ค้นหาข้อมูลจากบล็อกนี้

วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2568

พระเยซูคริสต์ สิงโตแห่งเผ่ายูดาห์

พระเยซูคริสต์ – สิงโตแห่งเผ่ายูดาห์

ข้อพระคัมภีร์: วิวรณ์ 5:5

ประเด็นหลัก: พระเยซูทรงเป็นความสำเร็จสูงสุดของคำพยากรณ์จากยูดาห์

ประยุกต์ใช้: ยอมรับพระเยซูเป็นกษัตริย์ฝ่ายวิญญาณผู้ทรงมีชัยเหนือบาป ความตาย และศัตรูฝ่ายวิญญาณ



พระเยซูคริสต์ – สิงโตแห่งเผ่ายูดาห์ วิวรณ์ บทที่ 5 ข้อ 5
    
    ในวิวรณ์ ยอห์นได้เห็นภาพสวรรค์ที่ไม่มีใครคู่ควรเปิดม้วนหนังสือและแกะตราประทับได้ นอกจาก “สิงโตแห่งเผ่ายูดาห์ เชื้อสายของดาวิด” ตำแหน่งนี้เป็นการรวมคำพยากรณ์ทั้งพระคัมภีร์เดิมเข้าไว้ในองค์พระเยซูคริสต์

    หากเราย้อนกลับไปในปฐมกาล บทที่ 49 ข้อ 9 ถึง 10 ยาโคบอวยพรยูดาห์ว่า ยูดาห์เปรียบเหมือนสิงโต และคทาจะไม่พรากไปจากเขา นี่คือการพยากรณ์ถึงสายกษัตริย์ที่นำไปสู่ดาวิด และในที่สุดถึงพระคริสต์ พระเยซูทรงเป็น “บุตรของดาวิด” ตามคำสัญญา ใน 2 ซามูเอล บทที่ 7 และทรงเป็นผู้ทำให้พันธสัญญานั้นสำเร็จโดยสิ้นเชิง พระองค์ไม่ได้เป็นเพียงกษัตริย์ของอิสราเอลฝ่ายโลก แต่ทรงเป็นกษัตริย์ฝ่ายวิญญาณผู้ครอบครองตลอดไป

    คำว่า “สิงโต” สื่อถึงอำนาจ ความสูงส่ง และชัยชนะ แต่ความลึกซึ้งอยู่ที่ วิธีการที่พระคริสต์ทรงได้รับชัยชนะ พระองค์ทรงชนะไม่ใช่ด้วยอำนาจทางทหารหรือการเมือง แต่ด้วยไม้กางเขนและการคืนพระชนม์ พระเมษโปดกผู้ถูกฆ่า คือวิถีแห่งชัยชนะของสิงโตแห่งยูดาห์ นี่คือความขัดแย้งที่เป็นหัวใจของพระกิตติคุณ – พระคริสต์ทรงชนะด้วยการสละพระชนม์ ฟิลิปปี บทที่ 2 ข้อ 6 ถึง 11)

    ในเชิงศาสนาศาสตร์แล้ว นี่หมายความว่า พระเยซูคือจุดสูงสุดของการเปิดเผยจากพระเจ้า พระองค์ทรงรวมความยุติธรรมและความเมตตาไว้ด้วยกัน ทรงสำแดงฤทธิ์อำนาจของสิงโต แต่ก็ทรงเป็นพระเมษโปดกที่อ่อนน้อม พระองค์ทรงมีชัยชนะเหนือบาป ความตาย และศัตรูฝ่ายวิญญาณ ไม่เพียงเพื่อพระองค์เอง แต่เพื่อผู้ที่เชื่อทุกคน

    ดังนั้น การประยุกต์ใช้สำหรับเรา คือการยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นกษัตริย์ฝ่ายวิญญาณ ยอมอยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์ และมีส่วนในชัยชนะของพระองค์ ชีวิตของเราจึงไม่ถูกนิยามด้วยความพ่ายแพ้ แต่ด้วยการเป็นผู้ชนะในพระคริสต์ (โรม บทที่ 8 ข้อ 37)










วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2568

เศฟันยาห์ ผู้ประกาศการฟื้นฟู

เศฟันยาห์ – ผู้ประกาศการฟื้นฟู
ข้อพระคัมภีร์: เศฟันยาห์ 3:14–20
ประเด็นหลัก: เศฟันยาห์จากยูดาห์ เป็นผู้พยากรณ์ถึงวันแห่งพระเจ้าและการกลับคืน
ประยุกต์ใช้: เป็นผู้พูดถ้อยคำแห่งการปลุกจิตวิญญาณ ให้ผู้อื่นกลับสู่พระเจ้า


เศฟันยาห์ – ผู้ประกาศการฟื้นฟู

    เศฟันยาห์ เป็นผู้เผยพระวจนะในแผ่นดินยูดาห์ในรัชสมัยกษัตริย์โยสิยาห์ ช่วงเวลาที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยการกราบไหว้รูปเคารพและความบาป พระเจ้าทรงเรียกเขาให้ยืนขึ้นเป็นปากเสียง เพื่อเตือนประชากรเกี่ยวกับ “วันแห่งพระเจ้า” วันที่การพิพากษาจะมาถึงทุกชนชาติ เศฟันยาห์เป็นผู้เผยพระวจนะที่กล้าหาญ แม้ต้องพูดถ้อยคำที่แข็งกร้าวต่อชนชาติของตนเอง แต่หัวใจแท้จริงของเขามิได้หยุดอยู่ที่การลงโทษ หากแต่มุ่งไปยัง “ความหวังในการฟื้นฟู” ที่มาจากพระเจ้า

    ในบทที่ 3 ของคำพยากรณ์ ข้อ 14–20 เศฟันยาห์ประกาศถึงข่าวดีแก่เยรูซาเล็มว่า จงเปล่งเสียงยินดีเถิด เพราะพระเจ้าจะทรงอยู่ท่ามกลางพวกเขา พระองค์ทรงเป็นวีรบุรุษผู้ช่วยกู้ จะเปี่ยมด้วยความรัก และจะทรงเปลี่ยนความอับอายให้กลายเป็นเกียรติยศ เศฟันยาห์ชี้ให้เห็นว่าหลังจากการพิพากษาแล้ว พระเจ้าทรงมีแผนแห่งการไถ่และการฟื้นฟู เพื่อรวบรวมประชากรของพระองค์กลับมา และให้พวกเขาได้ชื่นชมยินดีในความรอด

    ชีวประวัติของเศฟันยาห์จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของผู้เผยพระวจนะคนหนึ่ง แต่เป็นเครื่องเตือนใจเราว่า พระเจ้าทรงเรียกผู้รับใช้ของพระองค์ให้พูดความจริงอย่างตรงไปตรงมา เพื่อปลุกประชากรให้ตื่นจากความเฉยชา และหันกลับสู่พระองค์ ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียงมากมาย เศฟันยาห์เป็นแบบอย่างของการเป็นผู้ประกาศถ้อยคำที่ปลุกจิตวิญญาณ เป็นเสียงที่นำผู้คนจากความมืดสู่ความหวัง

    วันนี้ คริสเตียนทุกคนสามารถเป็น “เศฟันยาห์” ในยุคของตนได้ โดยการกล่าวถ้อยคำที่หนุนใจและตักเตือนผู้อื่นให้กลับมาหาพระเจ้า และร่วมยินดีในพระสัญญาแห่งการฟื้นฟูที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้









วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2568

เฮเซคียาห์ ผู้วางใจในพระเจ้า

 เฮเซคียาห์ – ผู้วางใจในพระเจ้าในยามศึก

ข้อพระคัมภีร์: 2 พงศาวดาร 32:1–23

ประเด็นหลัก: เฮเซคียาห์เชื่อมั่นในพระเจ้าท่ามกลางภัยจากอัสซีเรีย

ประยุกต์ใช้: ศรัทธาแท้จะยืนหยัดในวิกฤติของชีวิต



    กษัตริย์เฮเซคียาห์ เป็นหนึ่งในกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ของราชอาณาจักรยูดาห์ พระองค์ขึ้นครองราชย์ในช่วงเวลาที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยความเสื่อมทรามทางฝ่ายจิตวิญญาณและความกดดันจากมหาอำนาจรอบด้าน แต่สิ่งที่ทำให้เฮเซคียาห์โดดเด่นคือพระทัยที่มุ่งมั่นจะหันกลับมาหาพระเจ้า พระองค์ได้รื้อฟื้นการนมัสการในพระวิหาร ทำให้ประชาชนกลับมาถวายบูชา และหันมาสนใจพระวจนะอีกครั้ง

    แต่ไม่นาน ความเชื่อของพระองค์ก็ถูกทดสอบครั้งใหญ่ที่สุด เมื่อกษัตริย์เซนนาเคอริบแห่งอัสซีเรียนำกองทัพมหึมามาล้อมกรุงเยรูซาเล็ม กำลังคนและอาวุธของยูดาห์เทียบไม่ได้เลยกับมหาอำนาจนั้น ศัตรูยังใช้คำพูดยั่วยุ ดูหมิ่นพระเจ้า และบ่อนทำลายขวัญกำลังใจของประชาชน เฮเซคียาห์เผชิญแรงกดดันมหาศาลที่อาจทำให้หัวใจของกษัตริย์คนหนึ่งท้อถอย

    แต่แทนที่จะยอมจำนน เฮเซคียาห์เลือกที่จะวางใจในพระเจ้า พระองค์หนุนใจประชาชนว่า “ผู้ที่อยู่กับเรานั้นยิ่งใหญ่กว่าที่อยู่กับเขา” พร้อมทั้งร่วมกับผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ยกคำอธิษฐานต่อพระเจ้า พระเจ้าทรงสดับเสียงร้องนั้น และทรงส่งทูตสวรรค์ไปทำลายกองทัพอัสซีเรีย จนพวกเขาต้องถอยกลับไปอย่างอับอาย เยรูซาเล็มจึงรอดพ้นโดยฤทธานุภาพของพระเจ้า

    ชีวิตของเฮเซคียาห์จึงเป็นพยานชัดเจนว่า ความเชื่อที่แท้จริงคือการยืนหยัดต่อหน้าศัตรูและวิกฤติ แม้เมื่อทุกสิ่งรอบตัวบอกว่าเป็นไปไม่ได้ เขาก็ยังเลือกจะฝากความหวังไว้กับพระเจ้า เรื่องราวของเขายังคงสอนเราจนถึงทุกวันนี้ว่า ศรัทธาแท้จะยืนหยัดในยามวิกฤติ และพระเจ้าผู้ทรงสถิตกับเรานั้น ยิ่งใหญ่กว่าทุกอำนาจในโลก











วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2568

อาสา ผู้นำที่ยืนหยัดในความเชื่อ

อาสา – ผู้นำที่ยืนหยัดในความเชื่อ

ข้อพระคัมภีร์: 2 พงศาวดาร 14:1–7

ประเด็นหลัก: อาสา กษัตริย์จากเผ่ายูดาห์ ฟื้นฟูการนมัสการที่แท้จริง

ประยุกต์ใช้: การปฏิรูปชีวิตตนเองและครัวเรือนให้กลับสู่พระเจ้า




อาสา – ผู้นำที่ยืนหยัดในความเชื่อ

    เมื่อกษัตริย์อาบียาห์สิ้นพระชนม์ อาสา พระโอรส ได้ขึ้นครองราชย์เหนือแผ่นดินยูดาห์ในช่วงที่ราชอาณาจักรอิสราเอลแตกออกเป็นสองส่วน คือ อิสราเอลทางเหนือและยูดาห์ทางใต้ สถานการณ์รอบด้านเต็มไปด้วยความไม่มั่นคง การนมัสการรูปเคารพได้แทรกซึมเข้ามา และอำนาจของกษัตริย์มักขึ้นอยู่กับการเมืองและกองทัพ แต่พระคัมภีร์บอกว่าอาสาแตกต่างออกไป พระองค์เป็นกษัตริย์ที่หันใจกลับมาหาพระเจ้า

    ในรัชกาลของอาสา แผ่นดินยูดาห์ได้รับสันติภาพสิบปีติดต่อกัน สิ่งนี้ถือว่าหาได้ยากในตะวันออกใกล้โบราณที่เต็มไปด้วยสงครามแย่งชิงทรัพยากร พระองค์ใช้ช่วงเวลานี้ไม่เพียงเสริมกำลังเมืองด้วยป้อม กำแพง และประตู แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือการปฏิรูปฝ่ายจิตวิญญาณ อาสาทำลายแท่นบูชาของพระต่างชาติ รื้อเสาและรูปเคารพออกจากแผ่นดิน และสั่งสอนประชาชนให้หันมาแสวงหาพระเจ้าและรักษาธรรมบัญญัติ นี่เป็นก้าวสำคัญของการฟื้นฟูการนมัสการที่แท้จริง

    ถ้ามองในมุมประวัติศาสตร์ อาสากำลังสานต่อสิ่งที่บรรพบุรุษเช่นกษัตริย์ดาวิดเคยทำ คือการวางแผ่นดินให้อยู่บนรากฐานของพันธสัญญากับพระเจ้า พระองค์รู้ว่า ความมั่นคงไม่ได้อยู่ที่กองทัพใหญ่ แต่ขึ้นอยู่กับความสัตย์ซื่อของประชาชนต่อพระเจ้า และนี่คือเหตุผลที่แผ่นดินยูดาห์จึงได้รับความสงบในสมัยของพระองค์

    สำหรับเราในวันนี้ เรื่องราวของอาสาเตือนใจว่า การปฏิรูปชีวิตให้กลับมาหาพระเจ้า ไม่เพียงนำความสงบมาสู่ใจเรา แต่ยังสู่ครัวเรือน และต่อเนื่องไปยังสังคมรอบตัวด้วย แม้เราอาจไม่ใช่กษัตริย์ แต่เราคือผู้นำในบ้านของเรา หากยืนหยัดในความเชื่อ พระเจ้าจะทรงประทานสันติสุขและความมั่นคงที่แท้จริงเหมือนกับที่พระองค์ประทานแก่อาสา