เป็นคำตอบของนักศึกษา ป.โท ในวิชา อ
วสานวิทยา และอนาคตศาสตร์ เขียนไว้ดีมาก จึงขออนุญาตผู้เขียน นำมาเผยแพร่ ณ ที่นี้
1. ในช่วงชีวิตของท่านรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับ “วันสิ้นโลก” มากี่ครั้ง แต่ละครั้งเตรียมตัวอย่างไร
ข้าพเจ้ารับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับ “วันสิ้นโลก” มาประมาณ 4 ครั้ง
ที่ 1 เมื่อข้าพเจ้าเป็นคริสเตียนได้ประมาณ 7 ปี ได้เรียนวิชา
“ถ้าพยากรณ์ในพระคัมภีร์”
จากอาจารย์ประยูร ลิมมะหุตะเศรณี ที่คริสตจักรใจสมาน ในเวลานั้นยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก ทำให้ความอยากรู้เหตุการณ์ในวันสิ้นโลกเป็นอย่างไร การเรียนในครั้งนั้นเกิดความเข้าใจเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย ทำให้ไม่มีการเตรียมตัวคิดว่าเหตุการณ์วันสิ้นโลกยังอยู่อีกหลายปี เป็นการเรียนเรื่องวันสิ้นโลกเป็นครั้งแรก
ที่ 2 มีการสัมมนาเรื่อง
“ยุคสุดท้าย” (Endtime Warning) จัดขึ้นในปี....(จำไม่ได้) ที่สถาบันพระคริสตธรรมเชียงราย ซึ่งขณะนั้นข้าพเจ้าได้ย้ายมาอยู่ที่จังหวัดเชียงรายมาหลายปีและได้เป็นอาจารย์สอนที่สถาบันแห่งนี้ มีวิทยากร 2 ท่าน ที่มาให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องยุคสุดท้าย คือ อาจารย์ชนะ ชัยประเสริฐ และอาจารย์อภิรักษ์ สอนพรินทร์
การสัมมนาครั้งนั้นใช้เวลา 2 วัน ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความเข้าใจในเรื่องวันสิ้นโลกมากขึ้น ตื่นตัวมากขึ้น มีการเตรียมตัวชีวิตด้วยการเฝ้าระวังในการอธิษฐานมากขึ้น อ่านพระคัมภีร์มากขึ้น ก่อนหน้านั้นอ่านพระคัมภีร์ตามอารมณ์ มีเวลาก็อ่าน ไม่มีเวลาก็ไม่อ่าน ไม่มีการตั้งเป้าหมาย หลังจากสัมมนาครั้งนั้นแล้วชีวิตการอธิษฐานและการอ่านพระคัมภีร์เพิ่มขึ้น มีการตั้งเป้าหมายในการดำเนินชีวิตตามคำสอนในพระคัมภีร์ มีภาวะใจประกาศข่าวประเสริฐให้กับญาติพี่น้อง เพื่อนและคนทั่วไป ด้วยวิธีการเป็นพยานส่วนตัว แจกใบปลิวตามสวนสาธารณะ เพราะรู้สึกว่าใกล้เวลาที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาเร็วๆนี้ มีความรักห่วงใยต่อคนหลงหาย ทั้งพี่น้องคริสเตียนที่หลงหายหรืออ่อนแอและคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า
ครั้งที่ 3 มีการสัมมนาเรื่อง
“ยุคสุดท้าย” อีกที่คริสตจักรใจสมาน สุขุมวิทซอย 6 จัดเมื่อวันที่... ....(จำไม่ได้) วิทยากร คือ ผป.วีรศักดิ์ กิตะพาณิชย์และทีม ซึ่งท่านก็เป็นผู้ปกครองของคริสตจักรใจสมานคนหนึ่ง มีการเทศนา จัด Broad ภาพเหตุการณ์ในพระคัมภีร์วิวรณ์และมัทธิว โดยเฉพาะข้าพเจ้าสนใจเรื่องแผ่นดินไหวเป็นพิเศษ เนื่องจากในเวลานั้นข่าวคราวเรื่องแผ่นดินไหวเพิ่มมากขึ้น มีความรุนแรงและความถี่สูงขึ้น ทำให้ข้าพเจ้าตื่นตัวด้วยการรอคอยรับฟังข่าวเรื่องแผ่นดินไหวเป็นประจำและมีการจดบันทึกในเรื่องนี้ตลอดมาจนปัจจุบันนี้ยังไม่เลิก เพราะตรงกับคำพยากรณ์ในพระธรรมมัทธิว 24:7-8 ในเวลานั้นข้าพเจ้าคิดว่าตนเองอยู่ในยุคสุดท้ายแล้ว ใกล้เวลาที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมา แต่ยังไม่ถึงเวลาของพระองค์ที่จะเสด็จมา สิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงตักเตือนสาวกของพระองค์ คือ การเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ อย่าประมาท อย่าชะล่าใจ เพราะวันนั้นจะมาเหมือนอย่างขโมย วันเวลาที่พระองค์จะเสด็จมาไม่มีใครรู้ รู้แต่พระบิดาเท่านั้น สิ่งที่ข้าพเจ้าทำได้คือ เฝ้าระวังการอธิษฐานและดำเนินชีวิตเป็นเกลือและแสงสว่างของแผ่นดินโลก และการประกาศข่าวประเสริฐเรื่องของพระเยซูคริสต์ให้มากๆ
ครั้งที่ 4 การเรียนวิชา
“อวสานศาสตร์และอนาคตศาสตร์” จากอาจารย์อภิรักษ์ สอนพรินทร์ เมื่อวันที่ 9-13 พฤษภาคม 2016 ที่สถาบันพระคริสตธรรมเชียงราย ทำให้เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้นและรู้สึกว่าเหตุการณ์ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สิ่งที่น่าตื่นเต้นของข้าพเจ้า คือ การสร้างพระวิหารหลังที่ 3 ของชนชาติอิสราเอลในเร็วๆ นี้ นั่นทำให้ข้าพเจ้าตื่นเต้นมากขึ้น แต่ไม่ตื่นกลัว ถึงแม้ทราบว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับคริสเตียน นั่นก็คือ การข่มเหง (ด้านเศรษฐกิจ) จะมีการฝังชิฟที่มือขวาหรือที่หน้าผากเกิดขึ้น แต่ผู้เชื่อไม่ยอมฝังชิฟเพราะจะกลายเป็นสมุนของซาตานไป ข้าพเจ้าอธิษฐานขอพระเจ้าให้มีความอดทนมากๆ อย่ากลัวต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น แต่ให้เตรียมพร้อมอยู่เสมอเหมือนหญิงพรหมจารี 5 คน ที่มีตะเกียงพร้อมกับน้ำมัน
2. ประวัติศาสตร์ของโลกเกี่ยวโยงอะไรกับพระคัมภีร์ และนำมาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างไร
ปีก่อนประวัติศาสตร์ของโลก (Big Band) เกิดในปี 13,798 ล้านปี โดยการระเบิดของจักรวาล ทางด้านวิทยาศาสตร์มีการขยับของเปลือกโลก นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่ยอมรับการทรงสร้างของพระเจ้า แต่เกิดจากการระเบิดของจักรวาล พอสะเก็ดที่หลุดออกมาเย็นตัวลง กลายเป็นโลกและดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ รวมไปถึงดวงดาวต่างๆ ในระบบสุริยจักรวาล ซึ่งค้านการทรงสร้างของพระเจ้า (ปฐก. 1:1-27)
โลกในสมัยก่อนพระเยซูทรงบังเกิด เรียกว่า Before Christ (B.C) - 10,000 ปีแรกก่อนคริสตกาล ก่อนอาดัม-เอวา เกิดประมาณ 4,000 ปี กคศ. พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งและสรรพสัตว์ต่างๆ ก่อนเพื่อเตรียมไว้สำหรับอาดัมและเอวา พระเจ้าของอับราฮาม อิคอัคและยาโคบ (ยุคบรรพบุรุษ) อยู่ในยุคสมัยเดียวกัน ทางประวัติศาสตร์ทั้ง 3 คน มาจากฮิบรู แปลว่า พวกเร่ร่อน ไม่ใช่เป็นคนยิว มาเรียกเป็นคนยิวนับจากยูดาห์ บุตรชายของยาโคบ ปฏิทินของคนยิวใช้ช่วงเวลาของฤดูกาลต่างๆ กำหนดเดือน เช่น ฤดูร้อน,ฝนหรือหนาว มีความแตกต่างจากปฏิทินของสากล กำหนดปีปฏิทินของทางโลก ในยุคแรกๆ ใช้โลกเป็นเส้นศูนย์กลาง คนในสมัยนั้นเชื่อว่าโลกแบน แต่ต่อมาเมื่อโคลัมบัสสำรวจทวีปอเมริกา จึงรู้ว่าโลกกลม ดังนั้น โลกเป็นศูนย์กลางจักรวาล มนุษย์เริ่มนับวันทางจันทรคติ เริ่มจากเมืองบาบิโลนเนียที่กราบไหว้ดวงจันทร์ สำหรับปฏิทินรุ่นใหม่จะใช้การหมุนของดวงอาทิตย์ กำหนด วัน เดือน และปีตามจำนวนวันที่ของแต่ละเดือน
ปฏิทินของพระคัมภีร์ มี 2 ช่วงใหญ่ๆ คือ
1.
BC = Before Christ ภาษาไทยเรียกว่า ก่อนคริสตศักราช
2.
AD = Anno Domini ภาษาไทยเรียกว่า คริสตศักราช ปัจจุบันกลายเป็นปฏิทินสากล
การนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน
1. การเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ของโลกและพระคัมภีร์ ทำให้เกิดความรู้ ความเข้าใจถึงเรื่องราวเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นมาอย่างไร การดำเนินเรื่องราวต่อเนื่องมาตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน เห็นภาพต่างๆ ในพระคัมภีร์ชัดเจนมากขึ้นด้วยการเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ ไม่ประมาท ไม่ละเลยหรือเพิกเฉย
2. เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของโลกและพระคัมภีร์ เห็นถึงพระคุณ ความรัก ความยิ่งใหญ่ ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่ต้องการช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากบาป โดยที่อาดัมและเอวาเป็นมนุษย์คู่แรกที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้าส่งผลบาปถึงมนุษย์ทุกคนในทุกวันนี้ (Natural Sin) จนได้ประทานพระเยซูคริสต์มาบังเกิดเป็นมนุษย์และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เป็นการไถ่บาปของมนุษย์กลับมาคืนดีกับพระเจ้า (ยน. 3:16) ไม่เพียงการไถ่บาปเท่านั้น พระเจ้าทรงมีแผนการมาปกครองโลกนี้ในยุคพันปี ก่อนจะถึงพันปีผู้เชื่อทุกคนจะต้องเข้าสู่กลียุค ทำให้ผู้เชื่อมีความหวังใจ
3. พระเจ้าทรงเป็นผู้ปิดประวัติศาสตร์ด้วยพระองค์เอง เมื่อพระองค์เสด็จมาครั้งที่ 2 จะมาปกครองโลกเป็นเวลา 1,000 ปี หลังจากยุค 1,000 ปี พระเจ้าทรงพิพากษาประชาชาติทั้งหมด แล้วพระองค์ทรงประทานบำเหน็จให้กับผู้เชื่อที่รักและสัตย์ซื่อต่อพระองค์ พระเจ้าทรงสร้างฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ ผู้เชื่อมีชีวิตนิรันดร์อยู่กับพระเจ้าตลอดไปเป็นนิตย์
3. ทำไมศาสนาต่างๆ ในโลกจึงช่วยอะไรมนุษย์ชาติไม่ได้ ?
กำเนิดมนุษย์ ปรากฏในปฐมกาลบทที่ 1-2, ยรม 1:5 , สดด 139:13-16 , โยบ 33:4
ศาสนาโลก เป็นศาสนาโบราณเริ่มจากสุเมเรียน เป็นจุดเริ่มต้น 6,000 BC เป็นศาสนาแรกในปฐมกาล พวกเขากราบไหว้ดวงจันทร์,ดวงดาว,ดวงอาทิตย์ มีนักบวชเป็นหัวหน้าทำศาสนพิธี เช่น ชาวอียิปต์ นับถือฟาโรห์เป็นเทพเจ้า มีการฟื้นคืนชีพ โดยการทำมัมมี่
ศาสนายูดาย โมเสสเป็นผู้เริ่มต้นศาสนานี้ ที่ภูเขาซีนาย ได้รับพระบัญญัติ 10 ประการจากพระเจ้าและโมเสสเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าที่นำชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์ อิสราเอลตกเป็นทาสของอียิปต์เป็นเวลา 400 ปี โมเสสนำชนชาติอิสราเอลเป็นไทกลับไปสู่แผ่นดินคานาอัน ดินแดนแห่งพันธสัญญาของพระเจ้าที่มีต่ออับราฮาม บรรพบุรุษของพวกเขา และโมเสสเป็นผู้เขียนพระธรรมโทราห์ 5 เล่ม คือ ปฐมกาล อพยพ เลวีนิติ กันดารวิถีและเฉลยธรรมบัญญัติ
ศาสนาคริสต์ แยกออกจากศาสนายูดาย โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นผู้ประกาศเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว พระองค์ทรงประกาศทางแห่งความรอดมาทางพระองค์เท่านั้น เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า 100% และมนุษย์ 100% พระเยซูทรงเสด็จลงมาในโลกเพื่อแผนการแห่งการไถ่บาปให้กับมนุษย์ทุกคน ไม่ใช่เฉพาะแต่ชนชาติอิสราเอล โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ผู้ใดเชื่อในพระองค์ก็จะรอดจากการพิพากษาของพระเจ้า ผู้ใดไม่เชื่อพระองค์จะได้รับการลงโทษในบึงไฟนรก
ศาสนาอิสลาม แยกมาจากศาสนายูดายและศาสนาคริสต์ อิสลามปฏิเสธหลักข้อเชื่อหลักๆ ของคริสเตียน เช่น ความเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์ อิสลามเชื่อว่าพระเยซูเป็นแค่นะบี ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า เรื่องตรีเอกานุภาพ การตายและการเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซู ความบาป ความรอดพ้นบาปโดยพระคุณ อิสลามสอนให้กระทำความดี อิสลามมีพระคัมภีร์ของเขาเอง คือ คัมภีร์โกหร่าน
ศาสนาพุทธ สอนว่า มนุษย์เกิดเองไม่มีผู้สร้าง ไม่มีพระเจ้า มนุษย์ไม่มีจิตวิญญาณ ไม่มีนรกสวรรค์ ความรอดในศาสนาพุทธหาหนทางที่จะหลุดพ้นจาการเวียนว่ายตายเกิดจากกงกรรมกงเกวียน เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เน้นการกระทำดีด้วยตนเอง โดยสอนว่า “ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน”
ศาสนาฮินดูและพราหมณ์ เริ่มต้นจากฤาษีหรือนักพรต มีพระศิวะ พระพรหม พระนารายณ์ ฯลฯ มีแนวความคิดคล้ายๆ กับศาสนาพุทธ ทำสิ่งใดไว้จะรับผลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กงกรรมกงเกวียน เวียนว่ายตายเกิดไม่มีสิ้นสุดแล้วแต่กรรมกำหนด ชาวฮินดูส่วนใหญ่จะติดต่อกับพระพรหม คือ การทำสมาธิ
ดังนั้นศาสนาต่างๆ ในโลกจึงช่วยอะไรมนุษย์ไม่ได้ เพราะ
1. ผู้นำศาสนาต่างๆ ยกเว้นศาสนาคริสต์ เป็นมนุษย์ไม่ใช่พระเจ้า ถึงแม้ว่าศาสนาฮินดูมีพระต่างๆ มากมาย แต่ไม่ใช่พระเจ้าองค์เที่ยงแท้ เป็นแค่ศักดิเทพ อิทธิเทพ เทพผู้ครอง เทพอาณาจักรเท่านั้น สำหรับพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าองค์เที่ยงแท้แต่องค์เดียวและเป็นมนุษย์ด้วยในเวลาเดียวกัน พระเยซูทรงยอมตายบนไม้กางเขนเพื่อไถ่คนบาปให้รอดจากการพิพากษาของพระเจ้า (ยน 3:16)
2. ทุกศาสนาสอนให้มนุษย์กระทำความดีด้วยตนเอง หรือให้ทำบุญกุศลมากๆ ถึงจะได้ขึ้นสวรรค์ แต่คำสอนของพระเยซูทรงสอนว่า เพราะว่าทุกคนทำบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว (รม 3:23-24) และใน รม 6:23 “เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” และใน อฟ 2:8-9 “ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายกระทำเอง
แต่พระเจ้าทรงประทานให้ ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้” ถ้าพระเยซูคริสต์ไม่เสด็จลงมาช่วยมนุษย์ ก็จะไม่มีมนุษย์สักคนรอดได้ ทุกคนต้องถูกการพิพากษาโทษจากพระเจ้าอย่างแน่นอน
3. ศาสนาพุทธไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า ดังนั้นคำถามที่ถามคนนับถือพุทธตอบไม่ได้ เช่น โลกและจักรวาลดำรงอยู่ถาวรหรือ จักรวาลมีที่สิ้นสุดไหม ร่างกายและวิญญาณเหมือนกันไหม เป็นต้น แต่คำสอนในพระคัมภีร์คริสเตียนบอกอย่างชัดเจนว่ามีพระผู้สร้างจักรวาล สรรพสิ่ง สรรพสัตว์รวมทั้งชีวิตมนุษย์ด้วย พระเจ้าเป็นพระผู้ไถ่ บาปให้กับมนุษย์
โดยการส่งพระเยซูคริสต์มาบังเกิดเป็นมนุษย์ และตายบนไม้กางเขนเพื่อชดให้หนี้บาปของมนุษย์ ความดีของมนุษย์ไม่ถึงมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนด คือ ปราศจากบาป แต่มนุษย์ทำบาปสืบเชื้อสายบาปของอาดัม-เอวา เป็นธรรมชาติบาปมาตั้งแต่เกิด ผู้เชื่อในพระเยซูได้รับการชำระบาปกลายเป็นคนชอบธรรมได้โดยทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น ใน ยน 14:6 พระเยซูทรงตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา” ศาสนาพุทธสอนว่า มนุษย์ต้องเวียนว่ายตายเกิด แต่พระเยซูทรงตรัสสอนว่า “มีข้อกำหนดสำหรับมนุษย์ไว้แล้วว่าจะตายครั้งเดียวและหลังจากนั้นก็จะมีการพิพากษาฉันใด พระคริสต์ก็ฉันนั้น คือ พระองค์ทรงถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาครั้งเดียว เพื่อจะได้ทรงแบกบาปของคนเป็นอันมากไว้ พระองค์จะทรงปรากฏเป็นครั้งที่สอง มิใช่เพื่อกำจัดบาป แต่เพื่อช่วยบรรดาผู้ที่รอคอยพระองค์ด้วยใจจดจ่อให้ได้รับความรอด” (ฮบ 9:27-28) ดังนั้นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์เกิด 2 ครั้ง ตายครั้งเดียว จิตวิญญาณของคนนั้นไปอยู่ที่เมืองบรมสุขเกษม ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว
4. ศาสนายูดายและศาสนาอิสลาม ทั้ง 2 ศาสนาเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว แต่ไม่ยอมเชื่อและยอมไม่รับพระ-เยซูคริสต์เสด็จลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อแผนการแห่งการไถ่บาปให้มนุษย์ ศาสนายูดายเชื่อว่าพระเจ้าจะปกครองโลกนี้ด้วยสิทธิอำนาจของพระองค์โดยเป็นกษัตริย์ปกครองโลกนี้ เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงประกาศว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ทรงประกาศแผ่นดินของพระเจ้าในฐานะคนธรรมดาสามัญ เป็นบุตรของช่างไม้ คือ โยเซฟ ไม่ใช่มาเป็นกษัตริย์ของเขา ส่วนศาสนาอิสลามยอมรับพระเยซูเป็นนะบี เป็นอาจารย์สอนศาสนาเท่านั้น ไม่ยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่เสด็จลงมาในโลกนี้ กลับไปยอมรับนะบีโมหะหมัด เป็นศาสดาพยากรณ์คนสุดท้าย
4. เป้าหมายของพระเยซูในโลก คืออะไรกันแน่?
พระเยซูคริสต์ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่ปฐมกาลได้มาบังเกิดเป็นมนุษย์ เช่น ยน 1:14 “พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์” ใน ฟป 2:6-7 “ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์” พระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาตามที่พระคัมภีร์เดิมได้พยากรณ์ไว้ ดังนั้นการเสด็จมารับสภาพมนุษย์เป็นหัวใจของคำเทศนาของอัครสาวก (กจ 17:3,18:5,28) นีคือเป้าหมายของพระเยซูในโลก คือ ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเป็นการไถ่บาปให้มนุษย์
เหตุผลของการรับสภาพมนุษย์
ก. เพื่อยืนยันพระสัญญาของพระเจ้าต่อชนชาติอิสราเอลและคนต่างชาติ (โรม 5:8-12) พระสัญญานี้เริ่มตั้งแต่ ปฐก 3:15 ต่อเนื่องไปจนตลอดพระคัมภีร์เดิม (อสย 7:14,9:6) และคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมสำเร็จในพระคัมภีร์ใหม่ ที่พระเยซูทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ใน มธ 2:18
ข. เพื่อสำแดงพระบิดา ในพระคัมภีร์เดิมพระเจ้าทรงสำแดงพระองค์เป็นพระผู้สร้าง และผู้ครอบครองเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง ผู้ทรงบริสุทธิ์ ทรงยิ่งใหญ่ ทรงพระเมตตาต่อมนุษย์ ยอห์นบันทึกว่า “ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย พระบุตรองค์เดียวผู้ทรงสถิตอยู่ในพระทรวงบิดา พระองค์ได้ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว (ยน 1:18) เป็นความสัมพันธ์ที่พระคัมภีร์ใหม่นำมาใช้แบบพ่อกับลูกเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างยิ่ง
ค. เพื่อจะทรงเป็นมหาปุโรหิตที่สัตย์ซื่อ เพราะพระเยซูทรงรับประสบการณ์ของมนุษย์ทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องความบาป เพื่อทรงปฏิบัติหน้าที่ของมหาปุโรหิตได้ ซึ่งเป็นปุโรหิตสูงสุดมีเพียงคนเดียว ที่มีสิทธิเข้าไปในห้องอภิสุทธิสถานปีละครั้ง เพื่อลบมลทินบาปให้กับชนชาติอิสราเอล (ลนต 16:2-3, ฮบ 9:7) ใน ฮบ 5:4-5 “และไม่มีผู้ใดตั้งตนเองเป็นปุโรหิตได้ แต่พระเจ้าทรงเรียกเหมือนอย่างทรงเรียกอาโรน ในทำนองเดียวกับพระคริสต์ก็ไม่ได้ ทรงยกย่องพระองค์เองขึ้นเป็นมหาปุโรหิต แต่ทรงรับพระเกียรตินี้จากพระเจ้า ผู้ได้ตรัสกับพระองค์ว่า ท่านเป็นบุตรของเรา วันนี้เราให้กำเนิดท่าน” พระเยซูทรงรู้ถึงความเหนื่อยยากของชีวิต การทดลองทุกชนิดที่มนุษย์ต้องรับ ทรงถูกเข้าใจผิด ถูกทอดทิ้ง ถูกข่มเหง และถูกมอบไว้กับความตาย ก็เพื่อเป็นการเตรียมพระองค์สำหรับพันธกิจปุโรหิตของพระองค์
ง. เพื่อกำจัดบาป โดยการถวายชีวิตของพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา (ฮบ 9:26) พระเยซูคริสต์ทรงตรัสว่า “บุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะประนิบัติและประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่ของคนเป็นอันมาก (มก 10:45) พระคัมภีร์ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พระเยซูคริสต์จำเป็นต้องเสด็จมารับสภาพมนุษย์เพื่อสิ้นพระชนม์เพราะบาปของมนุษยชาติ ใครก็ตามที่เชื่อตามนี้จะไม่ต้องชิมความตายเอง เพื่อเขาจะได้รับพระพรจากพระเจ้าได้
จ. เพื่อทำลายกิจการของมาร พระราชกิจของพระเยซูที่ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ทำให้ซาตานประสบความพ่ายแพ้ (ยน 12:31, 14:30) ซาตานสูญเสียการปกครอง วันหนึ่งจะถูกโยนทิ้งลงในบึงไฟ (วว 20:10)
ฉ. เพื่อวางแบบอย่างชีวิตที่บริสุทธิ์ พระเยซูคริสต์ทรงประสูติจากหญิงพรหมจารีย์ พระองค์ทรงบริสุทธิ์ ปราศจากบาป การดำเนินชีวิตของพระองค์ขณะที่อยู่ในโลกเป็นการกระทำความดีทั้งสิ้น พระองค์ไม่กระทำบาปเลยทั้งความคิด การพูด ทุกครั้งที่พระเยซูคริสต์ทรงตรัสว่า เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า.... และการกระทำของพระองค์ล้วนแต่ทำดีทั้งสิ้น ด้วยการรักษาโรคต่างๆ ให้หาย ทรงขับผีต่างๆ เพื่อปลดปล่อยคนนั้นให้เป็นไทและทรงยอมตายบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปของมนุษย์ทุกคน ดังนั้นแบบอย่างของพระองค์ทรงดียอดเยี่ยม
ช. เพื่อเตรียมการเสด็จมาครั้งที่ 2 ความรอดที่พระเยซูคริสต์ประทานให้ส่วนใหญ่กำลังเกิดขึ้นจริงในชีวิตปัจจุบัน คือ ผู้เชื่อรอดพ้นจากความผิดและการลงโทษเนื่องจากบาปทันทีทันใด เมื่อเขารับพระคริสต์ และการยอมมอบถวายชีวิตของพวกเขาให้กับพระองค์ แต่พวกเขายังไม่พ้นจากความบาปในโลกจนกว่าพวกเขาจะถูกรับขึ้นไปอยู่กับพระองค์ ถึงแม้ว่าพระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อทุกคน เพื่อให้พระเจ้าทรงกลับคืนดีกับทั้งโลก แต่ไม่ใช่ทุกคนจะรอด เพราะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขว่าพวกเขาจะต้องกลับคืนดีกับพระเจ้าก่อน (2คร 5:18-20)
5. การเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์เพื่ออะไร
การเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์เพื่อ
ก. เพื่อทรงสำแดงพระองค์เองและคนของพระองค์ พระเยซูคริสต์ไม่ได้ปรากฏพระองค์ให้มนุษย์เห็นด้วยตามานานกว่า 19 ศตวรรษแล้ว ครั้งหนึ่งพระองค์เคยอยู่ท่ามกลางมนุษย์และคนของพระองค์ได้เห็นพระองค์ (ยน 1:14,1ยน 1:1-4) แต่บัดนี้พระองค์ทรงสถิตเบื้องขวาของพระเจ้า และจะเสด็จกลับมาอีก (ฮบ 9:24-28) พระคัมภีร์ได้กล่าวว่าทุกเผ่าพันธุ์ของมนุษย์โลกจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า ทรงฤทธานุภาพและพระสิริเป็นอันมาก (มธ 24:30) พระบาทของพระองค์จะยืนอยู่บนยอดเขามะกอกเทศ (ศคย 14:4) จะเป็นการปรากฎของพระคริสต์และคนของพระองค์อย่างโอ่อ่าตระการตา
ข. เพื่อจะทรงพิพากษาสัตว์ร้ายนั้น ผู้เผยพระวจนะเท็จและกองทัพของมัน ในยุคสุดท้ายวิญญาณชั่วต่างๆ ที่มาจากพญานาค สัตว์ร้ายและผู้เผยพระวจนะเท็จจะออกไปรวบรวมกษัตริย์ทั้งโลกมาทำสงคราม (วว 16:12-16) เป้าหมายของมันคือ การยึดกรุงเยรูซาเล็มและจับชาวยิวในปาเลสไตน์เป็นเชลย (ศคย 12:1-9,13:8,14:2) ดูเหมือนว่าพวกมันจะมีชัยอย่างแน่นอน พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาจากฟ้าสวรรค์ด้วยกองทัพของพระองค์ (วว 19:11-16) มาทำสงครามกับพระบุตรของพระเจ้า กองทัพของสัตว์ร้ายและผู้เผยพระวจนะเท็จพ่ายแพ้จะถูกจับและทิ้งลงในบึงไฟนรก (สดด 2:3-9,2อสย 2:8,วว 19:19-20) ดังนั้นคนเหล่านี้ที่เป็นศัตรูต่อพระคริสต์จะถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง และเตรียมหนทางไว้ให้เข้าสู่ระบบปกครองใหม่
ค. เพื่อผูกมัดซาตาน เมื่อสัตว์ร้ายและผู้เผยพระวจนะเท็จถูกโยนลงในบึงไฟนรกแล้ว มารซาตานจะถูกคุมขังเป็นเวลาพันปี (วว 20:1-3)
ง. เพื่อช่วยอิสราเอลให้รอด เมื่อพระคริสต์เสด็จมา พระองค์จะทรงช่วยกู้อิสราเอลให้พ้นจากศัตรูของพวกเขาในแผ่นดินโลก (ยรม 30:1,สคย 14:1-3) ไม่เพียงแต่พระองค์จะช่วยเหลือพวกเขาเท่านั้น แต่พระองค์จะทรงรวบรวมคน อิสราเอลทุกคนด้วย และจะให้พงศ์พันธุ์อิสราเอลกับพงศ์พันธุ์ยูดาห์กลับมารวมเป็นชาติเดียวกันอีก (อสย 11:11-14, 62:4,ยรม 31:35-37,33:14-22,อสค 37:18-25) นอกจากนั้นพระองค์จะทรงช่วยเขาให้รอดและจะทำพันธสัญญาใหม่กับพวกเขา (อสย 66:8,ยรม 31:31-34,ศคย 12:10-13:1,ฮบ 8:8-12) พระสัญญาเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าพวกยิวทุกคนที่เคยมีชีวิตอยู่จะรอดทั้งหมด เพราะว่าความพินาศจะมาถึงชาวยิวที่ไม่เชื่อเช่นเดียวกับคนต่างชาติที่ไม่เชื่อด้วย หากแต่พระสัญญาเหล่านี้จะมีแก่เฉพาะผู้ที่เหลืออยู่ หลังจากพวกเขากบถได้ถูกขจัดออกไป (อสค 20:37-38) ในวันนั้นอิสราเอลจะกลับใจและหันมาหาพระเยซู (ศคย 12:10-13:1)
จ. เพื่อพิพากษาบรรดาประชาชาติ เมื่อพระคริสต์เสด็จกลับมาพระองค์จะพิพากษาสัตว์ร้าย ผู้เผยพระวจนะเท็จ และกองทัพของมัน แต่พวกกษัตริย์ แม่ทัพ และกองทัพของเขาไม่ได้รวมอยู่ด้วยกันกับคนเหล่านั้น เมื่อพระคริสต์ทรงจัดการกับพวกเหล่านั้นที่ต่อสู้กับพระองค์ในศึกอารมาเกดโดน พระองค์จะทรงรวบรวมบรรดาประชาชาติมาต่อหน้าพระองค์เพื่อพิพากษา การพิพากษาบรรดาประชาชาติ คือ การตัดสินดูว่าคนเหล่านั้นสมควรจะเข้าในอาณาจักรพันปีหรือไม่
ฉ. เพื่อปลดปล่อยและอวยพรสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง คำสัญญาของพระคริสต์ที่กล่าวว่า “พระองค์จะทรงปรากฎเป็นครั้งที่สองมิใช่เพื่อกำจัดบาป แต่เพื่อช่วยบรรดาผู้ที่รอคอยพระองค์ด้วยใจจดจ่อให้ได้รับความรอด (ฮบ 9:28) แผ่นดินโลกถูกสาปเพราะมนุษย์และพืชหนามที่งอกขึ้นเป็นผลของความบาปของเขา (ปฐก 3:17-19, ฮบ 6:8) แต่เมื่อพระคริสต์จะเสด็จกลับมาพระองค์จะทรงขจัดคำแช่งสาป และจะทรงรื้อฟื้นธรรมชาติให้กลับสู่สภาพเดิมอันดีงามและรุ่งเรือง
ช. เพื่อตั้งราชอาณาจักรของพระองค์ พระเจ้าทรงสัญญากับเดวิดว่าจะตั้งอาณาจักรของท่านให้ยืนยาวตลอดไปเป็นนิตย์ (2ซมอ 7:8-16) พระเยซูคริสต์ทรงเป็นก้อนหินที่ตัดออกมาจากภูเขาแต่มิใช่ด้วยมือมนุษย์ และโค่นล้มอาณาจักรต่างๆ ทั่วโลก แล้วขยายราชอาณาจักรนั้นเต็มแผ่นดินโลก (ดนอ 2:44-45) กรุงเยรูซาเล็มจะกลายเป็นเมืองหลวงของแผ่นดินโลกที่จะรับการฟื้นฟูใหม่ (อสย 2:2-4, มคา 4:13) บรรดาประชาชาติจะมนมัสการที่เยรูซาเล็มและฉลองเทศกาลอยู่เพิง (ศคย 14:16-19) การปกครองของพระคริสต์จะเต็มไปด้วยสันติภาพและความชอบธรรม (อสย 9:6-7)
6. เราจำเป็นต้องรู้ล่วงหน้าไหมกับเหตุการณ์กลียุค ? ถ้าจำเป็นควรทำอย่างไรต่อไป
คริสตจักรในสมัยอัครปิตาไม่ได้สอนเรื่องกลียุคอย่างชัดเจนและดูเหมือนสับสน แต่เน้นสอนการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นใกล้เข้ามาแล้ว คริสตจักรรอคอยการกลับมาของพระองค์ในชั่วอายุของพวกเขา และสอนว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาในเร็ววัน พวกเขาจึงไม่ห่วงเรื่องการมีหรือไม่มีกลียุคในภายหน้า เมื่อจักรพรรดิคอนสแตนตินขึ้นครองราชย์ในอาณาจักรโรมัน จักรพรรดิได้ตั้งให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาของรัฐ คริสตจักรในเวลานั้นมีความเจริญรุ่งเรืองมาก
พวกคริสเตียนไม่ถูกข่มเหงอีกต่อไป พวกคริสเตียนในยุคนั้นพากันตีความหมายเรื่องการเสด็จมาของพระคริสต์เป็นนิทานเปรียบเทียบ ปฏิเสธการตีความหมายเรื่องยุคพันปีตามตัวอักษร และตีความเรื่องกลียุคเป็นนิทานเปรียบเทียบ
เหตุการณ์ในช่วงกลียุคเป็นช่วงเวลาที่พระเจ้าจะทรงลงโทษซึ่งปฏิเสธพระเจ้าและพระคริสต์ การข่มเหงในช่วงเวลานั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา ในพระธรรมวิวรณ์ 6-19 เป็นเรื่องเกี่ยวกับกลียุค ตัวสำคัญในบทเหล่านั้นคือ ตรา แตรและขันการพิพากษาลงโทษในแต่ละครั้งนั้นมาจากสวรรค์เป็นการเทพระพิโรธของพระเจ้าลงมาเหนือโลกที่เต็มไปด้วยความบาปและการสาปแช่งนี้
เราจำเป็นต้องรู้ล่วงหน้ากับเหตุการณ์กลียุค เราควรทำสิ่งต่อไปนี้ คือ พระคัมภีร์เตือนครั้งแล้วครั้งเล่าให้เราเฝ้าระวังอยู่ “เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านไม่รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านจะเสด็จมาเมื่อไร (มธ 24:42) “เหตุฉะนั้นจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้กำหนดวันหรือโมงนั้น (มธ 25:13) และในพระคัมภีร์ตอนอื่นๆ เช่น มก 13:35-36 , 1ธส 5:6 , วว 3:3 เป็นคำตรัสของพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์ยังบอกให้เรารอคอยความหวังอันเจิดจ้านั้น (ทต 2:13 , ฮบ 9:28) เพื่อเป็นแรงกระตุ้นที่จะให้มีชีวิตบริสุทธิ์ ให้รับใช้พระเจ้าอย่างเต็มที่และเต็มใจและให้เฝ้าระวังอยู่ เพราะไม่รู้ว่าพระเยซูจะเสด็จมาเมื่อใด แต่พระคัมภีร์สอนชัดเจนว่าพระองค์จะมาเวลาไหนก็ได้ พระคริสต์ตรัสกับสาวกว่า พระองค์จำเป็นต้องกลับไปยังสวรรค์เพื่อจะรับอาณาจักรนั้น ไม่มีข้อบ่งชี้ใดๆ ว่าในการไปรับแผ่นดินนั้นจะต้องกินเวลานาน แต่พวกสาวกหวังว่าพระองค์จะมาในเร็ววัน พระเยซูคริสต์ทรงตักเตือนสาวกไม่ให้เลิกทำงานเพราะคอยการเสด็จมา รวมทั้งยากอบและ อ.เปาโล ก็ตักเตือนให้ผู้เชื่อต้องทำงาน ไม่ใช่นั่งรอคอยพระองค์เสด็จมา
ดังนั้นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ก็ไม่ต้องกลัวต่อเหตุการณ์กลียุคที่จะเกิดขึ้น สิ่งสำคัญคือ การเฝ้าระวัง หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ ถ้าพระองค์ยังไม่เสด็จมา ผู้เชื่อยังดำเนินชีวิตที่ติดสนิทกับพระองค์ (ยน 15:1-5) รักพระองค์มากๆ ใกล้ชิดกับพระองค์ด้วยการอธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์อย่างสม่ำเสมอ ดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยของพระเจ้าด้วยการเชื่อฟังและกระทำตาม อย่าทำบาปแต่ให้กระทำดีเพื่อถายเกียรติแด่พระเจ้า ดำเนินชีวิตเป็นทั้งเกลือและความสว่างของแผ่นดินโลก เป็นพยานและประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ทั้งที่มีโอกาสและไม่มีโอกาส นำวิญญาณที่หลงหายกลับมาหาพระเยซูคริสต์ เหมือนอย่างในพระธรรมกิจการ 2:43-47 ทำให้คริสจักรขยายออกไปเพราะจำนวนผู้เชื่อเพิ่มพูนมากขึ้นทุกๆ วัน
ผู้เชื่อทุกคนต้องเตือนตัวของเราเองก่อน ให้หวนระลึกถึงถ้อยคำของพระเยซูตรัสตอนนี้บ่อยๆ ในมัทธิว 7:21-23 เพราะถ้าหลงทำอะไรไปจนตลอดชีวิต อาจเป็นหลายสิบปี และคิดว่าจะได้รับบำเหน็จจากพระเจ้า ได้เข้าแผ่นดินสวรรค์ของพระองค์ แต่กลับถูกพระเยซูปฏิเสธเช่นนี้ จะทำอะไรได้อีกเพราะหมดเวลาบนโลกแล้ว เพราะฉะนั้นเราต้องเป็นคนที่ถ่อมกาย ถ่อมใจอย่างที่สุด พระเจ้ามิได้ทรงสอนให้เราเป็นคนหยิ่งยะโส จองหอง อวดดี อวดรู้ อวดเก่ง แต่ให้เป็นคนถ่อมสุภาพ เพราะความดื้อรั้น อวดดี กลายเป็นความโง่เขลาของตนเอง สูญเสียพระพรของพระเจ้าไปชั่วกาลนาน (มธ 7:26-27) และจะถูกลงโทษด้วย (มธ 22:13 , 25:30) ผู้รับใช้พระเจ้าหลายคนดื้อดึงไม่ยอมกลับใจใหม่ทำเรื่อยเปื่อยตามใจชอบของตนเอง ปากก็อ้างพระเจ้า แต่มิได้ทำตามพระประสงค์ของพระผู้สร้าง
7. คิดอย่างไรกับเรื่อง “พระวิหาร” หลังที่สาม เราควรเกี่ยวข้องอย่างไร ? แค่ไหน ?
พระวิหารเป็นสัญลักษณ์เล็งถึงที่ประทับของพระเจ้า พระวิหารหลังแรกสร้างขึ้นในสมัยของกษัตริย์ซาโลมอน ประมาณปี 950 – 940 BC ตั้งอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม บนเนินเขาโมวิยาห์หรือเนินเขาศิโยน และในปี 586 BC พระวิหารหลังแรกถูกกองทัพบาบิโลนเผาทำลายจนราบคาบ ต่อมาภายหลังพวกยิวกลับจากการเป็นเชลยที่บาบิโลน ในสมัยของผู้เผยพระวจนะฮักกัย (ปี 520 – 515 BC ) ได้มีการสร้างพระวิหารหลังที่ 2 ขึ้นมาอีก ในสมัยของกษัตริย์เฮโรดมหาราช ได้มีการบูรณะใหม่และขยายพระวิหารหลังที่ 2 จนใหญ่โตสวยงาม แต่ในที่สุดก็ถูกกองทัพโรมันทำลายอย่างย่อยยับในปี
70 AD แต่ก็ยังมีซากของวิหารเหลือให้เห็นบ้างในกรุงเยรูซาเล็ม และชาวยิวในปัจจุบันได้ใช้ที่นั่นเป็นที่ชุมนุมกันจนถึงทุกวันนี้ เพื่อคร่ำครวญร้องไห้ที่กำแพงร้องไห้เพื่อระลึกถึงพระวิหารที่ถูกทำลายไป
สำหรับพระวิหารหลังที่ 3 ยังไม่ได้สร้าง แต่มีภาพของวิหารหลังที่ 3 ตามที่เอเสเคียล ผู้รับใช้พระเจ้าได้รับนิมิตจากพระองค์ ปรากฏในเอเสเคียล บทที่ 40-47 และใน วว 11:1 ที่ยอห์นได้รับนิมิตจากพระเจ้าเหมือนกัน
อสค 40:1-49 เอเสเคียลเห็นนิมิตพระวิหารหลังที่ 3 เป็นตัวของพระวิหาร มีรายละเอียดมากมาย
อสค 41:1-26 เป็นรายละเอียดขนาดของพระวิหาร
อสค 42:1-20 เป็นห้องปุโรหิตภายในพระวิหาร
อสค 43:1-9 พระสิริของพระเจ้าเต็มพระวิหาร
43:10-27 ระเบียบของพระวิหารและแท่นบูชา
อสค 44:1-31 งานปรนนิบัติในพระวิหารของปุโรหิต
อสค 45:1-12 การแบ่งแผ่นดินและเครื่องชั่วตวงที่เที่ยงตรง
อสค 46:1-24 การถวายเครื่องบูชาต่างๆ และวันสะบาโต มีการเตรียมวัวแดง
อสค 47:1-12 แม่น้ำแห่งชีวิตไหลออกมาจากพระวิหาร
ในปัจจุบันชาวอิสราเอลได้ตระเตรียมสิ่งต่างๆ ที่อยู่ภายในพระวิหาร เพียงแต่รอคอยการสร้างพระวิหารหลังที่ 3 มีอยู่ 3 ทฤษฎี
ทฤษฎีที่ 1 ต้องรื้อ Dome of the rock คือ สุเหร่าของศาสนาอิสลาม โดยทำสงครามระหว่างกลุ่มอิสราเอลกับชาวอาหรับ (มุสลิม) หรือเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ทำให้ Dome of the rock พังทลายไป บริเวณที่ตั้งพระวิหารทั้งหลังที่
1-3 ตั้งอยู่บนบริเวณที่อับราฮามถวายอิคอัค และที่ยาโคบนอนหลับเห็นนิมิตทูตสวรรค์ขึ้นลงระหว่างสวรรค์กับโลกมนุษย์
ในปี คศ. 1996 ประเทศอิสราเอลควบ 3,000 ปี ที่เยรูซาเล็ม นับตั้งแต่กษัตริย์ดาวิดสร้างเมืองหลวงขึ้นมา การเคลื่อนไหวในช่วงปี 2001-2003 อิสราเอลได้วางศิลามุมเอกและมีการโคลนนิ่งวัวแดงสำเร็จ
วันที่ 14/3/2005 ประเทศอิสราเอลมีการเตรียมสร้างพระวิหารหลังที่ 3
วันที่ 31/11/2009 เตรียมจะสร้างพระวิหารหลังที่ 3 ในวันที่ 16/3/2010 โดยการตอกเสาเข็ม แต่ไม่มีการสร้าง เพราะแผ่นดินอิสราเอลยังไม่สงบ มีการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ จะมีการสร้างจริงๆ ภายหลังจากการเซ็นสนธิสัญญาระหว่าง 2 ประเทศนี้ก่อน
ทฤษฎีที่ 2 สร้างพระวิหารหลังที่ 3 ข้างๆ Dome of the rock คู่ขนานกับพระวิหารหลังที่ 3 ซึ่งตรงกับวิวรณ์บทที่ 11:1-2 เข้าสู่กลียุค 7 ปี แต่อยู่ในช่วงแรกของกลียุค 3 ½ ปี
ทฤษฎีที่ 3 สร้างพระวิหารหลังที่ 3 ทางทิศเหนือ ตรงกับประตูทองคำพอดี เป็นประตูคู่ที่พระเยซูคริสต์ทรงเสด็จเข้าพระวิหารหลังที่ 2 และพระเยซูทรงตรัสกับสาวกในการสร้างพระวิหาร ใน มธ 24:15 กล่าวว่า “เหตุฉะนั้นเมื่อท่านทั้งหลายเห็นสิ่งอันน่าสะอิดสะเอียน ซึ่งกระทำให้เกิดวิบัติ ตามพระวจนะที่ตรัสโดยดาเนียลผู้เผยพระวจนะนั้น ตั้งอยู่ในสถานบริสุทธิ์ (พระวิหารหลังที่ 3)
ข้าพเจ้าคิดว่าการสร้างพระวิหารหลังที่ 3 ใกล้จะเป็นความจริง กำลังรอคอยการเซ็นสัญญาระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มปาเลสไตน์ ที่จะหยุดการต่อสู้กันและยินยอมให้อิสราเอลสร้างพระวิหารหลังที่ 3 ได้ เราควรเกี่ยวข้องด้วยการอธิษฐานเพื่อประเทศอิสราเอล คอยติดตามข่าวของอิสราเอลอย่างสม่ำเสมอ เมื่อไรที่อิสราเอลเตรียมการก่อสร้าง คำพยากรณ์ต่างๆ ทั้งในเอเสเคียล,ดาเนียล และวิวรณ์ใกล้จะสำเร็จ ด้านหนึ่งข้าพเจ้าดีใจมากที่ชนชาติอิสราเอลกลับมามีพระวิหารอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งพวกเขาได้รอคอยมาเป็นเวลานานแต่อีกด้านหนึ่งข้าพเจ้าคิดถึงเหตุการณ์ในสมัยกลียุค ที่จะมีการข่มเหงทั้งคนอิสราเอลและผู้เชื่อพระเยซูคริสต์จำนวน 33.32% ทั่วโลก (ทั้งคาทอลิกและคริสเตียน) ใกล้เข้ามา พระเยซูทรงตรัสสอนสาวกว่า “ผู้ใดทนได้จนถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอด” แต่อย่าวิตกหรือกังวล เพราะพระเจ้าทรงช่วยผู้ที่รักพระองค์ให้เกิดผลดีในที่สุด (รม 8:28)
8. ทัศนะของท่านเกี่ยวกับ “ยุคพันปี” ก่อนและหลังการศึกษา
ทัศนะของข้าพเจ้าเกี่ยวกับ “ยุคพันปี” ก่อนการศึกษาไม่เข้าใจมากนัก เพราะผู้นำคริสตจักรหรือศิษยาภิบาลไม่ค่อยได้สอนให้กับสมาชิก แต่เมื่อข้าพเจ้าได้เข้าเรียนพระคริสต์ธรรมในโรงเรียนตั้งแต่ระดับปริญญาตรี เกิดความเข้าใจขึ้นมาบ้างแต่ไม่มาก และในปี 2016 ข้าพเจ้าได้เข้าเรียนต่อระดับปริญญาโท ที่สถาบันพระคริสต์ธรรมเชียงราย ทำให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น และขอขอบคุณอาจารย์อภิรักษ์มากๆ ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรอาจารย์และครอบครัวตลอดไป
คำว่า
“พันปี” หรือ Millennium มาจากภาษาลาตินสองคำคือ Mille และ Annus แปลว่า หนึ่งพันปี หลักคำสอนนี้ถือว่าพระคริสต์จะคอยครอบครองอาณาจักรบนแผ่นดินโลกนี้เป็นเวลา 1,000 ปี
ลักษณะของยุค 1,000 ปี มีอยู่ 7 ประการคือ
1. เกี่ยวข้องกับพระคริสต์ พระองค์ทรงปรากฎในโลกนี้ในลักษณะที่เป็นบุคคลและจะประทับอยู่บนพระที่นั่งของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ และจะครอบครองทั่วแผ่นดินโลก (สดด 72:6-11 , อสย 2:2-4 , 11:1-5) ลักษณะเด่น 2 ประการของราชอาณาจักรของพระองค์ คือ สันติภาพทั่วโลก (สดด 72:7 , อสย 2:4) และความชอบธรรมทั่วสากล (อสย 11:4-5 , ยรม 23:5-6) พระเยซูจะทรงครอบครองด้วยกระบองเหล็ก (สดด 2:8-9 , วว 2:27) ซาตานจะถูกขจัดออกไปจากโลก และจะไม่หลอกลวงประชาชาติอีกต่อไป (วว 20:2-3)
2. เกี่ยวข้องกับคริสตจักร คริสตจักรจะครอบครองร่วมกับพระคริสต์ (ลก 19:16-19 , 1คร 6:2 , 2ทธ 2:12) ผู้ชอบธรรมจากสมัยพระคัมภีร์เดิมจะครอบครองร่วมกับพระองค์ด้วย และคริสตจักรจะนั่งบนพระที่นั่งร่วมกับพระองค์
(วว 3:2)
3. เกี่ยวข้องกับอิสราเอล อิสราเอลจะถูกรวบรวมไว้ (อสย 11:10-13 , ยรม 16:14-15 , 23:5-8 , 30:6-11) การก่อตั้งประเทศอิสราเอลในปาเลสไตน์ที่ผ่านมาเป็นเพียงสัญญาณบอกเหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคต จะมีการสร้างพระวิหารหลังใหม่และรื้อฟื้นการนมัสการ (อสค 37:26-28 , 40-46 , คศย 14:16-17) และอิสราเอลจะเผยแพร่ข่าวประเสริฐในชนชาติฟัง (อสย 66:19 , ศคย 8:13 , 20-23) เพราะเมื่อเริ่มต้นอาณาจักรยุคพันปีจะมีแต่ผู้ที่กลับใจแล้วเท่านั้น
4. เกี่ยวข้องกับบรรดาประชาชาติ หลังจากการพิพากษาบรรดาประชาชาติ ฝูงแกะ(ผู้เชื่อ) จะเข้าในอาณาจักร (มธ 25:34-40) พวกเขาพร้อมกับพวกอิสราเอลได้รับการฟื้นฟูและกลับใจใหม่ จะเป็นจุดเริ่มต้นของราชอาณาจักร คนต่างชาติจะขึ้นไปนมัสการพระเจ้าที่กรุงเยรูซาเล็ม เพื่อฉลองเทศกาลอยู่เพิงโดยเฉพาะเป็นประจำทุกปี (อสย 2:2-4, ศคย 14:16-19) เมื่อนั้นประชากรของพระเจ้าจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และนมัสการพระเจ้าร่วมกัน (อสย 19:23-25)
5. เกี่ยวข้องกับซาตาน ในยุคพันปีซาตานจะถูกมัดไว้และโยนลงไปในบาดาลตลอดระยะเวลาหนึ่งพันปี (วว20:1-3)
ตลอดช่วงเวลาดังกล่าวมันจะล่อลวงบรรดาประชาชาติเหมือนกับที่มันได้เคยกระทำมาก่อนนั้น และซาตานจะถูกขจัดออกจากเหตุการณ์ในโลกด้วย
6. เกี่ยวกับธรรมชาติ ลักษณะภูมิประเทศทั่วโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย (อสย 35:1-2, 55:13 , ศคย 14:4-10) ในยุคนี้มนุษย์จะมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น แต่ก็ยังต้องตาย (อสย 65:20) ความบาปจะลดน้อยลง และโรคภัยไข้เจ็บก็จะลดน้อยลงไปด้วย แต่จะไม่หายไปทั้งหมด
7. เกี่ยวข้องกับสภาพทั่วๆ ไป ยุคนี้เป็นยุคแห่งความชื่นชมยินดีและมีความสุข แผ่นดินโลกจะเต็มไปด้วยความรู้เรื่องของพระเจ้าดังน้ำปกคลุมทะเลอยู่นั้น (อสย 11:9) จะมีสัมพันธภาพอันดีทั้งในส่วนบุคคลและระหว่างบรรดาประชาชาติด้วย ความเป็นมนุษย์เหนือบรรดาสรรพสิ่งที่ทรงสร้างซึ่งได้สูญเสียไปเพราะบาปได้กลับคืนมาโดยการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์จะปรากฎเป็นจริงอีกครั้งหนึ่ง (ปฐก 1:28, 3:17-19, ฮบ 2:5-10)
สำหรับข้าพเจ้าเชื่อในทัศนะที่ว่า พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาหลังยุคพันปี (Post Millennium) ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมา สันติสุขและความชอบธรรมจะทวียิ่งขึ้นโดยการประกาศพระกิตติคุณและการตั้งคริสตจักร จะเป็นเช่นนี้อยู่นานหรืออาจเป็นเวลาถึง 1,000 ปี ตามตัวอักษร ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จกลับมา
9. ท่านคิดว่า ตรา,แตร และขัน เกี่ยวข้องอะไรกับท่าน เพราะเหตุใด ?
สำหรับตราและแตรเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้า เพราะในพระธรรมวิวรณ์บทที่ 6:1-17 และบทที่ 8:1-5 ได้พูดถึงตราทั้ง 7 ดังต่อไปนี้
ตราที่ 1 ยอห์นเห็นนิมิตท่านที่ขี่ม้าขาวตัวหนึ่งออกมา ถือธนู และได้รับพระราชทานมงกุฎ เล็งถึงผู้ช่วยจอมปลอมที่ออกทำสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1939 – 1945 AD มีผู้คนล้มตายประมาณ 60 ล้านคน โดยเฉพาะที่ประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกาได้ทิ้งระเบิดปรมาณู 2 ลูก ที่เมืองฮิโรชิมา และเมืองนางาซากิ คนญี่ปุ่นเสียชีวิตจำนวนมาก และประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรปและเอเชีย รวมทั้งประเทศไทยก็เข้าสู่สงครามไปด้วย ตรงกับ มัทธิว 24:6-7
ตราที่ 2 ท่านที่ขี่ม้าสีแดงสด และได้รับพระราชทานดาบใหญ่เล่มหนึ่ง เกิดสงครามอีกครั้งหนึ่งแต่ไม่ใช่สงครามโลก ตรงกับ มัทธิว 24:6-7
ตราที่ 3 ท่านที่ขี่ม้าสีดำและถือตราชู แสดงถึงการกันดารอาหาร ตรงกับ มัทธิว 24:7-8
ตราที่ 4 ท่านที่ขี่ม้าสีกะเลียว มีชื่อว่ามัจจุราช แสดงถึงมีผู้คนล้มตายด้วยคมดาบ เกิดสงคราม ความอดอยาก เนื่องจากกันดารอาหาร โรคระบาดและด้วยสัตว์ร้ายแห่งแผ่นดิน ตรงกับ มัทธิว 24:6-8
ตราที่ 5 ยอห์นเห็นนิมิตเป็นดวงวิญญาณใต้แท่นบูชา เป็นวิญญาณของคนทั้งหลายที่ถูกฆ่าเพราะวจนะของพระเจ้า และเพราะคำพยานที่เขายึดถือนั้น ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้ทำสงครามคือ เยอรมัน ชื่อ ฮิตเลอร์ ได้ฆ่าชาวยิวจำนวน 6 ล้านคน ด้วยการต้อนคนยิวเข้าไปในห้องแก๊สพิษ ล้มตายเป็นจำนวนมาก ตรงกับ มัทธิว 24:9 จำนวนผู้ที่เชื่อที่ถูกฆ่ายังไม่ครบจำนวน ต้องรอจนกว่าครบจำนวนก่อน
ตราที่ 6 ยอห์นได้เห็นแผ่นดินไหวใหญ่โต ดวงอาทิตย์ก็กลับมืดดำ ดวงจันทร์ก็กลายเป็นสีเลือด (Blood moon) และดวงดาวทั้งหลายในท้องฟ้าก็ตกลงบนแผ่นดิน.... (วว 6:12-17)
ตราที่ 7 ความเงียบก็ครอบคลุมสวรรค์อยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง(ประมาณ 20 ปี 9 เดือน 29 วัน 23 ชั่วโมง 42 นาที และ 43 วินาที) ในสวรรค์
สำหรับตราที่ 1 – 4 เรียกว่า จตุอาชา มีม้า 4 ตัว เป็นขบวนการก่อสงครามต่างๆ ทั้งสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 และสงครามโลกครั้งที่ 3 ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ส่วนตราที่ 1 – 5 มาจากมนุษย์ที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดขึ้นทั้งผู้เชื่อในพระเจ้าและผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้า สำหรับผู้เชื่อทั่วโลกเป็นการทดสอบความอดทนของคริสเตียน พระเยซูทรงตรัสว่า “ผู้ใดทนได้จนถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอด” เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันกำลังทวีความรุนแรงและความถี่มากขึ้น เป็นสัญญาณเตือนของพระเจ้าต่อธรรมิกชนของพระองค์ และคนที่ยังไม่เชื่อให้รีบกลับใจเสียใหม่ หันกลับมาหาพระองค์ ก่อนที่จะสายเกินไป เพราะเมื่อเสียชีวิตหรือวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมานั้นไม่มีเวลารอคอยอีกต่อไป
สำหรับแตรทั้ง 7 เป็นสัญลักษณ์การเตือนของพระเจ้าและเป็นการทำสงครามระหว่างพระเมษโปดกกับสมุนของซาตาน และเป็นหมวดภัยพิบัติที่มาจากพระเจ้าที่มาจากนอกโลก เพื่อทำลายผู้ที่ไม่เชื่อพระองค์ 1 ใน 3 ของโลก (วว 8:6-13 , 9:1-20 , 11-15)
สำหรับขันทั้ง 7 เป็นเรื่องของการพิพากษาของพระเจ้าต่อคนที่ไม่เชื่อพระองค์ (วว 16:1-21) ผู้ต่อต้านพระคริสต์ได้ออกมาล่อลวงประชาชาติทั้งหลาย แต่ในที่สุดผู้ต่อต้านพระคริสต์ถูกโยนลงไปในบึงไฟนรก แต่สำหรับคริสเตียนหรือผู้เชื่อในพระเจ้าจริงๆ ก็จะถูกรับขึ้นไปอยู่กับพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องอยู่ในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากลำบากอย่างสาหัสสุดๆ
ดังนั้นข้าพเจ้าต้องปลุกใจตนเองอยู่เสมอว่า “อย่าลืมพระคุณความรักของพระเยซูคริสต์ ระลึกถึงคำสั่งสอนของพระองค์อยู่เสมอด้วยการติดสนิทกับพระองค์ทุกๆ วัน ดำเนินชีวิตตามพระคำของพระองค์และไม่ยอมรับการฝังชิฟที่มือขวาหรือหน้าผาก เมื่อถึงช่วงเวลาแห่งกลียุคมาถึง เพราะมารซาตานจะบังคับให้คนทั้งโลกฝังชิฟทุกคน คนที่ไม่ยอมทำตามซื้อขายกันไม่ได้ ในเวลานั้นขอพระเจ้าทรงช่วยชีวิตคริสเตียนทั่วโลกไม่ถูกล่อลวง และต้องมีความอดทนมากๆ เพื่อสามารถผ่านวิกฤตในครั้งนั้นได้ และพระเจ้าทรงช่วยป้องกันภัยอันตรายต่างๆ ให้กับธรรมมิกชนของพระองค์อย่างแน่นอน หรือพระองค์ทรงรับคนของพระองค์ไป
10. ท่านคิดว่าท่านจะได้ไปอยู่ในยุคพันปีหรือไม่ อย่างไร
ข้าพเจ้าไม่ทราบเหตุการณ์ในอนาคตเป็นอย่างไร แต่ขึ้นอยู่กับตัวของข้าพเจ้าอย่าทรยศต่อพระเยซูเหมือนอย่าง ยูดา อิชคาริโอท คือ การปฏิเสธหรือเพิกเฉยต่อพระคุณของพระองค์ ผลลัพธ์ก็คืออยู่ในบึงไฟนรกอย่างแน่นอน ข้าพเจ้าจะมีชีวิตอยู่จนถึงวันนั้นหรือไม่ หรืออาจจะเสียชีวิตก่อนก็ได้ ข้าพเจ้าเชื่ออย่างแน่นอนว่าพระเจ้าทรงกำหนดชีวิตของข้าพเจ้าไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ข้าพเจ้าไม่วิตกกังวลใดๆ ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังมีความเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์จนถึงวาระสุดท้ายชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามั่นใจว่าจะได้อยู่ในยุคพันปีอย่างแน่นอน เพราะพระเยซูทรงสัญญาไว้แล้ว (ยน 3:16 , 11:25 , 17:3 , 20:31 , กิจการ 11:18 , 1ยน 5:12) พระเจ้าประทานชีวิตนิรันดร์เฉพาะคนที่กลับใจจากความบาปของเขา และมอบชีวิตไว้กับพระองค์โดยความเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์เจ้า เป็นชีวิตที่สมบูรณ์ดีเลิศเต็มไปด้วยสง่าราศีและความสุข ซึ่งจะดำรงอยู่สืบๆไปเป็นนิตย์ (มธ 25:46 , ยฮ 5:28-29 , 6:40 , รม 2:7 , 6:22)
ชีวิตของผู้เชื่อที่พระเจ้าทรงพอพระทัย คือ
1. มีความเชื่อและไว้วางใจในพระเยซูคริสต์ตลอดไป ไม่ว่าสถานการณ์ของชีวิตหรือทางโลกจะเป็นอย่างไร อย่าหวั่นไหว อย่าตกใจหรือมีความหวาดกลัวต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น
2. รักษาชีวิตให้บริสุทธิ์โดยไม่ทำบาป ถ้าพลั้งเผลอไปให้รีบสารภาพบาปต่อพระองค์ทันที และไม่กระทำอีกต่อไป เพราะพระองค์ทรงรักเราและให้อภัยทุกครั้งที่สารภาพบาป (1ยน 1:9)
3. อย่ามีรูปเคารพในจิตใจแทนที่พระเจ้า ต้องให้พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวในชีวิตจริงๆ
4. รับใช้พระองค์ด้วยความสัตย์ซื่อ ด้วยความเต็มใจ ด้วยความจงรักภักดีต่อพระองค์ โดยไม่เห็นแก่อามิสสินจ้างหรือมีผลประโยชน์แอบแฝงอยู่ ประกาศพระกิตติคุณของพระเยซูและเป็นพยานทั้งชีวิต (แบบอย่างที่ดี) และเป็นพยานทั้งคำพูดด้วย เพื่อนำคนหลงหายกลับมาหาพระเจ้า
5. อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ปัจจุบันนี้มีผู้รับใช้ของพระเจ้าถูกมารซาตานหลอกให้หลงออกมาจากทางของพระเจ้า (1ยน 2:15-17)
6. อย่าฝังชิฟที่มือขวาหรือที่หน้าผาก เพราะเป็นเครื่องหมายของมารซาตาน (วว 13:16-18)
พระประสงค์ของพระเยซูคริสต์ในการเสด็จกลับมายังแผ่นดินโลกอีกครั้งหนึ่งในยุคพันปีนั้นก็เพื่อสถาปนาอาณาจักรของพระองค์ (มธ 25:31-46 , ลก 19:12-15 , วว 19:11-20:6) พระเยซูได้เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ และบัดนี้ทรงประทับอยู่กับพระบิดาบนพระที่นั่งของพระองค์ แต่วันหนึ่งพระคริสต์จะประทับบนบัลลังก์ของพระองค์เอง (มธ 19:28,25:31,วว 3:21)
พวกสาวกรอคอยราชอาณาจักรเช่นนั้น พระเยซูคริสต์ปฏิเสธไม่ยอมบอกพวกเขาถึงกำหนดเวลาที่จะตั้งราชอาณาจักรขึ้น แต่พระองค์ไม่เคยตำหนิพวกเขา (กจ 1:6) นอกจากนั้นพระองค์ยังกล่าวกับพวกสาวกเป็นนัยๆ ว่าความหวังนั้นจะเป็นจริง เมื่อทรงกล่าวว่าพระบิดาได้ทรงจัดเตรียมตำแหน่งต่างๆ ไว้ให้สำหรับแต่ละคนแล้ว (มธ 20:20-24) อ.เปาโล สอนชาวเธสะโลนิกาว่า พระคริสต์จะมาเป็นกษัตริย์ครอบครองราชย์อาณาจักรในโลกนี้ และยอห์นพยากรณ์และบ่งชี้ถึงการเสด็จมาของพระคริสต์ว่าทรงมีเป้าหมายที่จะตั้งราชอาณาจักรนี้ขึ้น (วว 19:11-20:6)
รายงานนี้อยู่ในวิชา
“อวสานศาสตร์ และอนาคตศาสตร์”
สอนโดย
อาจารย์ อภิรักษ์ สอนพรินทร์
ผู้ทำรายงาน โดย
วิไลลักษณ์ กิตติคุณ
นักศึกษาปริญญาโท ปีที่ 2
สถาบันพระคริสต์ธรรมเชียงราย
ส่งเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2016