ค้นหาข้อมูลจากบล็อกนี้

วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2568

เอลีซาเบธ — ผู้รอคอยด้วยศรัทธา

“เอลีซาเบธ — ผู้รอคอยด้วยศรัทธา” ลูกา 1:5–25, 39–45

    แนวคิดหลัก : เอลีซาเบธถูกลืมมานานในชีวิต แต่พระเจ้าทรงระลึกถึงเธอในเวลาที่เหมาะสม ความเชื่อของเธอทำให้แผนการของพระเจ้าสำเร็จผ่านการให้กำเนิดยอห์นผู้ให้บัพติศมา

    ประยุกต์ใช้ : พระเจ้าไม่เคยลืมผู้ที่สัตย์ซื่อแม้ในยามเงียบงัน ชีวิตที่แก่ชราไม่ใช่สิ่งไร้ค่า แต่เป็นเครื่องมือในน้ำพระทัย การรอคอยด้วยความเชื่อเป็นการนมัสการ



    เอลีซาเบธ — ผู้รอคอยด้วยศรัทธา
    ลูกา 1:5–25, 39–45

    เอลีซาเบธเป็นสตรีจากตระกูลปุโรหิตอาโรน ผู้ดำเนินชีวิตชอบธรรมต่อพระเจ้า ทั้งเธอและเศคาริยาห์สามีปฏิบัติตามบทบัญญัติด้วยใจสัตย์ซื่อมานานหลายปี แต่ในวัฒนธรรมยิวโบราณ การไร้บุตรคือความเจ็บปวดลึกในหัวใจ และถูกสังคมตีความว่าเป็นความไม่โปรดปรานจากพระเจ้า ชีวิตของเธอจึงเหมือนถูกวางไว้ในความเงียบงันอันยาวนาน แม้ผู้คนอาจมองผ่าน แต่พระเจ้าไม่เคยมองผ่านเธอเลย เพราะพระคัมภีร์ยืนยันว่าทั้งคู่เป็น “คนชอบธรรมต่อพระเจ้า”

    ในวันที่เศคาริยาห์ปฏิบัติหน้าที่ในพระวิหาร องค์ทูตสวรรค์กาเบรียลประกาศข่าวที่ดูเกินความคิดของมนุษย์ พระเจ้าทรงระลึกถึงคำอธิษฐานที่ยาวนานและเปี่ยมความหวังของคนชรา และเลือกจะเริ่มต้นยุคใหม่แห่งความรอดผ่านครอบครัวซึ่งหลายคนคิดว่า “หมดเวลาแล้ว” ลูกชายของพวกเขาจะเป็นยอห์น ผู้ให้บัพติศมา ผู้เตรียมทางให้พระเมสสิยาห์ ชีวิตของเอลีซาเบธจึงไม่เพียงถูกปลอบประโลมด้วยการมีบุตร แต่ยังถูกยกขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์การไถ่ของมนุษยชาติอีกด้วย

    เมื่อมารีย์เดินทางมาหาเอลีซาเบธในยูเดีย เหตุการณ์เล็กๆ ในบ้านชนบทกลับกลายเป็นการประกาศครั้งสำคัญ เด็กในครรภ์เอลีซาเบธดีดดิ้นด้วยความชื่นชมยินดี และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำให้เธอเอ่ยถ้อยคำประกาศยืนยันว่าสิ่งที่มารีย์กำลังอุ้มอยู่คือองค์พระผู้เป็นเจ้า เหมือนพระเจ้าทรงเปิดม่านเผยให้เห็นว่า หญิงสูงวัยผู้เคยถูกลืมกลับกลายเป็นพยานคนแรกๆ ของยุคเมสสิยาห์

    เรื่องราวของเอลีซาเบธชี้ให้เราเห็นว่า พระเจ้าทรงทำงานในเวลาของพระองค์เสมอ ไม่เคยเร็วหรือช้าเกินไป หากเราดำเนินชีวิตด้วยใจสัตย์ซื่อ พระองค์ทรงได้ยินแม้เสียงร้องที่สังคมมองไม่เห็น และทรงรักษาสัญญาแม้ในช่วงยาวนานของความเงียบงัน สำหรับผู้ที่คิดว่าตน “ผ่านวัยสำคัญไปแล้ว” พระคัมภีร์ยิ่งตอกย้ำว่า ชีวิตสูงวัยไม่เคยไร้ค่า เพราะพระเจ้ามักใช้ผู้ที่ถูกสังคมมองข้ามให้กลายเป็นเครื่องมืออันงดงามในพระประสงค์

    การรอคอยด้วยความเชื่อจึงเป็นการนมัสการ เป็นการยอมรับว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อกว่าเวลา ทรงยิ่งใหญ่กว่าข้อจำกัดของมนุษย์ และทรงจำได้แม้คำอธิษฐานที่เราเปล่งออกด้วยน้ำตา

    ข้อคิดสำหรับวันนี้

    วันนี้ขอให้เรามองชีวิตผ่านสายตาของเอลีซาเบธ เธอไม่ได้เห็นผลลัพธ์ทันที แต่เลือกเดินต่อด้วยความซื่อสัตย์ จนความเงียบงันหลายสิบปีกลายเป็นเวทีให้พระเจ้าสำแดงพระสิริ

    หากคุณกำลังรอคำตอบ หรือรอการเปลี่ยนแปลง จงมั่นใจว่าพระเจ้าได้ยินและทรงจำได้ พระองค์ไม่เคยทำงานช้า แต่ทรงทำงานลึก เพื่อเตรียมคุณให้พร้อมกับสิ่งที่กำลังจะมาถึง

    ให้วันนี้เป็นวันที่เรารอด้วยความเชื่อ รอด้วยใจสงบ และรอด้วยความหวัง เพราะเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม พระเจ้าจะทำให้ทุกสิ่งสำเร็จอย่างงดงามเสมอ










วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2568

โยเซฟ — ชายชอบธรรมในความเงียบ

“โยเซฟ — ชายชอบธรรมในความเงียบ” มัทธิว 1:18–25

    แนวคิดหลัก :โลกมักจดจำมารีย์ แต่ลืมโยเซฟ ผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่พูดสักคำในพระคัมภีร์ แต่การเชื่อฟังของเขาทำให้คำพยากรณ์สำเร็จ เขาเป็นตัวอย่างของผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณที่ฟังเสียงพระเจ้าในยามสับสน

    ประยุกต์ใช้ : เรียนรู้การเชื่อฟังโดยไม่ต้องเข้าใจทุกอย่าง การนำครอบครัวด้วยความถ่อมใจ การเป็น “คนชอบธรรมในความเงียบ” ในยุคที่คนชอบประกาศตัว



    ในช่วงต้น ของเรื่องราววันคริสต์มาส มีฉากหนึ่งที่หลายคนอ่านผ่านไปอย่างรวดเร็ว หนังสือมัทธิว 1:18-25 บอกเล่าเรื่องราวของชายคนหนึ่ง ผู้ที่มนุษย์ส่วนใหญ่ในโลกมองข้าม แต่สวรรค์กลับเลือกใช้ เขาคือ โยเซฟ ช่างไม้ธรรมดาจากนาซาเร็ธ แต่เป็นชายผู้ถูกเรียกว่า ชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้า

    พระคัมภีร์ไม่เคยบันทึกถ้อยคำใดๆ ของโยเซฟ เขาเป็นคนที่ทั้งเรื่อง มีเพียง การกระทำ ไม่ใช่คำพูด ไม่ใช่คำอธิบาย ไม่ใช่การแสดงออกทางอารมณ์ แต่เป็นการเชื่อฟังอย่างลึกซึ้ง แม้ในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสับสน

    เมื่อโยเซฟพบว่ามารีย์คู่หมั้นตั้งครรภ์ แม้ยังไม่อยู่กินกัน การตัดสินใจของเขาไม่ใช่การลงโทษ ไม่ใช่การประณาม แต่เป็นการปกป้องชื่อเสียงของเธอ เขาตั้งใจจะ “ปล่อยเธอไปโดยการลับ” นั่นบอกเราว่า ความชอบธรรมที่แท้จริง ไม่ได้เป็นเรื่องของการพิสูจน์ว่าตัวเองถูก แต่เป็นการสำแดงเมตตาต่อผู้อื่น แม้ในวันที่หัวใจของเขาบอบช้ำ

    แล้วพระเจ้าตรัสกับโยเซฟผ่านความฝัน สิ่งที่ได้รับไม่ใช่คำอธิบายทั้งหมด ไม่ใช่แผนระยะยาว ไม่ใช่ความเข้าใจครบถ้วน — แต่เป็นคำสั่งสั้นๆ เพียงพอสำหรับก้าวต่อไป

    โยเซฟรับมารีย์เป็นภรรยา พาเธอไปเบธเลเฮม พาหนีไปอียิปต์ พากลับนาซาเร็ธ ทุกก้าวไม่ได้เกิดจากเสียงปรบมือของโลก แต่เกิดจากเสียงอ่อนโยนของพระเจ้า

    และเหตุผลที่พระกิตติคุณมัทธิว แนบรายชื่อวงศ์วานยาวเหยียดมาก่อนหน้านั้น ก็คือ เพื่อบอกให้เรารู้ว่า ชายผู้เงียบงันคนนี้ มีบทบาทสำคัญในการทำให้ คำพยากรณ์ของโลกสำเร็จ เขาเป็นสะพานเชื่อมคำสัญญาของอับราฮัมกับยุคของพระเมสสิยาห์

    วันนี้เรามักยกย่องคนที่พูดเก่ง คนที่มีเวที คนที่ดังที่สุดในสังคม แต่เรื่องราวของโยเซฟเตือนใจเราว่า บางครั้งบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผนงานของพระเจ้า คือคนที่เงียบที่สุด แต่เชื่อฟังที่สุด

    ข้อคิดประจำวันนี้

    จงใช้ชีวิตแบบโยเซฟ เชื่อฟังแม้จะไม่เข้าใจทั้งหมด นำครอบครัวด้วยความถ่อมใจ และเป็นคนชอบธรรมแม้ในความเงียบงัน เพราะในโลกที่คนชอบประกาศตัว พระเจ้ากำลังมองหาคนที่ยอมเดินตามพระองค์โดยไม่มีเสียงปรบมือ แต่มีหัวใจที่ภักดีต่อพระองค์เหนือสิ่งอื่นใด