ในบันทึกจากพระคัมภีร์เดิมมักเปรียบเปรยถึง การเล่นชู้ = การไปนมัสการพระอื่น ที่ไม่ใช่พระเจ้าของชาวอิสราเอล
ในปัจจุบัน..บ่อน้ำที่ว่า..ก็ยังมีอยู่ในอิสราเอล
พระเยซูมาขอน้ำหญิงคนนั้นดื่ม และบทสนทนาที่ตรงๆ และซับซ้อนซ่อนรหัสก็เริ่มขึ้น เหมือนคุยกันคนละเรื่อง...
7...พระเยซูตรัสกับนางว่า “ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง”
8 ขณะนั้นสาวกของพระองค์เข้าไปซื้ออาหารในเมือง
9 หญิงชาวสะมาเรียทูลพระองค์ว่า “ทำไมท่านซึ่งเป็นคนยิวจึงมาขอน้ำดื่มจากดิฉันซึ่งเป็นหญิงชาวสะมาเรีย?” (เพราะพวกยิวไม่คบหาพวกสะมาเรียเลย)
10 พระเยซูตรัสตอบนางว่า “ถ้าเธอรู้จักของที่พระเจ้าประทาน และรู้จักผู้ที่พูดกับเธอว่า ‘ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง’ ก็คงจะขอจากท่านผู้นั้น และผู้นั้นก็คงจะให้น้ำดำรงชีวิตแก่เธอ”
11 นางทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ท่านไม่มีถังตัก และบ่อนี้ก็ลึก ท่านจะเอาน้ำดำรงชีวิตนั้นมาจากไหน? 12 ท่านใหญ่กว่ายาโคบบรรพบุรุษของเราผู้ให้บ่อน้ำนี้แก่เราหรือ? ยาโคบเองก็ดื่มจากบ่อนี้รวมทั้งบุตรทั้งหลายและสัตว์เลี้ยงของท่านด้วย”
13 พระเยซูตรัสตอบว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก 14 แต่คนที่ดื่มน้ำที่เราจะให้กับเขานั้น จะไม่มีวันกระหายอีกเลย น้ำที่เราจะให้เขานั้นจะกลายเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์”
15 นางทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ขอน้ำนั้นให้ดิฉันเถิด เพื่อดิฉันจะได้ไม่กระหายอีก และจะได้ไม่ต้องมาตักที่นี่”
ความลึกซึ้งซ่อนอยู่ในบทสนทนาที่ทั้งพระเยซูและหญิงคนนั้นรู้อยู่แก่ใจว่า เหตุที่อาณาจักรอิสราเอลล่มสลาย เพราะการหันไปกราบไหว้รูปเคารพหรือพระต่างด้าวของกษัตริย์อิสราเอล (สะมาเรียคือเมืองหลวงของอิสราเอล อาณาจักรเหนือ)
ในบทสนทนา (ยอห์น บทที่ 4) ของพระเยซูกับหญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำ ก็สะท้อนเรื่องราวเหล่านั้นเช่นกัน
ในปัจจุบัน..บ่อน้ำที่ว่า..ก็ยังมีอยู่ในอิสราเอล
พระเยซูมาขอน้ำหญิงคนนั้นดื่ม และบทสนทนาที่ตรงๆ และซับซ้อนซ่อนรหัสก็เริ่มขึ้น เหมือนคุยกันคนละเรื่อง...
7...พระเยซูตรัสกับนางว่า “ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง”
8 ขณะนั้นสาวกของพระองค์เข้าไปซื้ออาหารในเมือง
9 หญิงชาวสะมาเรียทูลพระองค์ว่า “ทำไมท่านซึ่งเป็นคนยิวจึงมาขอน้ำดื่มจากดิฉันซึ่งเป็นหญิงชาวสะมาเรีย?” (เพราะพวกยิวไม่คบหาพวกสะมาเรียเลย)
10 พระเยซูตรัสตอบนางว่า “ถ้าเธอรู้จักของที่พระเจ้าประทาน และรู้จักผู้ที่พูดกับเธอว่า ‘ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง’ ก็คงจะขอจากท่านผู้นั้น และผู้นั้นก็คงจะให้น้ำดำรงชีวิตแก่เธอ”
11 นางทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ท่านไม่มีถังตัก และบ่อนี้ก็ลึก ท่านจะเอาน้ำดำรงชีวิตนั้นมาจากไหน? 12 ท่านใหญ่กว่ายาโคบบรรพบุรุษของเราผู้ให้บ่อน้ำนี้แก่เราหรือ? ยาโคบเองก็ดื่มจากบ่อนี้รวมทั้งบุตรทั้งหลายและสัตว์เลี้ยงของท่านด้วย”
13 พระเยซูตรัสตอบว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก 14 แต่คนที่ดื่มน้ำที่เราจะให้กับเขานั้น จะไม่มีวันกระหายอีกเลย น้ำที่เราจะให้เขานั้นจะกลายเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์”
15 นางทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ขอน้ำนั้นให้ดิฉันเถิด เพื่อดิฉันจะได้ไม่กระหายอีก และจะได้ไม่ต้องมาตักที่นี่”
ความลึกซึ้งซ่อนอยู่ในบทสนทนาที่ทั้งพระเยซูและหญิงคนนั้นรู้อยู่แก่ใจว่า เหตุที่อาณาจักรอิสราเอลล่มสลาย เพราะการหันไปกราบไหว้รูปเคารพหรือพระต่างด้าวของกษัตริย์อิสราเอล (สะมาเรียคือเมืองหลวงของอิสราเอล อาณาจักรเหนือ)
ตั้งแต่ออกมาจากอียิปต์ ชาวฮีบรูก็ไร้เดียงสาในเรื่องพระเจ้าเดียว หลงเข้าใจว่าคือวัวแบบเดียวกับอียิปต์ |
ซาโลมอนหลงเจิ่นไป เพราะมีเมียมากเกิน จนยอมให้เธอนมัสการพระของตนเอง |
กษัตริย์ซาโลมอนผู้มีสติปัญญา กลับกลายเป็นผู้สร้างรูปเคารพซะเอง |
ข้อความจากสุภาษิต บทที่ 7 สะท้อนพฤติกรรมของบรรดาหญิงต่างด้าว เมียของซาโลมอน กับพิธีกรรมแก้บนต่อเทพเจ้าของเธอ |
แม้อาณาจักรจะถูกแบ่งเป็นเหนือกับใต้ แต่ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าก็ทำงานในทุกที่ และกล่าวเตือนกษัตริย์ |
กษัตริย์ที่ไม่ดี ยังคงดำเนินการกราบไหว้รูปเคารพ ปรากฎในหนังสือพงศ์กษัตริย์ทั้ง 2 เล่ม |
เป็นพระต่างด้าวในดินแดนใกล้เคียง และมาจากมเหสีของอาหับ คือพระเยเซเบลชาวไซดอน |
พระบาอัล และพระอาเช-ราห์ ถือเป็นเทพเจ้าประจำในดินแดนคานาอันเลย |
สรุปว่า อาณาจักรอิสราเอล นับถือพระต่างด้าวถึง 5 แห่ง = สามี 5 คนของหญิงชาวสะมาเรีย |
บทสนทนาธรรมดาๆ ถ้าอ่านเองผ่านๆ รับรองว่างงแน่นอน แต่ถ้าเรารู้ประวัติศาสตร์เบื้องหลังบทสนทนา ก็จะเข้าใจความหมายได้ลึกซึ้ง เฉกเช่นเดียวกับหญิงชาวสะมาเรีย ที่สุดท้ายก็ยอมรับว่า..
พระเยซูคือพระเมสสิยาห์ นั่นเอง
อ่านประวัติศาสตร์บ้างก็ดีนะครับ!
อ่านประวัติศาสตร์บ้างก็ดีนะครับ!