ค้นหาข้อมูลจากบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2561

ภาพดาวินชี ไม่ได้ซ่อนรหัสลับ?

ใครที่เรียนรู้จักศิลปะในยุคเรอเนสซองต์จะทราบดีว่า ภาพวาดของลีโอนาร์โด ดาวินชี ได้วาดตามแบบสมัยนิยมของยุคนั้นที่ใครๆ เขาก็วาดกัน โดยไม่ได้ซ่อนรหัสลับอะไร มีเพียงเทคนิคการใช้สีเท่านั้นที่แตกต่างจากคนอื่น อีกทั้งยังมีผลงานอื่นๆ ที่โดดเด่นกว่า จึงทำให้ผลงานหลายชิ้นของเขาเป็นที่น่าจับตา


ลองเปรียบเทียบผลงานภาพวาด The Last Supper ภาพอื่นๆ ดูนะครับ จะเห็นว่า มีแนวทางเหมือนๆ กัน





ทฤษฎีสมคบคิดได้โยงเรื่องราวต่างๆ มาผสมปนเปจนทำให้ภาพวาดของเขากลายเป็นประเด็นขึ้นมาว่า เขาวาดภาพผู้หญิง (มารีย์ชาวมักดาลา) เข้าไปในภาพ




สรุปได้ว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นจนเป็นหนังที่สร้างมาจากนิยาย หรือที่มาจากข้อสงสัยไปเอง มโนไปเองของนักประวัติศาสตร์สารคดี

คริสเตียนที่มีความเชื่อมั่นคง ก็คงยืนหยัดความเชื่อของตนได้โดยไม่แคร์ข้อมูลเทียม แต่ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น ควรมีข้อมูลที่แก้ลำหรือโต้แย้งได้อย่างมีภูมิรู้ ไม่ได้เชื่อแบบงมงาย

ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ

Natthanan Sonprint เขียน

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2561

สวนเอเดนอยู่ที่ไหน?

สวนเอนเดนอยู่ที่ไหน?  เป็นคำถามที่ผู้คนมากมายหลายชาติอยากรู้อยากเห็น  เพราะในปัจจุบันไม่มีหลักฐานให้พอที่จะทราบได้อย่างชัดเจน  เราจึงต้องใช้วิธีค้นคว้า  และสันนิษฐานจากข้อมูลที่มีอยู่  สวนเอเดนนั้นถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์จากพระธรรมปฐมกาล  เราจะมาค้นหาสวนเอเดนด้วยกัน
พระธรรมปฐมกาลจัดเป็นหนังสือเล่มแรกของพระคัมภีร์  มีความเชื่อสืบต่อกันมาว่าเขียนโดย “โมเสส”  แต่ในปัจจุบันได้มีความเชื่อใหม่ ๆ ว่าเป็นงานเขียนของผู้แต่งในช่วงเวลาแตกต่างกัน  แม้ว่าความเชื่อส่วนใหญ่ที่สืบต่อกันมานั้นจะเกิดในช่วงไม่ห่างจากในสมัยของโมเสสมากนัก..

พระธรรมปฐมกาลคล้ายกับบทละครที่ยิ่งใหญ่  โดยเริ่มต้นจากพระเจ้าทรงสร้างโลก และมนุษย์  ซึ่งเป็นสุดยอดของสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง

การทรงสร้าง
ในบทแรกกล่วถึงการทรงสร้าง  การเริ่มต้นของสรรพสิ่ง  คำพูดเปรียบดังบทกวีที่ยิ่งใหญ่  “ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้า และแผ่นดิน  แผ่นดินก็ว่างเปล่า  ความมืดอยู่เหนือน้ำ..” (ปฐก.1:1-2)  การสร้างนั้นเกิดขึ้นภายใน 6 วัน  มีการกระทำอยู่ 8 อย่าง  แต่ละอย่างเริ่มต้นด้วยคำว่า “และพระเจ้าตรัสว่า...  วันที่ 1 แสงสว่าง และความมืด  วันและคืน วันที่ 2 ท้องฟ้า  วันที่ 3 พื้นดินแห้ง และทะเลต้นไม้ และพืชผัก  วันที่ 4 ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว  ฤดู วัน ปี วันที่ 5 สัตว์ในทะเล  และนกในอากาศ  วันที่ 6 สัตว์ และมนุษย์   วันที่ 7 การทรงสร้างเสร็จสิ้นพระเจ้าทรงพักผ่อน

ปฐมกาลไม่ใช่วิทยานิพนธ์ เรื่องธรณีวิทยา  ชีววิทยา หรือศาสตร์แขนงอื่น ๆ ไม่ได้บอกว่าการทรงสร้างเกิดขึ้นเมื่อใด  และไม่ได้บรรยายโดยละเอียด  ไม่ได้บอกว่าใช้เวลายาวนานเท่าใด  “วัน” อาจเป็นช่วงเวลาหนึ่ง  มีนักวิชาการพระคัมภีร์  ตั้งข้องสังเกตจากพระธรรม 2 เปโตร 3:8 ที่ว่า “...คือวันเดียวของพระเจ้าเป็นเหมือนกับพันปีและพันปีก็เป้นเหมือนกับวันเดียว...”  น่าจะเป็นไปได้ว่า  แต่ะลวันในการทรงสร้างนั้นก็กินเวลาเท่ากับพันปีของมนุษย์  นั่นก็หมายความว่า โลกเรานี้ใช้เวลาสร้างถึง 7,000 ปีมนุษย์  ซึ่งถ้าจะเปรียบเทียบวิวัฒนาการของนักวิทยาศาสตร์แล้วก็น่าสนใจ  เพราะในช่วงประมาณ 50,000 ปี  มีการเคลื่อนไหวของแผ่นดินโลก (ที่นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมุติฐานเอาไว้) โดยมีความเชื่อว่าแผ่นดินโลกของเรานั้นเป็นผืนเดียวกัน


และถ้าเราสังเกตดูในแต่ละวันของการทรงสร้างจะพบว่าทุกอย่างมีความสัมพันธ์กันทังหมดคือ  มีความสว่าง - มีท้องฟ้า - พื้นดินแห้งและทะเล - เกิดต้นไม้และพืชผัก  ตามที่เราเคยเรียนวิทยาศาสตร์ในสมัยที่เป็นเด็ก  ก็ทราบมาว่าพืชพรรณธัญญาหารต่าง ๆ ได้สารอาหารมาจากดิน และปรุงอาหารโดยแสงแดด  ผลิตออกซิเจนให้แก่โลก  มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ทำให้เกิดฤดูกาล  -  มีสัตว์ทะในทะเล  และนกในอากาศ  - สัตว์บก  และมนุษย์  สรุปสุดท้ายมนุษย์ครอบครองโลก  ตามคำอวยพรของพระเจ้า  ซึ่งคนที่ไม่รู้จักพระคัมภีร์  ไม่รู้เรื่องการสร้างโลก  ก็พอจะรู้ได้ว่ามนุษย์นี่ครอบครองทุกอย่าง  เช่น  สิงโต  หรือเสือที่ว่าดุร้ายยังจับมาเล่นละครสัตว์ได้  ช้างว่าตัวใหญ่  ยังเอามาลากซุง และโดยสัญชาติญาณของสัตว์ทุกชนิด ก็กลัวมนุษย์  ถ้าดูแผนภาพประกอบก็จะพบว่ามนุษย์คือผู้บริโภคคนสุดท้าย

มนุษย์เรานี่บริโภคทุกอย่างเลย..  จริงๆ แล้วผู้เขียนปฐมกาลไม่ได้มีความหมายที่จะเขียนถึงประวัติการทางสร้าง เพราะมีเพียงบทเดียวเท่านั้นที่พูดถึงเรื่องนี้ และเกือบทั้งเล่ม  จะพูดถึงประวัติศาสตร์ของครอบครัวที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้

สวนเอเดนในพระคัมภีร์ (ปฐก. 2:4-14) 
“ในวันที่พระเจ้าทรงสร้างแผ่นดิน  และฟ้าสวรรค์  ต้นไม้ตามทุ่งนายังไม่เกิดขึ้นบนแผ่นดิน  และพืชตามทุ่งนาก็ยังไม่งอกขึ้นเลย   เพราะพระเจ้ายังมิได้ทรงทำให้ฝนตกบนแผ่นดิน ทั้งยังไม่มีมนุษย์ที่จะทำไร่ไถนา  แต่มีน้ำพลุ่งขึ้นมาจากแผ่นดิน  ทำให้พื้นดินเปียกทั่วไป  พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน  ระบายลมปราณเข้าทางจมูก  มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต  พระเจ้าทรงปลูกสวนแห่งหนึ่งไว้ที่เอเดน  ทางทิศตะวันออก  และทรงให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงปั้นมานั้นอยู่ที่นั่น ..มีแม่น้ำสายหนึ่งไหลจากเอเดนรดสวนนั้น  จากที่นั่นก็แยกออกเป็นสี่สาย  ชื่อแม่น้ำสายที่หนึ่งคือ  ปิโชน (Pishon)   เป็นแม่น้ำที่ไหลรอบแผ่นดินฮาวิลาห์  ที่นั่นมีแร่ทองคำ  ทองคำที่เมืองนั้นเป็นทองคำเนื้อดี  และมียางไม้ตะคร่ำ และโมรา  ชื่อแม่น้ำสายที่สองคือ  กิโฮน (Gihon)  ไหลรอบแผ่นดินคูช  ชื่อแม่น้ำสายที่สามคือ ไทกรีส (Tigris) ไหลไปทางทิศตะวันออกของเมืองอัสซีเรีย  และแม่น้ำที่สี่ชื่อ ยูเฟรติส (Euphrates) ข้อความตอนนี้จากพระคัมภีร์ทำให้เรารู้ว่าสวนเอเดนนั้นเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำ 4 สายคือ
          1. ปิโชน (Pishon)
          2. กิโฮน (Gihon)
          3. ไทกริส (Tigris)
          4. ยูเฟรตีส(Euphrates)

แผนที่จากพระคัมภีร์ฉบับภาษาไทย แสดงให้เห็นแม่น้ำเพียง 2 สาย คือ ไทกริส กับยูเฟรติส เท่านั้น

แต่จนแล้วจนรอดก็หาสวนไม่พบ  ซึ่งไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ศึกษาพระคัมภีร์  ตลอดจนนักโบราณคดีมากมายต่างก็ค้นหาความจริงว่า  สวนเอเดนนั้นอยู่ที่ไหน  เพราะในบริเวณนั้นคือดินแดนที่ขึ้นชื่อมาแต่โบราณว่า ซูเมอร์ (Sumer) และก้มีแต่แม่น้ำไทกรีส และยูเฟรตีสเพียง 2 สายเท่านั้นที่ไหลลงอ่าวอาระเบีย  ต่างก็มีต้นน้ำแยกจากกันไม่ได้รวมกัน  (ถ้าท่านผู้อ่านเปิดพระคัมภีร์ของท่านแล้วดูที่แผนที่ด้านปกหน้าที่เป็นแผนที่ประเทศต่าง ๆ ที่อับราฮัมท่องเที่ยวไปถึง ก็ไม่มีแม่น้ำปิโชนและกิโฮน  มีแต่ไทกรีส และยูเฟรตีส) แล้วแม่น้ำปิโชนและกิโฮนอยู่ที่ไหนกันหล่ะ  และพื้นที่ที่ควรจะเป็นที่ตั้งของสวนเอเดนจะอยู่ส่วนไหน  มันสูญหายไปตอนน้ำท่วมโลกสมัยโนอาห์หรือเปล่า  นักค้นคว้าบางท่านสรุปว่า  สวนเอเดนควรจะอยู่ที่ประเทศตุรกี  เพราะลุ่มแม่น้ำไทกรีสและยูเฟรตีสนั้นไม่มีภูเขาสูงเลย  ไม่งั้นเรือของโนอาห์จะลอยไปเกยตื้นอยู่บนยอดเขาอารารัตหรือ  ดังนั้นการค้นหาสวนก็ยังเป็นปริศนาอยู่โดยยังไม่มีใครค้นพบ

และเรื่องราวของความอุดมสมบูรณ์นั้น  เราก็คงนึกถึงแต่ดินแดนที่เขียวชอุ่มไปด้วยพืช  และสัตว์เต็มท้องทุ่ง  แต่ในปัจจุบันไหงกลายเป็นทะเลทรายไปได้ ใน ปี 1611 ได้มีการแปลพระคัมภีร์ฉบับกษัตริย์เจมส์ (King James Version) กล่าวว่าดินแดนคูช หรือ คูธ (Cush) คือบริเวณที่แม่น้ำกิโฮนที่อ้างถึงไหลเวียนอยู่ในเอธิโอเปีย (And the name of the second river is Gihon : the same is it  that compasseth the whole land of Ethiopia) จึงทำให้บรรดานักค้นคว้าหลงไปค้นหาสวนเอเดนถึงอัฟฟริกาโน่นแนะ

กาลเวลานับพันปีน่าจะทำให้ภูมิประเทศเปลี่ยนไป  พระคัมภีร์ฉบับ Today's English Version  ให้คำอธิบายว่า คูช (Cush) คือดินแดนของเมโสโปเตเมีย (Mosopotamia) หรือบาบิโลน (Babylonia)

มีนิยายและตำนานเล่าขานกันต่อมา   ซึ่งพบว่ามีความเหมือนกันกับพระคัมภีร์อยู่ 2 เรื่องคือ เรื่องฟ้าสวรรค์  และแผ่นดินโลกมีการแบ่งแยกกันอีกเรื่องคือมนุษย์ถูกสร้างมาจากดิน

สวนเอเดนตามตำนานโบราณของพวกชูเมอร์ (Sumer)
แผ่นจารึกได้บันทึกการสร้างของ
เทพเจ้าแห่งน้ำ "เอ็นไก" เป็นตำนานของชาวซูเมอร์
ตำนานของสวนเอเดนเก่าแก่มากประมาณอายุไม่ต่ำกว่า 3,000 ปีก่อนคริสตกาล ถ้าสวนยังอยู่  และอาจสาปสูยไป เพราะอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปของแผ่นดินในแถบนี้  ระยะการเปลี่ยนแปลงของแผ่นดินนั้นกล่าวกันว่า ในพื้นที่แคบ ๆ ของดินแดนตะวันออกของทะเลเมดิเตอรเรเนียนและทะเลอีเจี้ยนน้ำแข็งเคยจับหนาในเขตยูเรเซีย (Eurasia)  แห้งตลอดถึงช่องแคบเฮอร์มุช  ซึ่งทำให้แม่น้ำโบราณมีสภาพดุจการทดน้ำ และกระแสน้ำไม่ได้ไหลดุจดังในสภาวะปัจจุบัน  แต่ดินแดนสวนเอเดนนั้น  จะถือกำหนดเกิดขึ้นมาตอนใด  แล้วทำไมดินแดนที่อุดมสมบูรณ์จึงหายไป  ทำให้ชนที่อาศัยอยู่ไปตั้งหลักแหล่งอยู่ ณ ลุ่มแม่น้ำสินธุ  ตอนนี้เราพอจะรู้จากพระคัมภีร์ได้ว่าหลังจากที่อาดัม  และเอวาได้ทำบาปด้วยการไม่เชื่อฟัง  แล้วก็ถูกขับไล่ออกจากสวนเอเดนให้ไปทำไร่ไถนาในที่ดินที่ตัวถือกำเนิดมานั้น .. และทรงตั้งพวกเครูบ (ทูตสวรรค์จำพวกหนึ่ง) ทางทิศตะวันออกของสวนเอเดน  และตั้งกระบี่เพลิงที่หมุนได้รอบทิศไว้เฝ้าทางที่จะเข้าไปสู่ต้นไม้แห่งชีวิต (ดู ปฐก. 3:23-24)

นอกจากนั้นก็มีร่องรอยทางภาษา  เพราะคำจารึกในแผ่นคูนิฟอร์ม (Cuneiform)  มีคำว่า   เอเดน  หรือ อีดิน (Edin)  ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในแผ่นดินซูเมอร์  อายุราวประมาณ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล  มีการกล่าวถึงวัฒนธรรมของยูเบต (Ubaid) ซึ่งมีคำพูดของพวกซูเมอเรียน (Sumerians) ที่เรียกสวนเอเดนง่ายๆ “ที่ราบแห่งความอุดมสมบูรณ์”

มีการเอาตำนานโบราณชื่อ “มหากาพย์อาทราคาซีส” มาเปรียบเทียบกับพระคัมภีร์ปฐมกาลว่า คล้ายกับปฐมกาลมาก  จารึกโบราณของพวกซูเมอรเรียนได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับน้ำท่วมโลกเอาไว้ด้วย  นักวิชาการได้พบเรื่องน้ำท่วมโลกจาก “มหากาพย์กิลกาเมช” (Gilgamesh) เรื่องมีอยู่ว่า  มีผู้กล้าที่ผูกพันกับนิยายงูใหญ่  ซึ่งต้นไม้ที่ว่านี้ก็คือต้นไม้ที่อยู่กลางสวนเอเดน  ที่มีกระบี่เพลิงเฝ้าไว้ (ดู ปฐก. 3:24)  เขาต้องไปยังที่ต่ำ  จากซูเมอร์ไปสู่พื้นที่ของอ่าวเพื่อที่จะค้นหาต้นไม้นั้นเพื่อทำให้ตนเองเป็นอมตะ  ซึ่งก็หาไม่พบ  สรุปความได้ว่ามนุษย์ไม่ควรหวังว่าจะมีความเป็นอมตะ  แต่ก็มีมนุษย์คนหนึ่งที่ได้รับความอมตะคือโนอาห์แห่งบาบิโลน  เรื่องราวนี้เป็นตอนหนึ่งของประวัติศาตร์มนุษยชาติของบาบิโลน


สวนเอเดนจากภาพถ่ายดาวเทียม
มีนักโบราณคดีท่านหนึ่ง  ผู้ไม่ยอมแพ้การค้นคว้าเรื่องสวนเอเดน  ท่านคือ ดร.จูลิส ซารีน  แห่งมหาวิทยาลัยเซาท์เวสมิซซูรี่  ซึ่งท่านมีความเชื่อว่ามันจะต้องมีอยู่จริง  ท่านได้พากเพียรค้นหามา 7 ปี  ถึงขนาดขอความช่วยเหลือจากดาวเทียม  โดยวิธีถ่ายภาพทางอากาศบริเวณประเทศอิรักต่อกับประเทศอิหร่าน  ตอนก้นอ่าวเปอร์เซีย

ดร.ซารีน  เชื่อว่าในครั้งนั้นดินแดนแถบนี้จะต้องถูกน้ำท่วมและผู้คนถอยหนีน้ำไปรวมกันแล้วเกิดเมืองชื่อ “อีริดู (Eridu)” และ “เมืองเออร์ (Ur)”  ที่ซี่งอับราฮัมอยู่มาก่อนเดินทางไปคานาอัน  และพบซากเมืองอยู่ก้นทะเลคูเวตที่เรียกกันว่า “เมืองยูเบเดียน (Ubaidian)”

จากการถ่ายภาพจากดาวเทียมทำให้เราทราบว่ามีร่องรอยของแม่น้ำโบราณปิโซนที่แห้งขอดไปแล้วทอดยาวไปทางอาระเบีย  ซึ่งจากจารึกโบราณของซาอุดิอาราเบียและคูเวตเรียกว่า “วาดีริมาห์ และวาดี  บาติน (Wadi Rimah and Wadi Batin)” ตรงกับที่พระคัมภีร์กล่าวเอาไว้

ภาพถ่ายดาวเทียมทำให้มองเห็นแม่น้ำอีกสองสาย
ส่วนแม่น้ำกิโฮน  ก็ไหลอยู่ทางเหนือของอ่าวเปอร์เซีย  มองจากดาวเทียมแลนท์แซทเห็นได้เหมือนกัน  มีอีกชื่อหนึ่งว่า “การัน (Karun)” เป็นอันครบทั้ง 4 สาย  แต่เรื่องยังไม่จบเพราะว่าแม่น้ำทั้งสี่ไหลลงอ่าวเปอร์เซีย  แต่พระคัมภีร์บอกว่าน้ำมาจากสวนเอเดนไหลลงสู่แม่น้ำ 4 สายกลับเป็นตรงกันข้าม  ซึ่งเรื่องนี้ผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีร์  อิบราฮิม สไปเซอร์ ได้ให้คำอธิบายซึ่งช่วยให้เราเข้าใจได้มากทีเดียว  เพราะว่าในสมัยนั้นเมื่อครั้งที่อ่าวเปอร์เซียนยังแห้งมาถึงช่องแคบเฮอร์มุช  บรรดากระแสน้ำจะต้องไหลย้อนออกจากบริเวณสวนในบางปี

บริเวณนี้น่าจะเคยเป็นที่ตั้งของสวนเอเดนมาก่อน
ก็เป็นอันพอจะสรุปจากพระคัมภีร์  จากตำนานคูนิฟอร์มของพวกซูเมอเรียน  และภาพถ่ายดาวเทียมได้ว่าสวนเอเดนนั้นเคยอยู่ที่ไหน  คงเป็นที่พอใจทุกท่านนะครับ

ข้อมูลจากหนังสือ เรียนรู้อดีต ลิขิตอนาคต



วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2561

เปโตร-เปตรา


จากหนังสือ มัทธิว บทที่ 16 ข้อ 18 เราบอกท่านว่าท่านคือเปโตรภาษากรีกคือ เปตรอส และบนศิลาภาษากรีกคือ เปตรา นี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้และพลังแห่งความตายพลังแห่งความตาย ภาษากรีกแปลตรงตัวว่า บรรดาประตูของแดนคนตายจะมีชัยต่อคริสตจักรไม่ได้

18κἀγὼ δέ σοι λέγω ὅτι σὺ εἶ Πέτρος, καὶ ἐπὶ ταύτῃ τῇ πέτρᾳ οἰκοδομήσω μου τὴν ἐκκλησίαν, καὶ πύλαι ᾅδου οὐ κατισχύσουσιν αὐτῆς.

คำว่า เปตรา ที่พระเยซูกล่าวถึง อ้างอิงถึงสถานที่แห่งนี้ด้วย! เปตรา นครแห่งศิลา

เปตรา (จากภาษากรีก πέτρα แปลว่าหิน ภาษาอารบิก البتراء) คือนครแห่งภาพแกะสลักโบราณที่ซ่อนตัวอย่างลึกลับในหุบเขาวาดี มูซา หุบเขาที่ตั้งอยู่ระหว่างทะเลเดดซีกับอ่าวอะคาบาในประเทศจอร์เดน นครนี้แต่เดิมนั้นเป็นนครแห่งการค้าขนาดใหญ่ ซึ่งต่อมาถูกละทิ้งเป็นเวลานานกว่า 700 ปี จนเมื่อมีนักสำรวจชาวสวิตเซอร์แลนด์ โยฮันน์ ลุควิก บวร์กฮาร์ท เดินทางผ่านมาพบเห็นเข้าเมื่อปี ค.ศ. 1812

CR : https://th.wikipedia.org/wiki/เปตรา










วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2561

ทัวร์ 2 ประเทศ อิสราเอล-จอร์แดน 29 พค. - 4 มิย. 18

โปรแกรมทัวร์ออกแล้วครับ พร้อมแผนการเดินทาง ท่านใดสนใจสมัครด่วน เพราะเวลาทำเอกสารเหลือน้อยแล้ว







วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2561

กำเนิดคณะเพนเทคอสต์

การบรรยายพิเศษเรื่อง "กำเนิดคณะเพนเทคอสต์"
เป็นการเล่าความผ่านปีประวัติศาสตร์ในช่วง 100 กว่าปีที่ผ่านมา โดยเริ่มต้นตั้งแต่ปี 1901-จวบจนปัจจุบัน
เป็นลิงก์มาจากเพจ https://www.facebook.com/SophiaMedia/


วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2561