ค้นหาข้อมูลจากบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2558

การล่าแม่มด (Witch Hunts)

คัดลอกมาจากหนังสือ "ไขปริศนามายาเวท"

ในบทความนี้ต้องการจะสื่อให้เห็นถึงความดิบเถื่อนของมนุษย์ด้วยกันที่อ้างตนว่าศิวิไลซ์ ได้ใช้เล่ห์เพทุบายยัดข้อหาอันร้ายแรงแก่ผู้คนที่ไม่ยอมก้มหัวให้ตน ด้วยอุปกรณ์อันสุดแสนพิสดาร เพื่อบังคับขู่เข็ญให้ผู้บริสุทธิ์ฝ่ายตรงข้ามกับตนต้องรับโทษทัณฑ์ในข้อหาที่สุดแสนจะคลาสสิคนั่นคือ การเป็นแม่มด

คำว่า “Witch Hunts” มีความหมายตามพจนานุกรมภาษาไทยว่า “การประหัตประหารศัตรูการเมือง อย่างการปราบปรามแม่มดในสมัยก่อน” เรื่องการล่าแม่มดนั้นมีเหตุผลทางการเมืองมาเกี่ยวข้อง เพราะความเชื่อของคนยุโรปในสมัยนั้นยังดิบเถื่อนเหมือนกัน การดำเนินชีวิตแบบแปลกแยกจากสังคมหรือทำตัวลึกลับอาจจะส่งผลให้ผู้คนตั้งข้อสงสัยว่าคนๆ นั้นอาจจะเป็นแม่มดก็ได้ เมื่อนั้นจะมีคนจากทางการมาจับและทำการสอบสวน ซึ่งส่วนใหญ่จะจบลงด้วยการเผาทั้งเป็น
แต่ก่อนที่จะยอมรับสารภาพ เขาหรือเธอจะถูกทรมานจนทนไม่ได้ ความตายดูเป็นทางออกที่ดีกว่า เรามาดูซิว่ามีใครบ้างในอดีตที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดบ้าง

เดม อลิซ คีทเลอร์ (Dame Alice Kyteler)
เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ไอร์แลนด์ ในช่วงศตวรรษที่ 14 “เดม อลิช คีทเลอร์” ถือเป็นคนแรกที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด
ภาพแกะสลักไม้ แสดงให้เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง
กำลังกลายร่างด้วยขี้ผึ้ง
เธอแต่งงาน 4 ครั้ง และทั้ง 3 ครั้งสามีของเธอได้เสียชีวิต ทุกคนเป็นคนที่มั่งคั่ง และคนสุดท้ายคือ “เซอร์จอห์น เลอ โปเออร์ (Sir John le Poer)” ซึ่งเธอถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดเมื่อเซอร์จอห์นสังเกตว่าตัวเขามีร่างกายซูบผอมลงไปทุกที ที่ฝ่ามือมีขนขึ้นเต็มไปหมด และสงสัยว่าเขากำลังจะถูกแม่มดฆ่าทีละน้อย

เขาจึงเรียกเอาลูกกุญแจห้องของภรรยาเดม อลิซ มาและเข้าไปในห้องของเธอ เขาพบหีบล็อคกุญแจและกำปั่นใส่เงินหลายชิ้น เมื่อเปิดออกก็พบผงและน้ำมันเหมือนขี้ผึ้งบรรจุอยู่ เขาจึงลงความเห็นว่าเธอเป็นแม่มด

เขาจึงส่งกำปั่นทั้งหมดให้แก่บิชอปนามว่า “ริชาร์ด เดอ เลด์เรด (Richard de Ledrede)” แห่งวิหารออสซอรี่ (Ossory) ท่านเคยไปอยู่ที่ฝรั่งเศสเรียนรู้เรื่องแม่มดและเวทมนตร์คาถาต่างๆ ท่านจึงสั่งให้มีการสอบสวน และผลออกมาว่าต้องควบคุมตัว เดม อลิซ กับผู้ร่วมสมคบอีก 7 คน ในฐานะผู้ทำตัวนอกรีตและหันไปนับถือปิศาจ คนที่ถูกกล่าวหานั้นมีลูกชายและคนใช้ของเธอรวมอยู่ด้วย

แต่ในประเทศไอร์แลนด์ ผู้ดีมีสกุลได้รับการยอมรับนับถือและมีอิทธิพลอย่างมาก การที่จะจับเธอมาลงโทษจึงเป็นเรื่องยาก ท่านบิชอปจึงทำได้เพียงไล่เธอออกจากศาสนา แต่เธอก็แก้เผ็ดท่านโดยเอาตัวท่านไปขังคุกไว้ถึง 15 วัน แล้วปล่อยตัวออกมา

ท่านบิชอปพยายามร้องต่อศาล แต่ศาลไม่รับคำร้อง เพราะยังไม่เคยมีการจับกุมคนที่ไม่มีความผิดมาคุมขัง แถมยังถูกโยนออกมานอกศาล แต่ในที่สุดศาลก็ยอมจับกุมคนทั้งหมด

เดม อลิซจึงตัดสินใจหนีไปอังกฤษ และอยู่อย่างปลอดภัย แต่ลูกชายที่ชื่อ วิลเลียม และคนอื่นๆ ถูกจับได้ เขาถูกขังอยู่ 9 สัปดาห์ จนต้องยอมรับสารภาพ และถูกทำโทษเพียงซ่อมหลังคาโบสถ์โดยเขาออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด แล้วออกจากเมืองนั้นมา

มีแต่ “เปโทรนิลล่า (Petronilla)” สาวใช้ของเธอ ที่ถูกประหารชีวิตด้วยการเผาทั้งเป็น ส่วนคนอื่นๆ ถูกเฆี่ยนประจานในตลาดและตามถนน

แม่มดที่เมืองเชล์มฟอร์ด (The Chelmsford Witches)
ในปี 1566 ที่เมืองเชล์มฟอร์ด ประเทศอังกฤษ มีผู้หญิง 3 คนถูกจับกุมด้วยข้อหาเป็นผู้ใช้เวทมนตร์คาถาในรูปแบบที่แตกต่างกัน ทั้งหมดมาจากเมืองเดียวกัน มีคนหนึ่งชื่อว่า “เอลิซาเบธ ฟรานซิส” ยอมรับว่าเธอใช้เวทมนตร์มาจากย่าของเธอตั้งแต่อายุ 12 ขวบ เธอเล่าว่าแมวช่วยใช้เวทมนตร์ให้เธอได้พบรักจนเธอได้หลับนอนกับทหารม้าและตั้งครรภ์ เธอจึงถูกตัดสินลงโทษจำคุกเพียง 1 ปี

อีกคนชื่อ “แอกเนส วอเตอร์เฮาส์” เธอรับสารภาพว่าใช้เวทมนตร์ทำร้ายผู้อื่นแต่ไม่สำเร็จ เธอได้รับแมวมาจากเอลิซาเบธ ศาลตัดสินแขวนคอเธอ จึงนับว่าเป็นผู้หญิงคนแรกในอังกฤษที่ถูกตัสินประหารชีวิตในข้อหาแม่มด

ในปี 1583 มีคดีเกี่ยวกับแม่มดอีก คดีแรกเริ่มจากการทะเลาะกันระหว่างหญิงชรา “เออซูล่า เคมเป” มีอาชีพเป็นหมอตำแย กับนางเกรซ ธอร์โลวี ผู้ว่าจ้างเลี้ยงลูก เพราะลูกสาวของเธอตกลงมาจากเตียงคอหักตาย เธอเชื่อว่านางเคมเป ใช้เวทมนตร์ทำ ผลก็คือนางเคมเปถูกจับและทรมาน เธอจึงยอมรับสารภาพว่าใช้เวทมนตร์คว่ำเปลให้เด็กตกลงมาตาย และเธอยังอ้างถึงคนอื่นๆ ด้วยซึ่งมีบางคนมีใบหน้าคล้ายแมว คล้ายคางคก ศาลจึงพิจารณาผู้ถูกกล่าวหาถึง 11 คน มี 2 คนถูกแขวนคอ ส่วนนางเคมเปนั้นได้รับการลดหย่อนไม่ถึงกับถูกประหารชีวิต

ในปี 1589 ก็มีอีก 10 คนถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด มี 4 คนถูกประหาร ซึ่งข้อหาก็เหมือนๆ กันคือ เกี่ยวข้องกับคางคก แมว และหญิงคนใช้ผิวดำ

แมทธิว ฮอบกิ้นส์ (Matthew Hopkins)
เขาเป็นลูกชายของนักบวชโปรแตสแตนท์จากหมู่บ้านเล็กๆ เมืองหนึ่ง ในปี 1644 เขาไม่ประสบความสำเร็จในการเป็นนักกฎหมาย เพราะสงครามระหว่างเมือง จนเขาเกิดความคิดที่จะปรักปรำหญิงชราคนหนึ่งว่าเป็นแม่มด เพราะบ้านใหม่ของเขาอยู่ในบริเวณที่มีแม่มดอยู่หลายคน

เหยื่อคนแรกของเขาคือ “อลิซาเบธ คล้าก” เขาปรักปรำเธอจนเธอโดนจับและถูกจับเปลื้องผ้าเพื่อค้นหาเครื่องหมายของมาร ในที่สุดก็พบเนื้อที่เป็นติ่งเหมือนหัวนมอยู่ที่หนึ่ง หญิงชราถูกทรมานด้วยการไม่ยอมให้นอนหลับติดต่อกันหลายวัน จนในที่สุดเธอจึงยอมสารภาพว่าเคยดูดกินเลือดของผู้สนิทสนม เลือดสุนัข กระต่าย และพังพอน

โรคกลัวแม่มดกระจายไปทั่วหมู่บ้าน มีหญิงอีก 5 คนถูกจับ อีก 4 คนสารภาพว่าเคยทำร้ายคนใกล้ชิด ต่อมาผู้หญิงอีก 32 คนก็ถูกจับเข้าห้องขัง ซึ่งตายไป 4 และอีก 28 คนถูกดำเนินคดีที่เมืองเชล์มฟอร์ด

ต่อมาฮอบกิ้นส์มีผู้ช่วยอีก 4 คนและตระเวนออกหาแม่มดเพื่อรับรางวัล แม้จะเป็นการใส่ความสร้างพยานเท็จเขาก็กระทำเพื่อให้มาเพื่อเงินทองและอำนาจ

ผู้หญิง 19 คนถูกตัดสินแขวนคอ 5 คน ได้รับการลดหย่อนโทษ 8 คน ถูกนำกลับเข้าคุกเพื่อสืบสวนต่อ

ฮอบกิ้นส์ทำงานได้ดีมากในช่วงสงครามกลางเมือง ผู้คนไร้ความหวัง เขาจึงได้รับการต้อนรับในทุกแห่ง รอบเมืองเอสเซกซ์ได้แม่มดเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับที่อัลเดเบิร์ก เขาได้ค่าหัวคนละ 6 ปอนด์ ที่สโนว์มาเก็ต เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจ่ายให้เขาวันละ 33 ปอนด์ (ค่าแรงทั่วไปในสมัยนั้นวันละ 6 เพ็นนีเท่านั้น) เพียงปีเดียวเขากลายเป็นนักล่าแม่มดด้วยรายได้ถึง 1,000 ปอนด์

ต่อมาในเดือนเมษายน ปี 1646 มิชชั่นนารีคนหนึ่งนามว่า “โกล” มาจากเมืองฮันทิงดอน ต่อต้านการทำงานของฮอบกิ้นส์ และพิมพ์หนังสือขึ้นมาฉบับหนึ่งบรรยายการทรมานเหยื่อของเขา ซึ่งในขณะนั้นการทรมานแม่มดในอังกฤษเป็นสิ่งต้องห้าม แต่ฮอบกิ้นส์มีวิธีทรมานให้เหยื่อสารภาพโดยการทิ่งแทงด้วยหนามตรงตรามาร ซึ่งโดยมากจะเป็นบริเวณที่ผิวหนังจะไม่เจ็บง่ายๆ หรือให้เหยื่อว่ายน้ำโดยการโยนลงไปในสระ ถ้าลอยตัวได้ถือว่าบริสุทธิ์ หรือบังคับไม่ให้นอนหลายๆ วัน บางครั้งก็ล้างสมองด้วยวิธีอื่นๆ ผู้คนที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้โกรธแค้นฮอบกิ้นส์เป็นอย่างยิ่ง

เขาถูกจับตัวเอาไปพิสูจน์โดยการดำน้ำอย่างทรมาน และทำร้ายอีกหลายอย่าง จนเขาล้มป่วยและเสียชีวิตด้วยวัณโรค

แม่มดในเยอรมัน (Witch Hunts in Germany)
ปี 1572 ในเมืองเทรเวส ผลิตผลทางการเกษตรตกต่ำลงมาหลายปี การหาเหตุของที่มาแห่งหายนะจึงตกที่ผู้หญิง 5 คน ในข้อหาแม่มด

ระหว่างปี 1587 ถึงปี 1594 มีผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดถึง 306 คน ทั้งยังเกี่ยวพันถึงผู้อื่นๆ อีกถึง 6,000 คน ตามบันทึกกล่าวว่า “ใครก็ตามที่ถูกกล่าวหาว่าเป้นแม่มดแล้ว ยากที่จะหนีพ้นไปจากการลงโทษได้” โทริช เฟลด รองข้าหลวงแห่งเมืองเทรเวส และอธิการบดีของมหาวิทยาลัย คัดค้านไม่เห็นด้วยกับคดีหลายคดี ในที่สุดเขาก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นพ่อมดและถูกเผาทั้งเป็น

ในปี 1631 และ 1636 “ฟรานซ์ เบอร์มานน์” มีอาชีพในการล่าแม่มด และยึดทรัพย์ของผู้ถูกกล่าวหามีผลทำให้เขาร่ำรวยขึ้นมา เขาไปที่หมู่บ้านไรน์บาช ที่นั่นเขาตัดสินคดีและเผาทั้งเป็นแม่มดถึง 150 คน แต่ต่อมาเขาก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นพ่อมดบ้าง และถูกเผาทั้งเป็นเช่นกัน

แม่มดในเยอรมันมักจะเกิดขึ้นในเมืองที่เคร่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เช่นเมืองสตาร์สบรูก เบรสโล ฟูลด้า วือสบรูก และแบมบรูก แม่มดเมืองต่างๆ ถูกเผาไปกว่า 900 คน เฉพาะเมืองแบมบรูกเมืองเดียวเผาไป 600 คน

การลงโทษเผาทั้งเป็นเริ่มทำกันตั้งแต่ปี 1609 บิชอปฟอน อาสโชเสน สั่งประหารแม่มดถึง 300 คน ในเวลา 13 ปี

ระหว่างปี 1626 ถึง 1630 มีคนถูกเผากว่า 400 คน

ในเมืองวือสบรูก ปี 1629 อัครเสนาบดีได้บันทึกไว้ในจดหมายเหตุเอาไว้ว่า มีเด็กอายุตั้งแต่ 3 ขวบ ไปจนถึง 15 ต้องถูกลงโทษด้วยการเกี่ยวข้องกับมารซาตานซึ่งมีบริวารถึง 8,000 คน มีคดีเกี่ยวกับแม่มด 29 คดี ถูกลงโทษไปทั้งหมด 159 คน ด้วยการตัดศีรษะซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กๆ
และการลงโทษแม่มดในเยอรมันสิ้นสุดลงในปี 1775 เกือบทุกคดีเป็นการใส่ความกัน

ฌอง ออฟ อาร์ค (Joan of Arc)
ในปี 1429 สาวน้อยจากฝรั่งเศสลูกชาวนาอายุ 12 ขวบ ที่ตัวเธอเองเชื่อว่าได้รับนิมิตจากพระเจ้านำกองทัพฝรั่งเศสต่อสู้กับทัพของอังกฤษเพื่อกอบกู้อิสรภาพ และเธอก็ทำสำเร็จ แต่สุดท้ายตัวเธอกลับถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดโดยการที่เธออ้างว่าได้นิมิตจากพระเจ้า เป็นผลทำให้เธอถูกประหารชีวิตโดยการเผาทั้งเป็นในปี 1431

แต่อีก 500 ปีต่อมาเธอกลับได้ยกย่องว่าเป็นผู้พลีชีพ และได้เป็น “เซนต์” หรือนักบุญ

มาเธอร์ ซิปตัน (Mother Shipton)
แม่มดผู้ทำนายอนาคตแห่งอังกฤษ ปีเกิดของเธอนั้นดูสับสนระหว่างปี 1448 หรือปี 1488 เธอมีอีกชื่อหนึ่งว่า “เออซูล่า ซอนเธียร์ (Ursula Southeil)” เธอมีรูปร่างใหญ่กว่าคนธรรมดา หลังค่อม หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว แต่มีสมองเป็นเลิศ

เธอพยากรณ์เรื่องราวต่างๆ ไว้มากมายเกี่ยวกับ รถยนต์ เครื่องบิน เรือดำน้ำ เรือเหล็ก และทองคำในแคลิฟอร์เนีย และยังทำนายถึงวันสิ้นโลก

เรื่องที่ทำให้เธอมีชื่อเสียงมากที่สุดคือเธอทำนายเกี่ยวกับพระคาร์ดินัลวอลซีย์ว่าท่านไม่มีทางไปถึงเมืองยอร์กอย่างแน่นอน และคำทำนายของเธอก็เป็นจริงแม้จะถูกขู่เอาไว้ว่าถ้าพระคาร์ดินัลมาได้เธอจะถูกตัดสินเผาทั้งเป็นในฐานที่เป็นแม่มด

วิลเลียม ลิลลี่ ตีพิมพ์หนังสือคำทำนายของเธอ ในปี 1645 ว่าเธอทำนายถูกต้องเพียง 16 ข้อ ยกเว้นข้อเดียวที่ว่านายเรือต้องร่ำไห้เพราะบ้านเมืองทรุดโทรมไป ขนาดจะหาซื้อเหล่าดื่มก็ยังไม่ได้ แต่ เอส. เบเกรอร์ (S. Baker) ตีพิมพ์ในหนังสือในปี 1797 (ห่างกันถึง 152 ปี) ว่า เธอพยากรณ์ถูกต้องทั้งหมด เพราะหลังจากหนังสือของลิลลี่ตีพิมพ์ได้ 21 ปี เมืองลอนดอนก็ถูกไฟไหม้ครั้งใหญ่ เพราะชื่อเสียงของเธอจึงได้รับการยกย่องให้เธอเป็น “มาเธอร์” นับตั้งแต่นั้นมา

อิโซเบล เกาดี้ (Isobel Gowdie)

เธอเป็นสาวสวยผมแดง แต่งงานกับหนุ่มชาวนาชื่อ “ลอชลอย” ไม่มีลูกด้วยกัน สามีของเธอเป็นคนประเภทเซ่อๆ ซ่าๆ ในปี 1662 เธอทำให้คนรอบบ้านตะลึงเมื่อเธอประกาศว่าเธอได้เรียนวิชาแม่มดมาถึง 15 ปีแล้ว และยังเคยไปร่วมกิจกรรมกับเหล่าแม่มด และร่วมหลับนอนกับซาตาน เคยฆ่าคนด้วยเวทมนตร์

เธอจึงถูกจับมาสอบสวนที่เมืองออลเดอร์นพร้อมกับคนอื่นๆ ที่เธอซัดทอดถึง ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนที่ถูกจับมากลับสารภาพว่าเป็นความจริงทุกประการ

คำสารภาพของเธอเล่าว่า ระหว่างเดือนเมษายนเธอได้เผชิญกับซาตานซึ่งแต่งตัวในชุดสีเทาในระหว่างที่เธอไปมาระหว่างนาสองแห่ง และได้สัญญากับมันว่าจะไปพบที่โบสถ์ของเมืองออลเดอร์น และเธอก็ทำเช่นนั้นจริงๆ ซาตานคอยเธออยู่ที่มุขระเบียงโบสถ์โดยถือหนังสือปกสีดำเล่มหนึ่ง มันบอกให้เธอประกาศที่จะเลิกเชื่อพระเยซู จากนั้นก็มีหญิงคนหนึ่งชื่อ “มาร์กาเร็ต โบรดี้” เข้ามาจับตัวเธอไว้ ขณะที่ซาตานก้มลงดูดเลือดที่ไหล่ของเธอ และทำพิธีรับเธอเข้าสู้ลัทธิซาตาน เธอบรรยายว่ามันมีร่างกายใหญ่โต มีผิวสีดำ และขนเต็มตัว หลังจากนั้นมันก็มาหาเธออีก และร่วมเพศกับเธอ ซาตานสามารถหลับนอนกับแม่มดทุกคนได้โดยเสรี และทุกคนก็มีความยินดีร่วมกับมัน

แม่มดคนอื่นๆ เช่น “เจเน็ต เบรดเฮด” ก็สารภาพและเล่าว่าบรรดาแม่มดจะนั่งล้อมรอบซาตานในที่ชุมนุม ในขณะที่มันร่วมเพศกับผู้หญิงคนหนึ่ง มันเป็นมนุษย์ประหลาด เต็มไปด้วยพละกำลัง ซาตานจะร่วมเพศกับผู้หญิงทุกคนซึ่งอยู่ในที่นั้น

“มาร์กาเร็ต เมอร์เรย์” เล่าว่าซาตานสวมหนังแพะแทนเสื้อผ้า บางครั้งมันจะเปลี่ยนร่างเป็นสัตว์ เช่น กวาง หรือวัวตัวผู้ ก่อนจะเสพสุขกับเหล่าสาวก

มีผู้หญิงทั้งหมดประมาณ 30 คน แต่ละคนจะรอโดยไม่แย่งกันจนกว่าจะถึงคิวของตน และจะมีการชุมชนุมใหฐ่อย่างนี้ปีละ 4 ครั้ง

คำสารภาพเพิ่มความแปลกประหลาดมากขึ้นเมื่อ อิโซเบลสารภาพว่า เธอบินไปร่วมสนุกกับซาตานโดยใช้ม้าตัวเล็กเป็นพาหนะ พวกแม่มดสามารถแปลงร่างเป็นอะไรก็ได้แล้วแต่จะต้องการ เช่นเป็นแมว หรืออีกา แม่มดสามารถใช้คาถาอาคมทำลายพืชผลของชาวนา และฆ่าพวกเด็กๆ

“เจเน็ต เบรดเฮด” กล่าวว่า พวกแม่มดจะเอาดินเหนียวมาปั้นเป้นเด็กๆ แล้วเอาหุ่นนั้นไปทิ้งให้จมน้ำ หรือนำไปย่างไปจนกว่าเด็กจะตาย เธอบอกว่าพวกเธอเคยฆ่าเด็กสองคนซึ่งเป็นลูกของชาวบ้านที่ขี้โกหกหลอกลวง

ยิ่งไปกว่านั้น อิโซเบล ยังเล่าอีกว่า เธอเคยฆ่าคนโดยใช้ลูกศรของซาตานที่ใช้เป็นอาวุธ เคยไปเที่ยวเมืองแห่งเทพ ราชินีแห่งเทพจะสวมเสื้อสีขาวได้เลี้ยงอาหาร และหลังจากนั้นก็ไปยิงธนูเล่นพร้อมกับซาตาน เธอยิงผู้หญิงคนหนึ่ง และคนอื่นๆ ช่วยกันยิงคนที่กำลังไถนาจนเขาล้มลง

เรื่องราวเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล่าที่กล่าวขานต่อๆ กันมา ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าพวกเธอถูกประหารชีวิตอย่างไร หรือเป็นเพียงจินตนาการของผู้หญิงเกี่ยวกับเรื่องเพศ.. (ขอผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในเรื่องนี้ด้วยว่าน่าเชื่อถือเพียงไร เพราะนี่เป็นข้อมูลที่สะท้อนภาพถึงภายในจิตใจของมนุษย์ แม้จะต่างยุคสมัยกันก็ตาม)

แม่มดแห่งเมืองซาเลม (The Salem Witch Trials)

เรื่องแม่มดที่เมืองนี้ถือว่าเป็นเรื่องแม่มดที่คลาสสิคที่สุด และถือว่าเป็นความเข้าใจผิด ในปี 1692 ที่มลรัฐแมซซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา เรื่องเริ่มต้นจากเด็กๆ ที่หลงไปฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับพิธีกรรมของพวก “วูดู” จากคนรับใช้ผิวดำ ซึ่งต่อมาคนผิวดำกว่า 200 คนถูกจับในข้อหาแม่มด มี 22 คนถูกตัดสินให้ประหารชีวิตและทรมาน

เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและจบลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน หลายคนต้องมาจบชีวิตลงก็เพราะเด็กๆ พากันชักดิ้นชักงอหลังจากฟังเรื่องแม่มดจากหญิงคนใช้ที่ชื่อว่า “ทิทูบา” พวกเด็กๆ ได้รับการรักษาโดยหมอ แต่เมื่อหมดรักษาอาการแล้วกลับลงความเห็นว่าพวกเธอถูกแม่มดเข้าสิง ทิทูบาถูกสอบสวนและสารภาพว่ามารร้ายดลใจให้ทำร้ายเด็กๆ และยังโยนความผิดให้คนอื่นๆ อีก ไม่เพียงแต่ผู้หญิงเท่านั้นที่โดนกล่าวหา ยังมีผู้ชายที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพ่อมดด้วย ซึ่งต่อมาเรื่องนี้ก็จบลงภายในปีเดียว มีหลายคนถูกปล่อยตัว และบาทหลวงปาร์ริสผู้เกี่ยวข้องนั้นถูกประณามและถูกปลดออกเพราะปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างเหลวไหล

ไม่มีความคิดเห็น: