงครามในตำนานนอร์ส (ซึ่งบัดนี้กลายเป็นชื่อเกมส์ออนไลน์ของเกาหลีที่เด็กๆ บ้านเราติดงอมแงม โดยไม่รู้เลยว่ามีที่มาที่ไปมาจากแหล่งใด)

และการมีอิทธิพลทางการเมืองส่งผลให้ผู้นำหลายคนในยุโรปใช้เรื่องพ่อมดแม่มดเป็นเครื่องมือกำจัดศัตรูทางการเมือง มีหลายคนถูกเผาทั้งเป็นในข้อหาเป็นแม่มด

ในพจนานุกรมภาษาไทย ได้แปลคำว่า “witch-hunt” หมายถึง “การประหัตประหารศัตรูการเมือง อย่างการปราบปรามแม่มดในสมัยก่อน”

“ฌอง ออฟ อาร์ค” หญิงสาวชาวฝรั่งเศสผู้นำกองทัพปลดแอกประเทศจากอังกฤษก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดเช่นกัน แต่อีก 500 ปีต่อมา เธอถูกยกย่องให้กลายเป็นนักบุญผู้พลีชีพ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อเรียกว่า “เซนต์ (Saint)”

กษัตริย์เจมส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ เป็นผู้หนึ่งที่สนับสนุนการล่าแม่มด และได้แปลพระคัมภีร์ที่ชื่อเสียงอีกฉบับหนึ่งด้วยนั่นคือฉบับ King James Version ในปี 1611

“Thou shalt not suffer a witch to live
สำหรับหญิงแม่มด เจ้าอย่าให้รอดชีวิตอยู่เลย”
(คัดลอกจากหนังสืออพยพ บทที่ 22 ข้อ 18)

“A man also or woman that hath a familiar spirit, or that is a wizard,
 shall surely be put to death : they shall stone them with stones : 
their blood shall be upon them.
ชายหรือหญิงคนใดที่เป็นคนทรงหรือพ่อมดแม่มด จงฆ่าเสีย จงเอาหินขว้างให้ตาย 
ให้โลหิตของผู้นั้นตกอยู่บนผู้นั้นเอง”
(คัดลอกจากหนังสือเลวีนิติ บทที่ 20 ข้อ 27)

บันทึกจากพระคัมภีร์เดิมที่ฉบับคิงเจมส์ฉบับเดียวเจาะจงใช้คำว่า “witch” และ “wizard” แทนที่จะคำว่า “sorceress” หรือ “sorcerer” เหมือนพระคัมภีร์ฉบับแปลอื่นๆ มีผลทำให้หลายคนถูกทรมานและให้ยอมรับสารภาพว่าเป็นพ่อมดแม่มดตามคำกล่าวหา ซึ่งหลายคนยอมรับสารภาพเพราะทนการทรมานไม่ไหว สุดท้ายทุกคนที่สารภาพก็ต้องถูกแขวนคอ หรือเผาทั้งเป็น ซึ่งนั่นก็ดีกว่าการทรมาน ที่น่าแปลกใจก็คือว่า ถ้าพวกนี้เป็นพ่อมดแม่มดจริงๆ ทำไมไม่ใช้เวทมนตร์ที่มีอยู่ต่อสู้ หรือหลบหนี

นักประวัติศาสตร์จึงเชื่อกันว่านี่คือวิธีของนักการเมืองในยุคนั้น ในดินแดนของอาณาจักรสยามบ้านเราก็ยังใช้วิธีแบบนี้เช่นกัน ในบันทึกของมิชชั่นนารีท่านหนึ่งได้บันทึกถึงเรื่องราวในทำนองนี้ไว้ว่า

“..ความเชื่อในเรื่องพ่อมดหมอผี หมายถึงตัวกลางที่ภูตผีเข้ามาสิงสู่ในตัวคนชั่วคราวหรืออย่างถาวร และไม่ได้จำเพาะเจาะจงอยู่กับผู้ใด ไม่ว่าจะมีอายุมากน้อยเพียงใดหรือมีเชื้อชาติใด อิทธิพลของความเชื่อเช่นนี้ในหมู่คนไทยทางเหนือจึงน่าประหลาดมาก เมื่อพิจารณาควบคู่ไปกับศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นศาสนาของดินแดนแห่งนี้มาช้านานแล้ว ในการสร้างอิทธิพลแข่งกัน ความเชื่อในภูตผีนั้นแม้จะไม่เหนือกว่าศาสนาพุทธ แต่ก็มีอิทธิพลเหนือกว่า ผู้คนที่อยู่ในกลุ่มนี้ยังกราบไหว้บูชาพระพุทธและถวายทานในวัด แต่พวกเขาก็ยังเกรงกลัวอำนาจของผีที่นำสิ่งชั่วร้ายมาให้ ดังนั้น การละทิ้งพระพุทธจึงปลอดภัยกว่าละทิ้งพวกผี เพราะพลังอำนาจของผีร้ายน่ากลัวมากที่สุด โดยเฉพาะขณะที่มันเข้าสิงอยู่ในตัวคน

นับตั้งแต่พวกเรามาถึงเชียงใหม่ครั้งแรก พวกเราประหลาดใจอยู่เสมอที่พบว่ามีผู้คนจำนวนมากถูกขับออกจากบ้านของตน เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าผีเข้า การกล่าวหาคนในลักษณะนี้จึงเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดอันหนึ่ง เพราะมันเป็นวิธีกำจัดศัตรูหรือเพื่อนบ้านที่ไม่เป็นมิตรได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นจึงไม่มีครอบครัวใดๆ หรือคนในตำแหน่งสูงต่ำเพียงใดรอดพ้นจากการถูกกล่าวหานี้ แม้แต่พวกเจ้าก็เช่นกัน ในทันทีที่มีผู้สงสัย สมาชิกในครอบครัวนั้นทุกคนก็จะประสบชะตากรรมทันที ความเวทนาของพวกเรามุ่งไปสู่คนที่โชคร้ายเหล่านั้นและคำสั่งสอนของพวกเราแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่จะเข้าไปช่วยเหลือได้..”
ศจ.เดเนียล แมคกิลวารี ดี.ดี.
(คัดลอกจากหนังสือ กึ่งศตวรรษในหมู่คนไทยและคนลาว)

ถึงอย่างไรก็ตาม ผู้เชื่อในเวทมนตร์คาถาในยุโรปได้เฟื่องฟูขึ้นอีกครั้ง และแผ่อิทธิพลไปทั่วโลก ซึ่งแท้จริงเรื่องราวของเวทมนตร์มีอยู่ทั่วไปทุกภูมิภาคของโลก แต่การเรียกนั้นแตกต่างกันไปไม่ว่าจะเป็น

“ชามาน (Shaman)” พ่อมดหมอผีอินเดียนแดงแห่งดินแดนแถบอเมริกาเหนือ และเอเชียตอนเหนือ

“วูดู (Voodoo)” ในแถบอเมริกากลาง

“วีดา (Veda)” เป็นความเชื่อของชาวฮินดูโบราณ

“วู (Wu)” พ่อมดหมอผีของชาวจีน

“ดรูอิด (Druid)” พ่อมดของพวกเซลติก (Celtic)

และ “วิคคา (Wicca)” ในประเทศอังกฤษ

อเมริกา (America)
แม้ว่าหมอผีอย่าง “ชามาน” จะมีมานานในอเมริกา แต่เรื่องแม่มดก็แผ่เข้ามาพร้อมกับความเชื่อของคริสเตียนยุโรปที่อพยพมาหาแหล่งทำกินใหม่ในอเมริกา

ในปี 1692 เรื่องของแม่มดแห่งเมืองซาเล็ม มลรัฐแมสสาชูเซตต์ เกิดขึ้นเมื่อคนใช้ผิวดำอ้างว่าตนเองเป็นแม่มด และเล่าเรื่องให้เด็กๆ ลูกของเจ้านายฟัง ซึ่งต่อมาเด็กเหล่านั้นก็มีอาการประหลาดชักดิ้นชักงอ ตัวสั่น ร้องครวญคราง และพูดจาไม่รู้เรื่อง หลายคนลงความเห็นว่าถูกแม่มดเข้าสิง จากเหตุการณ์ครั้งนี้มีผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดและถูกสั่งประหารด้วยการแขวนคอถึง 20 คน

การล่าแม่มด (Witch Hunts)

คัดลอกมาจากหนังสือ "ไขปริศนามายาเวท"

ในบทความนี้ต้องการจะสื่อให้เห็นถึงความดิบเถื่อนของมนุษย์ด้วยกันที่อ้างตนว่าศิวิไลซ์ ได้ใช้เล่ห์เพทุบายยัดข้อหาอันร้ายแรงแก่ผู้คนที่ไม่ยอมก้มหัวให้ตน ด้วยอุปกรณ์อันสุดแสนพิสดาร เพื่อบังคับขู่เข็ญให้ผู้บริสุทธิ์ฝ่ายตรงข้ามกับตนต้องรับโทษทัณฑ์ในข้อหาที่สุดแสนจะคลาสสิคนั่นคือ การเป็นแม่มด

คำว่า “Witch Hunts” มีความหมายตามพจนานุกรมภาษาไทยว่า “การประหัตประหารศัตรูการเมือง อย่างการปราบปรามแม่มดในสมัยก่อน” เรื่องการล่าแม่มดนั้นมีเหตุผลทางการเมืองมาเกี่ยวข้อง เพราะความเชื่อของคนยุโรปในสมัยนั้นยังดิบเถื่อนเหมือนกัน การดำเนินชีวิตแบบแปลกแยกจากสังคมหรือทำตัวลึกลับอาจจะส่งผลให้ผู้คนตั้งข้อสงสัยว่าคนๆ นั้นอาจจะเป็นแม่มดก็ได้ เมื่อนั้นจะมีคนจากทางการมาจับและทำการสอบสวน ซึ่งส่วนใหญ่จะจบลงด้วยการเผาทั้งเป็น
แต่ก่อนที่จะยอมรับสารภาพ เขาหรือเธอจะถูกทรมานจนทนไม่ได้ ความตายดูเป็นทางออกที่ดีกว่า เรามาดูซิว่ามีใครบ้างในอดีตที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดบ้าง

เดม อลิซ คีทเลอร์ (Dame Alice Kyteler)
เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ไอร์แลนด์ ในช่วงศตวรรษที่ 14 “เดม อลิช คีทเลอร์” ถือเป็นคนแรกที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด
ภาพแกะสลักไม้ แสดงให้เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง
กำลังกลายร่างด้วยขี้ผึ้ง
เธอแต่งงาน 4 ครั้ง และทั้ง 3 ครั้งสามีของเธอได้เสียชีวิต ทุกคนเป็นคนที่มั่งคั่ง และคนสุดท้ายคือ “เซอร์จอห์น เลอ โปเออร์ (Sir John le Poer)” ซึ่งเธอถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดเมื่อเซอร์จอห์นสังเกตว่าตัวเขามีร่างกายซูบผอมลงไปทุกที ที่ฝ่ามือมีขนขึ้นเต็มไปหมด และสงสัยว่าเขากำลังจะถูกแม่มดฆ่าทีละน้อย

เขาจึงเรียกเอาลูกกุญแจห้องของภรรยาเดม อลิซ มาและเข้าไปในห้องของเธอ เขาพบหีบล็อคกุญแจและกำปั่นใส่เงินหลายชิ้น เมื่อเปิดออกก็พบผงและน้ำมันเหมือนขี้ผึ้งบรรจุอยู่ เขาจึงลงความเห็นว่าเธอเป็นแม่มด

เขาจึงส่งกำปั่นทั้งหมดให้แก่บิชอปนามว่า “ริชาร์ด เดอ เลด์เรด (Richard de Ledrede)” แห่งวิหารออสซอรี่ (Ossory) ท่านเคยไปอยู่ที่ฝรั่งเศสเรียนรู้เรื่องแม่มดและเวทมนตร์คาถาต่างๆ ท่านจึงสั่งให้มีการสอบสวน และผลออกมาว่าต้องควบคุมตัว เดม อลิซ กับผู้ร่วมสมคบอีก 7 คน ในฐานะผู้ทำตัวนอกรีตและหันไปนับถือปิศาจ คนที่ถูกกล่าวหานั้นมีลูกชายและคนใช้ของเธอรวมอยู่ด้วย

แต่ในประเทศไอร์แลนด์ ผู้ดีมีสกุลได้รับการยอมรับนับถือและมีอิทธิพลอย่างมาก การที่จะจับเธอมาลงโทษจึงเป็นเรื่องยาก ท่านบิชอปจึงทำได้เพียงไล่เธอออกจากศาสนา แต่เธอก็แก้เผ็ดท่านโดยเอาตัวท่านไปขังคุกไว้ถึง 15 วัน แล้วปล่อยตัวออกมา

ท่านบิชอปพยายามร้องต่อศาล แต่ศาลไม่รับคำร้อง เพราะยังไม่เคยมีการจับกุมคนที่ไม่มีความผิดมาคุมขัง แถมยังถูกโยนออกมานอกศาล แต่ในที่สุดศาลก็ยอมจับกุมคนทั้งหมด

เดม อลิซจึงตัดสินใจหนีไปอังกฤษ และอยู่อย่างปลอดภัย แต่ลูกชายที่ชื่อ วิลเลียม และคนอื่นๆ ถูกจับได้ เขาถูกขังอยู่ 9 สัปดาห์ จนต้องยอมรับสารภาพ และถูกทำโทษเพียงซ่อมหลังคาโบสถ์โดยเขาออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด แล้วออกจากเมืองนั้นมา

มีแต่ “เปโทรนิลล่า (Petronilla)” สาวใช้ของเธอ ที่ถูกประหารชีวิตด้วยการเผาทั้งเป็น ส่วนคนอื่นๆ ถูกเฆี่ยนประจานในตลาดและตามถนน

แม่มดที่เมืองเชล์มฟอร์ด (The Chelmsford Witches)
ในปี 1566 ที่เมืองเชล์มฟอร์ด ประเทศอังกฤษ มีผู้หญิง 3 คนถูกจับกุมด้วยข้อหาเป็นผู้ใช้เวทมนตร์คาถาในรูปแบบที่แตกต่างกัน ทั้งหมดมาจากเมืองเดียวกัน มีคนหนึ่งชื่อว่า “เอลิซาเบธ ฟรานซิส” ยอมรับว่าเธอใช้เวทมนตร์มาจากย่าของเธอตั้งแต่อายุ 12 ขวบ เธอเล่าว่าแมวช่วยใช้เวทมนตร์ให้เธอได้พบรักจนเธอได้หลับนอนกับทหารม้าและตั้งครรภ์ เธอจึงถูกตัดสินลงโทษจำคุกเพียง 1 ปี

อีกคนชื่อ “แอกเนส วอเตอร์เฮาส์” เธอรับสารภาพว่าใช้เวทมนตร์ทำร้ายผู้อื่นแต่ไม่สำเร็จ เธอได้รับแมวมาจากเอลิซาเบธ ศาลตัดสินแขวนคอเธอ จึงนับว่าเป็นผู้หญิงคนแรกในอังกฤษที่ถูกตัสินประหารชีวิตในข้อหาแม่มด

ในปี 1583 มีคดีเกี่ยวกับแม่มดอีก คดีแรกเริ่มจากการทะเลาะกันระหว่างหญิงชรา “เออซูล่า เคมเป” มีอาชีพเป็นหมอตำแย กับนางเกรซ ธอร์โลวี ผู้ว่าจ้างเลี้ยงลูก เพราะลูกสาวของเธอตกลงมาจากเตียงคอหักตาย เธอเชื่อว่านางเคมเป ใช้เวทมนตร์ทำ ผลก็คือนางเคมเปถูกจับและทรมาน เธอจึงยอมรับสารภาพว่าใช้เวทมนตร์คว่ำเปลให้เด็กตกลงมาตาย และเธอยังอ้างถึงคนอื่นๆ ด้วยซึ่งมีบางคนมีใบหน้าคล้ายแมว คล้ายคางคก ศาลจึงพิจารณาผู้ถูกกล่าวหาถึง 11 คน มี 2 คนถูกแขวนคอ ส่วนนางเคมเปนั้นได้รับการลดหย่อนไม่ถึงกับถูกประหารชีวิต

ในปี 1589 ก็มีอีก 10 คนถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด มี 4 คนถูกประหาร ซึ่งข้อหาก็เหมือนๆ กันคือ เกี่ยวข้องกับคางคก แมว และหญิงคนใช้ผิวดำ

แมทธิว ฮอบกิ้นส์ (Matthew Hopkins)
เขาเป็นลูกชายของนักบวชโปรแตสแตนท์จากหมู่บ้านเล็กๆ เมืองหนึ่ง ในปี 1644 เขาไม่ประสบความสำเร็จในการเป็นนักกฎหมาย เพราะสงครามระหว่างเมือง จนเขาเกิดความคิดที่จะปรักปรำหญิงชราคนหนึ่งว่าเป็นแม่มด เพราะบ้านใหม่ของเขาอยู่ในบริเวณที่มีแม่มดอยู่หลายคน

เหยื่อคนแรกของเขาคือ “อลิซาเบธ คล้าก” เขาปรักปรำเธอจนเธอโดนจับและถูกจับเปลื้องผ้าเพื่อค้นหาเครื่องหมายของมาร ในที่สุดก็พบเนื้อที่เป็นติ่งเหมือนหัวนมอยู่ที่หนึ่ง หญิงชราถูกทรมานด้วยการไม่ยอมให้นอนหลับติดต่อกันหลายวัน จนในที่สุดเธอจึงยอมสารภาพว่าเคยดูดกินเลือดของผู้สนิทสนม เลือดสุนัข กระต่าย และพังพอน

โรคกลัวแม่มดกระจายไปทั่วหมู่บ้าน มีหญิงอีก 5 คนถูกจับ อีก 4 คนสารภาพว่าเคยทำร้ายคนใกล้ชิด ต่อมาผู้หญิงอีก 32 คนก็ถูกจับเข้าห้องขัง ซึ่งตายไป 4 และอีก 28 คนถูกดำเนินคดีที่เมืองเชล์มฟอร์ด

ต่อมาฮอบกิ้นส์มีผู้ช่วยอีก 4 คนและตระเวนออกหาแม่มดเพื่อรับรางวัล แม้จะเป็นการใส่ความสร้างพยานเท็จเขาก็กระทำเพื่อให้มาเพื่อเงินทองและอำนาจ

ผู้หญิง 19 คนถูกตัดสินแขวนคอ 5 คน ได้รับการลดหย่อนโทษ 8 คน ถูกนำกลับเข้าคุกเพื่อสืบสวนต่อ

ฮอบกิ้นส์ทำงานได้ดีมากในช่วงสงครามกลางเมือง ผู้คนไร้ความหวัง เขาจึงได้รับการต้อนรับในทุกแห่ง รอบเมืองเอสเซกซ์ได้แม่มดเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับที่อัลเดเบิร์ก เขาได้ค่าหัวคนละ 6 ปอนด์ ที่สโนว์มาเก็ต เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจ่ายให้เขาวันละ 33 ปอนด์ (ค่าแรงทั่วไปในสมัยนั้นวันละ 6 เพ็นนีเท่านั้น) เพียงปีเดียวเขากลายเป็นนักล่าแม่มดด้วยรายได้ถึง 1,000 ปอนด์

ต่อมาในเดือนเมษายน ปี 1646 มิชชั่นนารีคนหนึ่งนามว่า “โกล” มาจากเมืองฮันทิงดอน ต่อต้านการทำงานของฮอบกิ้นส์ และพิมพ์หนังสือขึ้นมาฉบับหนึ่งบรรยายการทรมานเหยื่อของเขา ซึ่งในขณะนั้นการทรมานแม่มดในอังกฤษเป็นสิ่งต้องห้าม แต่ฮอบกิ้นส์มีวิธีทรมานให้เหยื่อสารภาพโดยการทิ่งแทงด้วยหนามตรงตรามาร ซึ่งโดยมากจะเป็นบริเวณที่ผิวหนังจะไม่เจ็บง่ายๆ หรือให้เหยื่อว่ายน้ำโดยการโยนลงไปในสระ ถ้าลอยตัวได้ถือว่าบริสุทธิ์ หรือบังคับไม่ให้นอนหลายๆ วัน บางครั้งก็ล้างสมองด้วยวิธีอื่นๆ ผู้คนที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้โกรธแค้นฮอบกิ้นส์เป็นอย่างยิ่ง

เขาถูกจับตัวเอาไปพิสูจน์โดยการดำน้ำอย่างทรมาน และทำร้ายอีกหลายอย่าง จนเขาล้มป่วยและเสียชีวิตด้วยวัณโรค

แม่มดในเยอรมัน (Witch Hunts in Germany)
ปี 1572 ในเมืองเทรเวส ผลิตผลทางการเกษตรตกต่ำลงมาหลายปี การหาเหตุของที่มาแห่งหายนะจึงตกที่ผู้หญิง 5 คน ในข้อหาแม่มด

ระหว่างปี 1587 ถึงปี 1594 มีผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดถึง 306 คน ทั้งยังเกี่ยวพันถึงผู้อื่นๆ อีกถึง 6,000 คน ตามบันทึกกล่าวว่า “ใครก็ตามที่ถูกกล่าวหาว่าเป้นแม่มดแล้ว ยากที่จะหนีพ้นไปจากการลงโทษได้” โทริช เฟลด รองข้าหลวงแห่งเมืองเทรเวส และอธิการบดีของมหาวิทยาลัย คัดค้านไม่เห็นด้วยกับคดีหลายคดี ในที่สุดเขาก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นพ่อมดและถูกเผาทั้งเป็น

ในปี 1631 และ 1636 “ฟรานซ์ เบอร์มานน์” มีอาชีพในการล่าแม่มด และยึดทรัพย์ของผู้ถูกกล่าวหามีผลทำให้เขาร่ำรวยขึ้นมา เขาไปที่หมู่บ้านไรน์บาช ที่นั่นเขาตัดสินคดีและเผาทั้งเป็นแม่มดถึง 150 คน แต่ต่อมาเขาก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นพ่อมดบ้าง และถูกเผาทั้งเป็นเช่นกัน

แม่มดในเยอรมันมักจะเกิดขึ้นในเมืองที่เคร่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เช่นเมืองสตาร์สบรูก เบรสโล ฟูลด้า วือสบรูก และแบมบรูก แม่มดเมืองต่างๆ ถูกเผาไปกว่า 900 คน เฉพาะเมืองแบมบรูกเมืองเดียวเผาไป 600 คน

การลงโทษเผาทั้งเป็นเริ่มทำกันตั้งแต่ปี 1609 บิชอปฟอน อาสโชเสน สั่งประหารแม่มดถึง 300 คน ในเวลา 13 ปี

ระหว่างปี 1626 ถึง 1630 มีคนถูกเผากว่า 400 คน

ในเมืองวือสบรูก ปี 1629 อัครเสนาบดีได้บันทึกไว้ในจดหมายเหตุเอาไว้ว่า มีเด็กอายุตั้งแต่ 3 ขวบ ไปจนถึง 15 ต้องถูกลงโทษด้วยการเกี่ยวข้องกับมารซาตานซึ่งมีบริวารถึง 8,000 คน มีคดีเกี่ยวกับแม่มด 29 คดี ถูกลงโทษไปทั้งหมด 159 คน ด้วยการตัดศีรษะซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กๆ
และการลงโทษแม่มดในเยอรมันสิ้นสุดลงในปี 1775 เกือบทุกคดีเป็นการใส่ความกัน

ฌอง ออฟ อาร์ค (Joan of Arc)
ในปี 1429 สาวน้อยจากฝรั่งเศสลูกชาวนาอายุ 12 ขวบ ที่ตัวเธอเองเชื่อว่าได้รับนิมิตจากพระเจ้านำกองทัพฝรั่งเศสต่อสู้กับทัพของอังกฤษเพื่อกอบกู้อิสรภาพ และเธอก็ทำสำเร็จ แต่สุดท้ายตัวเธอกลับถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดโดยการที่เธออ้างว่าได้นิมิตจากพระเจ้า เป็นผลทำให้เธอถูกประหารชีวิตโดยการเผาทั้งเป็นในปี 1431

แต่อีก 500 ปีต่อมาเธอกลับได้ยกย่องว่าเป็นผู้พลีชีพ และได้เป็น “เซนต์” หรือนักบุญ

มาเธอร์ ซิปตัน (Mother Shipton)
แม่มดผู้ทำนายอนาคตแห่งอังกฤษ ปีเกิดของเธอนั้นดูสับสนระหว่างปี 1448 หรือปี 1488 เธอมีอีกชื่อหนึ่งว่า “เออซูล่า ซอนเธียร์ (Ursula Southeil)” เธอมีรูปร่างใหญ่กว่าคนธรรมดา หลังค่อม หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว แต่มีสมองเป็นเลิศ

เธอพยากรณ์เรื่องราวต่างๆ ไว้มากมายเกี่ยวกับ รถยนต์ เครื่องบิน เรือดำน้ำ เรือเหล็ก และทองคำในแคลิฟอร์เนีย และยังทำนายถึงวันสิ้นโลก

เรื่องที่ทำให้เธอมีชื่อเสียงมากที่สุดคือเธอทำนายเกี่ยวกับพระคาร์ดินัลวอลซีย์ว่าท่านไม่มีทางไปถึงเมืองยอร์กอย่างแน่นอน และคำทำนายของเธอก็เป็นจริงแม้จะถูกขู่เอาไว้ว่าถ้าพระคาร์ดินัลมาได้เธอจะถูกตัดสินเผาทั้งเป็นในฐานที่เป็นแม่มด

วิลเลียม ลิลลี่ ตีพิมพ์หนังสือคำทำนายของเธอ ในปี 1645 ว่าเธอทำนายถูกต้องเพียง 16 ข้อ ยกเว้นข้อเดียวที่ว่านายเรือต้องร่ำไห้เพราะบ้านเมืองทรุดโทรมไป ขนาดจะหาซื้อเหล่าดื่มก็ยังไม่ได้ แต่ เอส. เบเกรอร์ (S. Baker) ตีพิมพ์ในหนังสือในปี 1797 (ห่างกันถึง 152 ปี) ว่า เธอพยากรณ์ถูกต้องทั้งหมด เพราะหลังจากหนังสือของลิลลี่ตีพิมพ์ได้ 21 ปี เมืองลอนดอนก็ถูกไฟไหม้ครั้งใหญ่ เพราะชื่อเสียงของเธอจึงได้รับการยกย่องให้เธอเป็น “มาเธอร์” นับตั้งแต่นั้นมา

อิโซเบล เกาดี้ (Isobel Gowdie)

เธอเป็นสาวสวยผมแดง แต่งงานกับหนุ่มชาวนาชื่อ “ลอชลอย” ไม่มีลูกด้วยกัน สามีของเธอเป็นคนประเภทเซ่อๆ ซ่าๆ ในปี 1662 เธอทำให้คนรอบบ้านตะลึงเมื่อเธอประกาศว่าเธอได้เรียนวิชาแม่มดมาถึง 15 ปีแล้ว และยังเคยไปร่วมกิจกรรมกับเหล่าแม่มด และร่วมหลับนอนกับซาตาน เคยฆ่าคนด้วยเวทมนตร์

เธอจึงถูกจับมาสอบสวนที่เมืองออลเดอร์นพร้อมกับคนอื่นๆ ที่เธอซัดทอดถึง ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนที่ถูกจับมากลับสารภาพว่าเป็นความจริงทุกประการ

คำสารภาพของเธอเล่าว่า ระหว่างเดือนเมษายนเธอได้เผชิญกับซาตานซึ่งแต่งตัวในชุดสีเทาในระหว่างที่เธอไปมาระหว่างนาสองแห่ง และได้สัญญากับมันว่าจะไปพบที่โบสถ์ของเมืองออลเดอร์น และเธอก็ทำเช่นนั้นจริงๆ ซาตานคอยเธออยู่ที่มุขระเบียงโบสถ์โดยถือหนังสือปกสีดำเล่มหนึ่ง มันบอกให้เธอประกาศที่จะเลิกเชื่อพระเยซู จากนั้นก็มีหญิงคนหนึ่งชื่อ “มาร์กาเร็ต โบรดี้” เข้ามาจับตัวเธอไว้ ขณะที่ซาตานก้มลงดูดเลือดที่ไหล่ของเธอ และทำพิธีรับเธอเข้าสู้ลัทธิซาตาน เธอบรรยายว่ามันมีร่างกายใหญ่โต มีผิวสีดำ และขนเต็มตัว หลังจากนั้นมันก็มาหาเธออีก และร่วมเพศกับเธอ ซาตานสามารถหลับนอนกับแม่มดทุกคนได้โดยเสรี และทุกคนก็มีความยินดีร่วมกับมัน

แม่มดคนอื่นๆ เช่น “เจเน็ต เบรดเฮด” ก็สารภาพและเล่าว่าบรรดาแม่มดจะนั่งล้อมรอบซาตานในที่ชุมนุม ในขณะที่มันร่วมเพศกับผู้หญิงคนหนึ่ง มันเป็นมนุษย์ประหลาด เต็มไปด้วยพละกำลัง ซาตานจะร่วมเพศกับผู้หญิงทุกคนซึ่งอยู่ในที่นั้น

“มาร์กาเร็ต เมอร์เรย์” เล่าว่าซาตานสวมหนังแพะแทนเสื้อผ้า บางครั้งมันจะเปลี่ยนร่างเป็นสัตว์ เช่น กวาง หรือวัวตัวผู้ ก่อนจะเสพสุขกับเหล่าสาวก

มีผู้หญิงทั้งหมดประมาณ 30 คน แต่ละคนจะรอโดยไม่แย่งกันจนกว่าจะถึงคิวของตน และจะมีการชุมชนุมใหฐ่อย่างนี้ปีละ 4 ครั้ง

คำสารภาพเพิ่มความแปลกประหลาดมากขึ้นเมื่อ อิโซเบลสารภาพว่า เธอบินไปร่วมสนุกกับซาตานโดยใช้ม้าตัวเล็กเป็นพาหนะ พวกแม่มดสามารถแปลงร่างเป็นอะไรก็ได้แล้วแต่จะต้องการ เช่นเป็นแมว หรืออีกา แม่มดสามารถใช้คาถาอาคมทำลายพืชผลของชาวนา และฆ่าพวกเด็กๆ

“เจเน็ต เบรดเฮด” กล่าวว่า พวกแม่มดจะเอาดินเหนียวมาปั้นเป้นเด็กๆ แล้วเอาหุ่นนั้นไปทิ้งให้จมน้ำ หรือนำไปย่างไปจนกว่าเด็กจะตาย เธอบอกว่าพวกเธอเคยฆ่าเด็กสองคนซึ่งเป็นลูกของชาวบ้านที่ขี้โกหกหลอกลวง

ยิ่งไปกว่านั้น อิโซเบล ยังเล่าอีกว่า เธอเคยฆ่าคนโดยใช้ลูกศรของซาตานที่ใช้เป็นอาวุธ เคยไปเที่ยวเมืองแห่งเทพ ราชินีแห่งเทพจะสวมเสื้อสีขาวได้เลี้ยงอาหาร และหลังจากนั้นก็ไปยิงธนูเล่นพร้อมกับซาตาน เธอยิงผู้หญิงคนหนึ่ง และคนอื่นๆ ช่วยกันยิงคนที่กำลังไถนาจนเขาล้มลง

เรื่องราวเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล่าที่กล่าวขานต่อๆ กันมา ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าพวกเธอถูกประหารชีวิตอย่างไร หรือเป็นเพียงจินตนาการของผู้หญิงเกี่ยวกับเรื่องเพศ.. (ขอผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในเรื่องนี้ด้วยว่าน่าเชื่อถือเพียงไร เพราะนี่เป็นข้อมูลที่สะท้อนภาพถึงภายในจิตใจของมนุษย์ แม้จะต่างยุคสมัยกันก็ตาม)

แม่มดแห่งเมืองซาเลม (The Salem Witch Trials)

เรื่องแม่มดที่เมืองนี้ถือว่าเป็นเรื่องแม่มดที่คลาสสิคที่สุด และถือว่าเป็นความเข้าใจผิด ในปี 1692 ที่มลรัฐแมซซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา เรื่องเริ่มต้นจากเด็กๆ ที่หลงไปฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับพิธีกรรมของพวก “วูดู” จากคนรับใช้ผิวดำ ซึ่งต่อมาคนผิวดำกว่า 200 คนถูกจับในข้อหาแม่มด มี 22 คนถูกตัดสินให้ประหารชีวิตและทรมาน

เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและจบลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน หลายคนต้องมาจบชีวิตลงก็เพราะเด็กๆ พากันชักดิ้นชักงอหลังจากฟังเรื่องแม่มดจากหญิงคนใช้ที่ชื่อว่า “ทิทูบา” พวกเด็กๆ ได้รับการรักษาโดยหมอ แต่เมื่อหมดรักษาอาการแล้วกลับลงความเห็นว่าพวกเธอถูกแม่มดเข้าสิง ทิทูบาถูกสอบสวนและสารภาพว่ามารร้ายดลใจให้ทำร้ายเด็กๆ และยังโยนความผิดให้คนอื่นๆ อีก ไม่เพียงแต่ผู้หญิงเท่านั้นที่โดนกล่าวหา ยังมีผู้ชายที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพ่อมดด้วย ซึ่งต่อมาเรื่องนี้ก็จบลงภายในปีเดียว มีหลายคนถูกปล่อยตัว และบาทหลวงปาร์ริสผู้เกี่ยวข้องนั้นถูกประณามและถูกปลดออกเพราะปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างเหลวไหล

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ทำไม? ยูดาสอิสคาริโอท จึงทรยศพระเยซู

ทำไม? ยูดาสอิสคาริโอท  จึงทรยศพระเยซู 

  ยูดาส (Judas) เมื่อคริสเตียนคนใดได้ยินชื่อนี้ก็เป็นที่รู้จักกันว่าคือ “ผู้ทรยศต่อพระเยซูด้วยการจูบ”  ชื่อนี้เคยเป็นชื่อยอดฮิตในสมัยก่อนคือ “ยูดา (Judah)”  เป็นชื่อ 1 ใน 12 บุตรชายของยาโคบ  และอีกผู้หนึ่งคือ "ยูดาส  มัคคาเบียส (Judas Maccabaeus)" ผู้กู้เอกราชในศตวรรษที่ 12  ก่อนคริสตกาล  ยูดาสจึงเป็นชื่อของวีรบุรุษแห่งอิสราเอล  ดังนั้นจึงมีคนนิยมตั้งชื่อนี้มาก  แต่หลังจากที่พระเยซูถูกตรึงที่กางเขนเป็นต้นมา  ชื่อนี้ไม่มีใครนิยมตั้งชื่อลูกหลานของตนอีกต่อไปเลย  นอกจากวงดนตรีร๊อควงหนึ่งในต่างประเทศ  ได้เอาชื่อนี้ไปตั้งชื่อวงดนตรีของตัวเองคือ วง "ยูดาส พรีสท์ (Judas Priest)"  เข้าใจว่าอยากโปรโมทวงเลยใช้ชื่อที่มันตรงข้ามกับความเชื่อของคนส่วนใหญ่จะได้เป็นที่น่าสนใจ  (ผู้เขียนเคยชอบฟังเพลงของวงนี้เหมือนกันในสมัยเป็นวัยรุ่นตอนนั้นยังไม่ได้เชื่อในพระเจ้า)  พอพูดถึงวงนี้ก็ทำให้นึกถึงอีกวงหนึ่งคือ “แบล็ค  ซับบาช (Black Sabbath)”  วงนี้มีชื่อเสียงในเมืองไทยเหมือนกันชื่อนี้แปลว่า “สะบาโตสีดำ”  มีอีกมากในเมืองนอกที่ทำอะไรทำนองนี้  แม้ในบ้านเรายังมีเทปเพลงของพวก “ลัทธิซาตาน” ออกมาขายเลยอันนี้ยังไม่เคยฟังไว้จะไปขอยืมพวกที่ฟังแล้วจะมาเล่าสู่กันฟังในคราวต่อไป

ยูดาสอิสคาริโอท  เขาเป็นใครมาจากไหน
ยูดาส  เป็นชาวเมืองเคอริโอท (Kerioth) ซึ่งอยู่ในทางทิศใต้ของกรุงเยรูซาเล็ม  บางทีพ่อแม่ของเขาอาจจะเป็นคนเคร่งครัดในศาสนา  จึงตั้งชื่อบุตรของตนตามชื่อที่มีความหมาย และประวัติที่ดี  เขาคงได้รับการอบรมจากครอบครัวที่ดี  เมื่อเติบโตขึ้นใคร ๆ จึงเรียกเขาว่า "ยูดาส อิสคาริโอท (Judas Iscariot)" เพื่อเป็นเกียรติแก่เมืองของเขา  เช่นเดียวกับพระเยซูที่ถูกเรียกต่อท้ายว่า “ชาวนาซาเร็ธ” ก่อนที่ยูดาสจะพบกับพระเยซู


เขาไม่เคยมีเบื้องหลังอันด่างพร้อยเหมือนมัทธิว (มธ.9:9-13)  เป็นคนเก็บภาษีมีแต่คนเกลียดชัง
ไม่ใจร้อนขี้โมโหเหมือนยากอบเมื่อเห็นชาวบ้านไม่รับรองพระองค์ “พระองค์เจ้าข้า  พระองค์พอพระทัยจะให้ข้าพระองค์ขอไฟลงมาจากสวรรค์เผาผลาญเขาเสีย....” (ลก.9:53-54)
ไม่ใจแคบขี้อิจฉาเหมือนยอห์นเมื่อเห็นคนอื่นขับผีออกในนามพระเยซูแต่ตัวเองทำไม่ได้ (ลก. 9:49-50)
ไม่พูดพล่อย ๆ และเรียกร้องความสนใจเหมือนเปโตร “..ข้าพระองค์พร้อมแล้วที่จะไปกับพระองค์ ถึงจะติดคุก หรือถึงความตายก็ดี” (ลก.22:33)
ไม่พูดโอ้อวดเหมือนโธมัส  “พวกเราไปกับพระองค์เถิด เพื่อจะได้ตายด้วยกันกับพระองค์” (ยน.11:16)
ไม่ขี้สงสัยเหมือนฟิลิป  “ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพเจ้าทั้งหลายได้เห็น” (ยน.14:8)
ไม่ชอบพูดเยาะเย้ยดูถูกคนอื่นเหมือน นาธานาเอล  “สิ่งดีอันใดจะมาจากนาซาเรธได้หรือ” (ยน. 1:46)
(นี่ถ้าจะว่าไปแล้วทุกคนก็ไม่มีดีเหลืออยู่เลย  แต่โดยพระคุณพระเจ้าการไปสวรรค์นั้นไม่ได้อาศัยความดีของใครคนใดคนหนึ่งแต่อาศัยโดยความเชื่อในพระเยซูเท่านั้น)

ยูดาสเป็นบุคคลที่มีนิสัยดีมาแต่เดิม  เป็นผู้นิยมชมชอบพระเยซูมาตั้งแต่เริ่มแรก  มีบุคลิกลักษณะว่าจะเป็นคนสำคัญต่อไปข้างหน้า  และถูกเลือกเป็น 1 ใน 12 สาวกที่พระเยซูทรงเลือก  เขาได้ชื่อว่าเป็นผู้นำ เขาได้รับหน้าที่เป็นเหรัญญิกดูแลการเงินของกลุ่ม  การที่หมู่คณะไว้ใจในเรื่องนี้ แสดงว่าเขาต้องเป็นคนสัตย์ซื่อไว้ใจได้  รอบคอบ  มีความสามารถ และสติปัญญา  (ถ้าจะพูดคุยถึงเรื่อเงิน ๆ ทอง ๆ มัทธิวน่าจะได้รับตำแหน่งนี้เพราะเขาถนัดด้านนี้ แต่ท่านมีชื่อเสียงไม่ดีมาก่อน)
นี่ถ้ายูดาสไม่ฆ่าตัวตาย และกลับใจใหม่  เราคงจะเรียกยูดาสว่าอาจารย์เป็นแน่แท้  เพราะว่าเขาจัดได้ว่าเป็นบุคคลตัวอย่างได้ดีทีเดียว

แล้วทำไมยูดาสถึงอายัดพระเยซู
มีสาเหตุอันใดที่ทำให้ยูดาอายัดพระเยซู  มัทธิวและมาระโกกล่าวว่า เพราะความโลภเป็นเหตุ “ท่านทั้งหลายจะให้ข้าพเจ้าเท่าไหร่...” (มธ.26:15)  “เขา...สัญญาว่าจะให้เงินแก่ยูดาส”    (มก.14:11)  ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้เลย  ถ้ายูดาสเป็นคนโลภจริง เหตุใดจึงเอาเงินแค่สามสิบเหรียญซึ่งเป็นเงินไม่มาก  แถมภายหลังยังเอาเงินไปคืนอีก  น่าจะมีอะไรมากกว่านั้น  ส่วนลูกาบอกว่า “ซาตานเข้าดลใจยูดาส” (ลก.21:3)  ยอห์นก้กล่าวเช่นเดียวกัน “..ซาตานก็เข้าสิงในใจเขา” (ยน.13:27) ในสมัยก่อนเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เข้าใจยากก็โทษมารไว้ก่อน  คนที่มีความประพฤติผิดปกติก็ว่ามีผีสิง (แม้แต่ในปัจจุบันในประเทศไทยแถวภาคอีสานก็มักจะมีเรื่องเช่นนี้อยู่บ่อย ๆ เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์คือว่ามีผีปอบเข้าสิงบ้างเป็นต้น) ในข้อนี้เราต้องยอมรับว่าเรายังไม่รู้แน่ที่ผู้เขียนพระกิตติคุณเขียนไว้ว่า  “ซาตานดลใจ” มีความหมายว่าอย่างไร  เราทราบกันดีว่าพระเยซูรักษาคนที่ป่วยประเภทนี้มาอย่างมากมาย  เหตุใดพระเยซูไม่ทรงขับผีออกจากยูดาส  พระองค์ไม่ทรงสงสารสาวกคนนี้หรือ

มีนักวิชาการพระคัมภีร์ได้ตั้งข้อสังเกตไว้อีกหลายประการด้วยกันคือ

ขวดหินอ่อนที่ใช้ใส่น้ำหอมนารดา
1. ยูดาสอาจไม่พอใจพระเยซูที่มาต่อว่าในเรื่องที่มีหญิงคนหนึ่ง  ซึ่งนำเอาน้ำมันหอมมาชโลมศรีษะแด่พระเยซู  ยูดาสกล่าวว่า “เหตุใด  จึงทำให้ของนี้เสียเปล่า  น้ำมันนั้นถ้าขายก็ได้เงินมาก  แล้วจะแจกให้คนจนก็ได้”  พระเยซูทรงทราบจึงตรัสแก่เขาว่า  “กวนใจหญิงนี้ทำไม  เขาได้กระทำดีแก่เรา...” (มธ.26:8-10) ยูดาสอาจรู้สึกหน้าแตก  พระเยซูที่เขารัก และนับถือไม่น่าจะมาว่าเขาอย่างนี้ต่อหน้าคนอื่นเลย  ทั้ง ๆ ที่เขาหวังดีแท้ ๆ กลับโดนต่อว่า  เขาอาจน้อยใจเลยอยากประชด  เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมายูดาสไม่เคยถูกต่อว่าเลย

2. อาจเป็นเพราะยูดาสอยากให้พระเยซูพิสูจน์พระองค์เองต่อหน้าคนทั้งปวงให้รู้กันไปเลยว่าพระองค์เป็นใคร  ซึ่งยูดาสเห็นการอัศจรรย์มามากมายหลายครั้ง  แต่เมื่อพระองค์ถูกจับกลับไม่โต้ตอบอะไร  ซ้ำยังถูกพิพากษาปรับโทษถึงตาย  ยูดาสคงรู้สำนึกผิดที่มีส่วนทำให้คนบริสุทธิ์อย่างพระเยซูถูกปรับโทษถึงชีวิตก็เลยนำเงินมาคืน (มธ.27:3-10)  แต่พวกมหาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ไม่รับรู้ใด ๆ ทั้งสิ้น  ยูดาสจึงทิ้งเงินไว้ในพระวิหาร  แล้วไปผูกคอตาย เพื่อแสดงความรับผิดชอบ  ชีวิตแทนชีวิต เพราะรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง

3. ยูดาสอาจต้องการผลักดันก่อให้เกิดการปฏิวัติ (เช่นเดียวกับในอดีตที่ยูดาส มัคคาเบียสได้กระทำไว้เป็นผลสำเร็จ) เพราะช่วงเวลานั้นอิสราเอลตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรโรมัน  ถ้ามีการจับพระเยซูซึ่งดุจดังเป็นผู้นำ  ต้องมีการลุกหือขึ้นต่อสู้เป็นแน่ ยูดาส  คงจะสังเกตเห็นว่าคราวที่พระเยซูเสด็จเข้าเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิตทรงลูกลาเข้ามา  และประชาชนก็ได้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดีดุจดังต้อนรับกษัตริย์ของพวกเขาเหมือนคราวในอดีตที่ซาโลมอนทรงล่อพระที่นั่งรับการแต่งตั้งเป็นกษัตริย์ (1 พกษ.1:38-40) ซึ่งในจำนนสาวกของพระเยซูนั้นก็มีพวกที่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองรวมอยู่ด้วยเหมือนกัน  เช่น ซีโมน พรรคชาตินิยม  ในเรื่องนี้สร้างความหวาดวิตกให้แก่พวกมหาปุโรหิต และพวกผู้ใหญ่เช่นกัน “ถ้าเราปล่อยเขาไว้อย่างนี้  คนทั้งปวงจะเชื่อเขา  แล้วพวกโรมก็จะมาทำลายพระวิหาร และชาติของเรา” (ยน.11:45) แต่คายาฟาส กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายไม่รู้อะไรเสียเลย  และไม่รู้ว่ามันจะเป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย  ถ้าจะให้คนตายเสียคนหนึ่งแทนที่จะให้คนทั้งชาติต้องพินาศ” (ยน.11:50)

4. พระเยซูรู้ตัวก่อนอยู่แล้วว่าจะมีคนทรยศ  โดยคำพยากรณ์จากพระคัมภีร์เดิม ซึ่งอาจจะเป็นใครก็ได้ที่เป็น 1 ใน 12 สาวกซึ่งไม่ได้เจาะจงว่า คือ “ยูดาส”  “แม้ว่าเพื่อนในอกของข้าพระองค์ ผู้ซึ่งข้าพระองค์ไว้วางใจ  ผู้รับประทานอาหารของข้าพระองค์  ก็ยกซ่นเท้าใส่ข้าพระองค์”  (สดุดี 41:9)  และสังเกตได้จากคำอธิษฐานของพระองค์ “เมื่อข้าพระองค์ยังอยู่กับคนเหล่านั้น  ข้าพระองค์ก็ได้พิทักษ์รักษาพวกเขา  ผู้ซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ และข้าพระองค์ได้ปกป้องเขาไว้ และไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเสียไป  นอกจากลูกของความพินาศ  เพื่อให้เป็นจริงตามข้อพระธรรม” (ยน.17:12)

บุคลิกลักษณะของมนุษย์สลับซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายได้  เราจึงไม่อาจอธิบายเหตุผลที่ชัดเจนได้ว่า เหตุใดยูดาสจึงทรยศต่อพระเยซู แต่ก็พอจะสรุปได้ว่ายูดาสปล่อยให้อำนาจฝ่ายต่ำเข้าครอบงำมากเกินไป  ยูดาสได้มาพบบุคคลผู้สูงสุดแล้วเช่นนี้แต่ท่านยังไม่ยอมให้บุคคลสูงสุดนั้นครอบครองจิตใจท่าน  บางครั้งก็คิดเองเออเองไปก่อนพระเจ้าอีก นี่ถ้ายูดาสกลับใจดังเช่นเปโตรก็คงได้รับการอภัยโทษเช่นกัน (แม้แต่เปาโลที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ข่มเหงคริสเตียนก็ยังกลับใจได้)

เรายังคงมองเห็นความผิดพลาดของยูดาสไม่ถนัดนัก  แต่ที่ชัด ๆ ก็คือ เขาไม่กลับใจนั้นเอง  พระเยซูทรงยกโทษให้โอกาสแก่ยูดาสทุกขณะที่สามารถทำได้  พระองค์ทักยูดาสในคืนวันที่เขามาอายัดพระองค์ว่า “สหายเอ๋ย..” (มธ.26:50) พระองค์ทรงยกโทษให้ท่านทั้งหลายได้เช่นเดียวกัน  มนุษย์เรายังต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกเล่า...

บทความจากหนังสือ "เรียนรู้อดีต ลิขิตอนาคต" เขียนไว้ตั้งแต่ปี 1995