ค้นหาข้อมูลจากบล็อกนี้

วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2568

สิเมโอนและอันนา — ผู้เห็นพระเมสสิยาห์ในบั้นปลายชีวิต

“สิเมโอนและอันนา — ผู้เห็นพระเมสสิยาห์ในบั้นปลายชีวิต” ลูกา 2:25–38

แนวคิดหลัก : ทั้งสองเป็นบุคคลในพระวิหารที่โลกลืม แต่พวกเขาได้เห็นพระเยซูในวัยทารก เพราะใช้ชีวิตทั้งหมดในการรอคอยและอธิษฐาน พระเจ้าทรงให้ผู้ซื่อสัตย์ได้เห็นสิ่งที่ทรงสัญญาไว้

ประยุกต์ใช้ : อย่าประมาทการรับใช้ในเงียบๆ พระเจ้าให้รางวัลแก่ผู้เฝ้ารอด้วยความหวัง คริสตมาสแท้คือการเห็น “พระคริสต์” ไม่ใช่เพียง “เทศกาล”



    สิเมโอนและอันนา — ผู้เห็นพระเมสสิยาห์ในบั้นปลายชีวิต ลูกา 2:25–38
    
    ในพระวิหารกรุงเยรูซาเล็มวันนั้น ไม่มีเสียงแตร ไม่มีขบวนใหญ่ ไม่มีผู้มีอำนาจทางการเมืองมาร่วมพิธี แต่กลับมีชายชราคนหนึ่งชื่อสิเมโอน และหญิงชราผู้หนึ่งชื่ออันนา ทั้งสองไม่เป็นที่รู้จักของสังคม ไม่ได้มีตำแหน่งสำคัญใดๆ หากแต่พระคัมภีร์บอกว่า สิเมโอนเป็นคนชอบธรรม เกรงกลัวพระเจ้า และเฝ้าคอย “การปลอบโยนอิสราเอล” ส่วนอันนาเป็นหญิงม่ายที่ไม่เคยออกจากพระวิหาร แต่รับใช้พระเจ้าด้วยการอดอาหารและอธิษฐานทั้งกลางวันและกลางคืน

    โลกอาจมองว่าพวกเขาเป็นคนรุ่นเก่า คนที่หมดบทบาท หรือคนที่ถูกลืม แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกเขาคือผู้เฝ้ายามฝ่ายวิญญาณ ผู้ยืนอยู่ ณ จุดนัดหมายของคำสัญญา สิเมโอนได้รับการสำแดงจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า เขาจะไม่ตายก่อนจะได้เห็นพระคริสต์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า และเมื่อโยเซฟกับมารีย์อุ้มทารกน้อยเข้ามาในพระวิหาร สิเมโอนอุ้มพระกุมารไว้ในอ้อมแขน และกล่าวสรรเสริญพระเจ้าอย่างสงบลึกว่า บัดนี้ผู้รับใช้ของพระองค์พร้อมจะไปอย่างสันติ เพราะได้เห็นความรอดที่พระองค์ทรงเตรียมไว้แล้ว

    อันนาก็เช่นเดียวกัน เมื่อเห็นพระกุมาร นางถวายพระคุณพระเจ้า และกล่าวถึงพระกุมารนั้นแก่ทุกคนที่กำลังเฝ้าคอยการไถ่ของกรุงเยรูซาเล็ม คนที่ทั้งชีวิตอยู่ในความเงียบ กลับกลายเป็นพยานคนสำคัญที่สุดของคริสตมาส เหตุการณ์นี้สำแดงให้เห็นว่า พระเจ้าไม่ได้ทรงเลือกผู้มีชื่อเสียง แต่ทรงเลือกผู้ที่ซื่อสัตย์และพร้อมอยู่ต่อหน้าพระองค์

    เรื่องราวของสิเมโอนและอันนาหนุนใจว่า พระเจ้าไม่ทรงลืมการรับใช้ในที่ลับ การอธิษฐานที่ยาวนาน การเฝ้ารอที่ดูเหมือนไม่มีความคืบหน้า ล้วนถูกจดจำไว้ในสวรรค์ พระองค์ทรงให้ผู้ที่ซื่อสัตย์ได้เห็นสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ แม้ในบั้นปลายชีวิตก็ตาม คริสตมาสแท้จึงไม่ใช่เพียงเทศกาลแห่งบรรยากาศ แต่คือการได้เห็น “พระคริสต์” ด้วยสายตาแห่งความเชื่อ

    ข้อคิดสำหรับวันนี้
    – พระเจ้าทรงเห็นคุณค่าของการรับใช้ที่เงียบและซื่อสัตย์ แม้โลกจะไม่เห็น
    – การเฝ้ารอด้วยความหวังและการอธิษฐาน ไม่เคยสูญเปล่าในสายพระเนตรของพระเจ้า
    – ความสัตย์ซื่อในวันนี้ อาจกลายเป็นการได้เห็นพระสัญญาสำเร็จในวันหนึ่ง
    – คริสตมาสแท้ คือการเปิดใจให้ได้พบพระคริสต์ ไม่ใช่เพียงการเฉลิมฉลองตามฤดูกาล










วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2568

คนเลี้ยงแกะ — ผู้เฝ้ายามกลางคืนที่ได้รับข่าวประเสริฐก่อนใคร

“คนเลี้ยงแกะ — ผู้เฝ้ายามกลางคืนที่ได้รับข่าวประเสริฐก่อนใคร”

พระธรรมหลัก : ลูกา 2:8–20

แนวคิดหลัก : พวกเขาเป็นคนชนชั้นล่างสุดของสังคมยิว แต่พระเจ้าทรงเลือกให้เป็นพยานแรกแห่งการเสด็จมา ข่าวประเสริฐเริ่มต้นในทุ่งหญ้า ไม่ใช่ในราชวัง

ประยุกต์ใช้ : พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ต่อผู้ที่มีใจถ่อม

ข่าวดีสำหรับผู้เล็กน้อยเสมอ

การเฝ้าระวังและตอบสนองต่อเสียงเรียกของพระเจ้าอย่างฉับไว



    คนเลี้ยงแกะ — ผู้เฝ้ายามกลางคืนที่ได้รับข่าวประเสริฐก่อนใคร ลูกา บทที่ 2 ข้อ 8-20

    ในค่ำคืนอันเงียบสงบกลางทุ่งหญ้า ใกล้เมืองเบธเลเฮม มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังทำหน้าที่เฝ้ายาม พวกเขาไม่ใช่นักบวช ไม่ใช่ผู้นำศาสนา และไม่ใช่ชนชั้นสูงของสังคม แต่คือคนเลี้ยงแกะ ผู้ซึ่งถูกมองว่าอยู่ต่ำสุด ในสังคมยิว งานของพวกเขาถูกมองว่าสกปรก หยาบคาย และมักถูกกีดกัน จากชีวิตศาสนาในพระวิหาร แต่ในคืนนั้นเอง พระเจ้าทรงเลือกพวกเขา ให้เป็นผู้รับข่าวประเสริฐก่อนใคร

    ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ปรากฏแก่คนเลี้ยงแกะ พร้อมประกาศข่าวยิ่งใหญ่ คือการประสูติของพระผู้ช่วยให้รอด ข่าวนี้ไม่ได้เริ่มต้นในพระราชวัง ไม่ได้ประกาศในพระวิหาร หรือในเมืองหลวงทางศาสนา แต่เริ่มต้นในทุ่งหญ้า ท่ามกลางคนธรรมดา ที่โลกไม่เห็นค่า นี่ไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เป็นการสำแดงพระลักษณะของพระเจ้า อย่างชัดเจน พระองค์ทรงเข้าหาผู้ถ่อมใจ และทรงยกผู้เล็กน้อยขึ้นเสมอ

    สิ่งที่โดดเด่นในเรื่องนี้ ไม่ใช่เพียงว่าใครเป็นผู้รับข่าว แต่คือท่าทีของคนเลี้ยงแกะ พวกเขาไม่โต้แย้ง ไม่ลังเล และไม่ผัดวันประกันพรุ่ง เมื่อได้ยินข่าวนั้น พวกเขากล่าวว่า ให้เราไปยังเบธเลเฮม และรีบไปทันที การเฝ้ายามกลางคืน ทำให้พวกเขาตื่นตัว พร้อมฟัง และพร้อมตอบสนอง คนที่เฝ้าระวังอยู่แล้ว จึงได้ยินเสียงจากสวรรค์อย่างชัดเจน

    เมื่อคนเลี้ยงแกะได้เห็นพระกุมารนอนอยู่ในรางหญ้า พวกเขากลายเป็นพยาน พวกเขาเล่าเรื่องที่ได้ยินและได้เห็นแก่ผู้อื่น และคนทั้งหลายประหลาดใจ ในถ้อยคำของพวกเขา จากคนที่สังคมไม่รับฟัง กลับกลายเป็นผู้ประกาศ ข่าวแห่งความหวัง และเมื่อพวกเขากลับไปยังทุ่งหญ้า ชีวิตภายนอกอาจเหมือนเดิม แต่หัวใจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป พวกเขากลับไปด้วยใจที่สรรเสริญ และถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า

    เรื่องราวของคนเลี้ยงแกะสอนเราว่า พระเจ้ามักตรัสในยามที่โลกเงียบ และกับผู้ที่โลกไม่ฟัง พระองค์ไม่ได้มองที่ตำแหน่ง ฐานะ หรือความสำคัญในสายตามนุษย์ แต่ทรงมองที่ใจที่ถ่อมและตื่นอยู่ ข่าวประเสริฐของพระองค์ จึงเป็นข่าวดีสำหรับผู้เล็กน้อยเสมอ

    สำหรับเราวันนี้ เราอาจไม่ได้ยืนอยู่ในที่สูง หรือมีบทบาทสำคัญในสายตาโลก แต่หากเราดำเนินชีวิตด้วยใจถ่อม เฝ้าระวัง และไวต่อเสียงของพระเจ้า พระองค์ก็ยังทรงเลือกเราให้เป็นพยานแห่งการทรงงานของพระองค์ได้ เมื่อพระเจ้าตรัส อย่าชะลอเหมือนผู้ลังเล แต่จงตอบสนองอย่างฉับไวเหมือนคนเลี้ยงแกะ และกลับไปใช้ชีวิตประจำวัน ด้วยหัวใจที่ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เพราะข่าวประเสริฐอันยิ่งใหญ่ มักเริ่มต้นในคืนธรรมดา และในชีวิตธรรมดาของผู้ที่เชื่อฟังเสมอ

























วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2568

เอลีซาเบธ — ผู้รอคอยด้วยศรัทธา

“เอลีซาเบธ — ผู้รอคอยด้วยศรัทธา” ลูกา 1:5–25, 39–45

    แนวคิดหลัก : เอลีซาเบธถูกลืมมานานในชีวิต แต่พระเจ้าทรงระลึกถึงเธอในเวลาที่เหมาะสม ความเชื่อของเธอทำให้แผนการของพระเจ้าสำเร็จผ่านการให้กำเนิดยอห์นผู้ให้บัพติศมา

    ประยุกต์ใช้ : พระเจ้าไม่เคยลืมผู้ที่สัตย์ซื่อแม้ในยามเงียบงัน ชีวิตที่แก่ชราไม่ใช่สิ่งไร้ค่า แต่เป็นเครื่องมือในน้ำพระทัย การรอคอยด้วยความเชื่อเป็นการนมัสการ



    เอลีซาเบธ — ผู้รอคอยด้วยศรัทธา
    ลูกา 1:5–25, 39–45

    เอลีซาเบธเป็นสตรีจากตระกูลปุโรหิตอาโรน ผู้ดำเนินชีวิตชอบธรรมต่อพระเจ้า ทั้งเธอและเศคาริยาห์สามีปฏิบัติตามบทบัญญัติด้วยใจสัตย์ซื่อมานานหลายปี แต่ในวัฒนธรรมยิวโบราณ การไร้บุตรคือความเจ็บปวดลึกในหัวใจ และถูกสังคมตีความว่าเป็นความไม่โปรดปรานจากพระเจ้า ชีวิตของเธอจึงเหมือนถูกวางไว้ในความเงียบงันอันยาวนาน แม้ผู้คนอาจมองผ่าน แต่พระเจ้าไม่เคยมองผ่านเธอเลย เพราะพระคัมภีร์ยืนยันว่าทั้งคู่เป็น “คนชอบธรรมต่อพระเจ้า”

    ในวันที่เศคาริยาห์ปฏิบัติหน้าที่ในพระวิหาร องค์ทูตสวรรค์กาเบรียลประกาศข่าวที่ดูเกินความคิดของมนุษย์ พระเจ้าทรงระลึกถึงคำอธิษฐานที่ยาวนานและเปี่ยมความหวังของคนชรา และเลือกจะเริ่มต้นยุคใหม่แห่งความรอดผ่านครอบครัวซึ่งหลายคนคิดว่า “หมดเวลาแล้ว” ลูกชายของพวกเขาจะเป็นยอห์น ผู้ให้บัพติศมา ผู้เตรียมทางให้พระเมสสิยาห์ ชีวิตของเอลีซาเบธจึงไม่เพียงถูกปลอบประโลมด้วยการมีบุตร แต่ยังถูกยกขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์การไถ่ของมนุษยชาติอีกด้วย

    เมื่อมารีย์เดินทางมาหาเอลีซาเบธในยูเดีย เหตุการณ์เล็กๆ ในบ้านชนบทกลับกลายเป็นการประกาศครั้งสำคัญ เด็กในครรภ์เอลีซาเบธดีดดิ้นด้วยความชื่นชมยินดี และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำให้เธอเอ่ยถ้อยคำประกาศยืนยันว่าสิ่งที่มารีย์กำลังอุ้มอยู่คือองค์พระผู้เป็นเจ้า เหมือนพระเจ้าทรงเปิดม่านเผยให้เห็นว่า หญิงสูงวัยผู้เคยถูกลืมกลับกลายเป็นพยานคนแรกๆ ของยุคเมสสิยาห์

    เรื่องราวของเอลีซาเบธชี้ให้เราเห็นว่า พระเจ้าทรงทำงานในเวลาของพระองค์เสมอ ไม่เคยเร็วหรือช้าเกินไป หากเราดำเนินชีวิตด้วยใจสัตย์ซื่อ พระองค์ทรงได้ยินแม้เสียงร้องที่สังคมมองไม่เห็น และทรงรักษาสัญญาแม้ในช่วงยาวนานของความเงียบงัน สำหรับผู้ที่คิดว่าตน “ผ่านวัยสำคัญไปแล้ว” พระคัมภีร์ยิ่งตอกย้ำว่า ชีวิตสูงวัยไม่เคยไร้ค่า เพราะพระเจ้ามักใช้ผู้ที่ถูกสังคมมองข้ามให้กลายเป็นเครื่องมืออันงดงามในพระประสงค์

    การรอคอยด้วยความเชื่อจึงเป็นการนมัสการ เป็นการยอมรับว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อกว่าเวลา ทรงยิ่งใหญ่กว่าข้อจำกัดของมนุษย์ และทรงจำได้แม้คำอธิษฐานที่เราเปล่งออกด้วยน้ำตา

    ข้อคิดสำหรับวันนี้

    วันนี้ขอให้เรามองชีวิตผ่านสายตาของเอลีซาเบธ เธอไม่ได้เห็นผลลัพธ์ทันที แต่เลือกเดินต่อด้วยความซื่อสัตย์ จนความเงียบงันหลายสิบปีกลายเป็นเวทีให้พระเจ้าสำแดงพระสิริ

    หากคุณกำลังรอคำตอบ หรือรอการเปลี่ยนแปลง จงมั่นใจว่าพระเจ้าได้ยินและทรงจำได้ พระองค์ไม่เคยทำงานช้า แต่ทรงทำงานลึก เพื่อเตรียมคุณให้พร้อมกับสิ่งที่กำลังจะมาถึง

    ให้วันนี้เป็นวันที่เรารอด้วยความเชื่อ รอด้วยใจสงบ และรอด้วยความหวัง เพราะเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม พระเจ้าจะทำให้ทุกสิ่งสำเร็จอย่างงดงามเสมอ










วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2568

โยเซฟ — ชายชอบธรรมในความเงียบ

“โยเซฟ — ชายชอบธรรมในความเงียบ” มัทธิว 1:18–25

    แนวคิดหลัก :โลกมักจดจำมารีย์ แต่ลืมโยเซฟ ผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่พูดสักคำในพระคัมภีร์ แต่การเชื่อฟังของเขาทำให้คำพยากรณ์สำเร็จ เขาเป็นตัวอย่างของผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณที่ฟังเสียงพระเจ้าในยามสับสน

    ประยุกต์ใช้ : เรียนรู้การเชื่อฟังโดยไม่ต้องเข้าใจทุกอย่าง การนำครอบครัวด้วยความถ่อมใจ การเป็น “คนชอบธรรมในความเงียบ” ในยุคที่คนชอบประกาศตัว



    ในช่วงต้น ของเรื่องราววันคริสต์มาส มีฉากหนึ่งที่หลายคนอ่านผ่านไปอย่างรวดเร็ว หนังสือมัทธิว 1:18-25 บอกเล่าเรื่องราวของชายคนหนึ่ง ผู้ที่มนุษย์ส่วนใหญ่ในโลกมองข้าม แต่สวรรค์กลับเลือกใช้ เขาคือ โยเซฟ ช่างไม้ธรรมดาจากนาซาเร็ธ แต่เป็นชายผู้ถูกเรียกว่า ชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้า

    พระคัมภีร์ไม่เคยบันทึกถ้อยคำใดๆ ของโยเซฟ เขาเป็นคนที่ทั้งเรื่อง มีเพียง การกระทำ ไม่ใช่คำพูด ไม่ใช่คำอธิบาย ไม่ใช่การแสดงออกทางอารมณ์ แต่เป็นการเชื่อฟังอย่างลึกซึ้ง แม้ในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสับสน

    เมื่อโยเซฟพบว่ามารีย์คู่หมั้นตั้งครรภ์ แม้ยังไม่อยู่กินกัน การตัดสินใจของเขาไม่ใช่การลงโทษ ไม่ใช่การประณาม แต่เป็นการปกป้องชื่อเสียงของเธอ เขาตั้งใจจะ “ปล่อยเธอไปโดยการลับ” นั่นบอกเราว่า ความชอบธรรมที่แท้จริง ไม่ได้เป็นเรื่องของการพิสูจน์ว่าตัวเองถูก แต่เป็นการสำแดงเมตตาต่อผู้อื่น แม้ในวันที่หัวใจของเขาบอบช้ำ

    แล้วพระเจ้าตรัสกับโยเซฟผ่านความฝัน สิ่งที่ได้รับไม่ใช่คำอธิบายทั้งหมด ไม่ใช่แผนระยะยาว ไม่ใช่ความเข้าใจครบถ้วน — แต่เป็นคำสั่งสั้นๆ เพียงพอสำหรับก้าวต่อไป

    โยเซฟรับมารีย์เป็นภรรยา พาเธอไปเบธเลเฮม พาหนีไปอียิปต์ พากลับนาซาเร็ธ ทุกก้าวไม่ได้เกิดจากเสียงปรบมือของโลก แต่เกิดจากเสียงอ่อนโยนของพระเจ้า

    และเหตุผลที่พระกิตติคุณมัทธิว แนบรายชื่อวงศ์วานยาวเหยียดมาก่อนหน้านั้น ก็คือ เพื่อบอกให้เรารู้ว่า ชายผู้เงียบงันคนนี้ มีบทบาทสำคัญในการทำให้ คำพยากรณ์ของโลกสำเร็จ เขาเป็นสะพานเชื่อมคำสัญญาของอับราฮัมกับยุคของพระเมสสิยาห์

    วันนี้เรามักยกย่องคนที่พูดเก่ง คนที่มีเวที คนที่ดังที่สุดในสังคม แต่เรื่องราวของโยเซฟเตือนใจเราว่า บางครั้งบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผนงานของพระเจ้า คือคนที่เงียบที่สุด แต่เชื่อฟังที่สุด

    ข้อคิดประจำวันนี้

    จงใช้ชีวิตแบบโยเซฟ เชื่อฟังแม้จะไม่เข้าใจทั้งหมด นำครอบครัวด้วยความถ่อมใจ และเป็นคนชอบธรรมแม้ในความเงียบงัน เพราะในโลกที่คนชอบประกาศตัว พระเจ้ากำลังมองหาคนที่ยอมเดินตามพระองค์โดยไม่มีเสียงปรบมือ แต่มีหัวใจที่ภักดีต่อพระองค์เหนือสิ่งอื่นใด