ค้นหาข้อมูลจากบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

ยอห์นผู้ให้บัพติศมา : เสียงที่ร้องในถิ่นทุรกันดาร

ตอนที่ 8 – ยอห์นผู้ให้บัพติศมา : เสียงที่ร้องในถิ่นทุรกันดาร
เนื้อหา : ยอห์นจากเชื้อสายปุโรหิต เป็นผู้เตรียมทางสำหรับพระคริสต์ (ลูกา 3; ยอห์น 1:19–23)
แนวคิดหลัก : ผู้รับใช้ที่แท้จริงต้องถอยออกเพื่อให้พระคริสต์ปรากฏ



    กลางดินแดนแห้งแล้งของแผ่นดินยูเดีย ที่ลมร้อนพัดผ่านเหมือนกำลังซัดฝุ่นแห่งประวัติศาสตร์ ยอห์นผู้ให้บัพติศมาก็ปรากฏตัวขึ้น—ไม่ใช่ในพระวิหาร ไม่ใช่ในศูนย์กลางศาสนา แต่ในถิ่นทุรกันดารที่ไร้ชื่อเสียงสุดๆ ราวกับพระเจ้ากำลังประกาศว่า “การฟื้นฟูแท้ ไม่ได้เริ่มจากเวทีใหญ่ แต่เริ่มจากใจที่ถูกเตรียมไว้ก่อน”

    ยอห์นมาจากสายปุโรหิต—ลูกชายของเศคาริยาห์และเอลีซาเบธ ผู้คนสมัยนั้นคงคิดว่าเด็กคนนี้น่าจะเติบโตในพระวิหาร เป็นปุโรหิตรูปแบบคลาสสิกเต็มสูบ แต่ยอห์นเลือกเส้นทางที่กลับด้าน เขาเดินเข้าถิ่นกันดาร สวมขนอูฐ กินตั๊กแตนกับน้ำผึ้งป่า เหมือนประกาศเสียงดังว่า “อย่าเพิ่งจ้องคนรับใช้—ให้จ้องพระเจ้าที่อยู่เบื้องหลังงานรับใช้” ชีวิตเขาเป็นบทเทศนาที่เดินได้—เรียบง่าย ตรงไปตรงมา ไม่แต่ง ไม่ประดับ และไม่ตามแฟชั่นศาสนาใดๆ ของยุคนั้น

    เมื่อถึงเวลาที่พระเจ้าแต่งตั้ง ยอห์นเริ่มประกาศใน ลูกา บทที่ 3 ว่า “จงกลับใจใหม่ เพราะพระเมสสิยาห์กำลังมา!” เสียงของเขาดังก้องจนคนทั้งแคว้นยูเดีย เดินทางไปหาที่แม่น้ำจอร์แดน แม้เส้นทางจะไกลและลำบาก เขาไม่ได้พูดเพราะอยากอยู่ในกระแส ไม่ได้ใช้คำหวานแบบนักพูดมืออาชีพ แต่ตีตรงใจคนเหมือนค้อนที่ปะทะหิน ความสัตย์จริงของเขาแทงทะลุความเคร่งศาสนาแบบผิวเผิน และท้าทายให้พวกเขากลับมาหาพระเจ้าอย่างจริงจัง

    เมื่อฝ่ายศาสนามาถามเขาว่า “ท่านเป็นใคร?” ยอห์นตอบในแบบที่ทั้งยุคน่าจะเงียบไปเป็นแถบ—เขาไม่รับตำแหน่ง ไม่รับยศ ไม่รับเครดิต เขาพูดเพียงว่า “ข้าพเจ้าเป็นเสียงของผู้ร้องในถิ่นทุรกันดาร” (ยอห์น 1 : 19 - 23) แค่ “เสียง” เท่านั้น ไม่ใช่ผู้ช่วยให้รอด ไม่ใช่ศาสดา ไม่ใช่มหาบุรุษ เป็นเพียงเสียงที่สะท้อนพระประสงค์ของพระเจ้าไปยังหัวใจคน

    แต่ความยิ่งใหญ่ของยอห์นไม่ได้อยู่ที่เสียงดังแค่ไหน แต่อยู่ที่การรู้จัก “ถอยออก” ตอนที่เหมาะสม เมื่อพระเยซูเสด็จมา ยอห์นประกาศว่า “พระองค์ต้องเจริญขึ้น ส่วนข้าพเจ้าต้อง-ด้อยลง” ถ้าเป็นคนยุคนี้คงมีไม่น้อยที่หวงผู้ติดตาม แต่ยอห์นพร้อมผลักคนไปหาพระคริสต์ ไม่ใช่มาหาตน นี่แหละจิตใจของผู้รับใช้แท้—ไม่ใช่สร้างอาณาจักรของตัวเอง แต่สร้างทางให้พระคริสต์ปรากฏสูงเด่นที่สุด

    และแม้ชีวิตของเขาจะจบลงในคุกของเฮโรด แต่เสียงของเขายังดังก้องอยู่ในพระคัมภีร์และในประวัติศาสตร์—เสียงที่ทำหน้าที่ของตนเองอย่างสมบูรณ์ ไม่เกิน ไม่ขาด เตรียมทางให้พระเมสสิยาห์เสด็จมาอย่างสมบูรณ์แบบ

    ยอห์นสอนเราว่า ความยิ่งใหญ่ในสายพระเจ้าไม่ได้วัดจากการอยู่หน้าฉาก แต่วัดจากการซื่อสัตย์ต่อบทบาทที่พระองค์มอบ แม้บทนั้นจะเป็นเพียง “เสียงที่ดังชั่วครู่แล้วหายไป” หากเสียงนั้นนำคนไปหาพระคริสต์—ก็เป็นเสียงที่ทรงคุณค่าที่สุดแล้ว

    ข้อคิดสำหรับวันนี้ :
    “ให้พระคริสต์เด่นขึ้น แล้วเราจะพบตัวตนที่แท้จริงของเราในพระองค์”











วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

เศคาริยาห์และเอลีซาเบธ ปุโรหิตแห่งความหวัง

ตอนที่ 7 – เศคาริยาห์และเอลีซาเบธ : ปุโรหิตแห่งความหวัง

เนื้อหา: คู่ปุโรหิตที่สัตย์ซื่อและได้รับพระพรเป็นบิดามารดาของยอห์นผู้ให้บัพติศมา (ลูกา 1)

แนวคิดหลัก: ความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าจะเปิดประตูสู่การสำแดงใหม่



    ท่ามกลางบรรยากาศศาสนพิธีในพระวิหาร ที่ธูปกำลังลอยขึ้นเป็นสายเหมือนคำอธิษฐานที่ยังรอคำตอบ โลกของอิสราเอลในยุคนั้นเงียบงันมานานหลายร้อยปี ไม่มีผู้เผยพระวจนะ ไม่มีถ้อยคำใหม่จากพระเจ้า—เหมือนฟ้าที่ปิดสนิทยาวนานเกินกว่าจะหวังอะไรได้อีก แต่ตรงจุดที่คนส่วนใหญ่คิดว่าพระเจ้า “นิ่งเงียบ” นั่นแหละ คือที่ซึ่งพระองค์กำลังเตรียมบทใหม่ของประวัติศาสตร์ไถ่กู้

    เศคาริยาห์ ปุโรหิตผู้สูงวัย กับเอลีซาเบธ ภรรยาผู้ชอบธรรม ทั้งคู่เป็นสายปุโรหิตตระกูลอาโรน—เรียกได้ว่าเป็น “คู่บุญของพระวิหาร” แต่ในบ้านกลับมีความเงียบงันอย่างหนึ่งที่หนักหนากว่าความเงียบของยุค—คือไม่มีเสียงเด็ก ไม่มีผู้สืบสกุล ผู้คนอาจมองด้วยสายตาแบบโบราณว่า “คงมีบาปอะไรซ่อนอยู่” แต่พระคัมภีร์ (ลูกา 1) กลับยืนยันเสียงดังว่า ทั้งสอง “ดำเนินชีวิตอย่างไร้ที่ติตามพระบัญญัติของพระเจ้า” แน่นอน นี่คือคำตบหน้าความคิดความเชื่อแบบสังคมสมัยนั้นอย่างแสบๆ คันๆ

    วันหนึ่งเมื่อถึงเวรปรนนิบัติพระวิหาร เศคาริยาห์ได้ทำหน้าที่เผาเครื่องหอม—งานที่ปุโรหิตทั้งชีวิตอาจได้ทำเพียงครั้งเดียว เหมือนพระเจ้าจงใจเลือก “เวลาอันเหมาะตรงเป๊ะ” พอเขายืนอยู่ลำพังในห้องศักดิ์สิทธิ์ ทูตสวรรค์กาเบรียลก็โผล่มาทักแบบไม่ให้เตรียมตัวเตรียมใจก่อน (ตามสไตล์ทูตสวรรค์ในพระคัมภีร์ที่ชอบทำคนตกใจเสมอ) และประกาศข่าวที่ไม่มีใครคาด—เอลีซาเบธจะมีบุตร ผู้ที่จะเป็น “ยอห์น” คนที่จะเตรียมทางให้พระเมสสิยาห์

    เศคาริยาห์ซึ่งมีอายุเกินวัยพ่อและผ่านชีวิตแบบใช้เหตุผลมานาน ก็เผลอถามแบบมนุษย์จริงๆ ว่า “จะเป็นไปได้ยังไงกัน?” ทูตสวรรค์ตอบกลับอย่างนุ่มนวลแต่พอแรงว่า “เราเป็นกาเบรียลนะ” จากนั้นเศคาริยาห์ก็ถูกทำให้พูดไม่ได้—ไม่ใช่เพราะพระเจ้าลงโทษ แต่เพื่อให้เขา “ฟัง” ก่อนจะ “พูด” งานใหญ่มักเริ่มจากการให้มนุษย์หยุดพูดและหันมารับฟังพระวจนะ

    ด้านเอลีซาเบธ เมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์ในวัยที่ผู้หญิงทั้งชุมชนคงเก็บเสื้อคลุมท้องไปนานแล้ว เธอกลับดีใจอย่างสงบ เรียกมันว่า “พระเจ้าได้ทรงมองเห็นความอัปยศของข้าพเจ้าและยกมันออกไป” เธอไม่ได้มีความเชื่อเสียงดัง แต่เป็นความเชื่อที่ซึมลึกและยาวนาน เหมือนต้นไม้แก่ที่ยืนหยัดท่ามกลางลมทุกลูก

    สิ่งที่เกิดขึ้นกับทั้งคู่แสดงให้เห็นแบบเก่าแก่ตามธรรมเนียมอิสราเอลว่า—พระเจ้าทรงทำงานผ่านผู้สัตย์ซื่อเสมอ แม้โลกจะคิดว่าเขา “หมดเวลา” พระเจ้าเรียกเขาให้เริ่มบทใหม่ พระพรไม่ได้มาช้าเกินไป แต่มาตามกำหนดของพระองค์พอดี

    และเมื่อวันที่ยอห์นถือกำเนิด เศคาริยาห์ที่เคยเงียบมาหลายเดือนก็เปิดปากกล่าวคำพยากรณ์ด้วยไฟแห่งความจริง—ประกาศว่าพระเจ้ากำลังเริ่มงานไถ่กู้อย่างยิ่งใหญ่ บุตรของเขาจะเป็นผู้เตรียมทางให้พระผู้มาเยือน “จากเบื้องบน”

    เรื่องของเศคาริยาห์และเอลีซาเบธสอนอย่างเรียบง่ายแต่คมชัดว่า ความสัตย์ซื่อไม่ใช่การรอคอยแบบหมดหวัง แต่เป็นการยืนหยัดในพระประสงค์แม้ไม่เห็นอะไรเลย—และเมื่อถึงเวลา พระเจ้าจะเปิดประตูสู่การสำแดงใหม่ที่ใหญ่เกินกว่าความฝันของมนุษย์ทุกคน

    ข้อคิดสั้นๆ สำหรับวันนี้: “จงสัตย์ซื่อแม้ในความเงียบ เพราะพระเจ้ากำลังเตรียมคำตอบที่เหมาะสมที่สุดให้คุณเสมอ.”

นี่แหละ คู่ปุโรหิตแห่งความหวัง—ผู้ที่การดำเนินชีวิตเงียบๆ ของพวกเขา กลับกลายเป็นประตูเปิดสู่การมาของพระเมสสิยาห์นั่นเอง











วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

เอสรา ปุโรหิตนักเขียน ผู้ฟื้นฟูประชากรด้วยพระวจนะ

ตอนที่ 6 – เอสรา ปุโรหิตนักเขียน ผู้ฟื้นฟูประชากรด้วยพระวจนะ
เนื้อหา: เอสรากับการนำประชาชนกลับมาสู่พระวจนะและการฟื้นฟูจิตวิญญาณ (เอสรา 7–10)
แนวคิดหลัก: ผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณต้องยืนหยัดบนพระวจนะเป็นรากฐาน



    เมื่อชาวอิสราเอลกลับมาจากบาบิโลน ทุกคนดีใจที่ได้แผ่นดิน แต่ความจริงคือหัวใจยังไม่กลับมาพร้อมกัน หลายปีในแดนกษัตริย์ต่างชาติทำให้ผู้คนอ่อนแรง เหนื่อยล้า และหลุดจากธรรมเนียมแห่งความเชื่อ เหมือนบ้านที่สร้างใหม่ได้ แต่ฐานรากยังสั่นคลอน ลมพัดนิดก็เริ่มโยก และในความสับสนนี้ พระเจ้าทรงส่งชายผู้หนึ่งกลับมาพร้อมม้วนหนังสือ—เอสรา ปุโรหิตเชื้อสายอาโรน ซึ่งเป็นนักเขียนผู้ชำนาญในธรรมบัญญัติของโมเสส เขาไม่ใช่นักปฏิวัติ ไม่ใช่นักการเมือง แต่เป็นผู้นำฝ่ายวิญญาณที่ยืนหยัดบนพระวจนะอย่างไม่หวั่นไหว แม้คนทั้งเมืองจะล้มลุกคลุกคลาน เขาก็ยังถือพระวจนะไว้แน่นเหมือนเชือกที่ผูกเรือให้ไม่ไหลไปตามกระแสน้ำ

    เอสรามาด้วยหัวใจที่ตั้งมั่น—ศึกษา ปฏิบัติ และสอน—ตามที่เอสรา 7:10 บอกไว้ ไม่ใช่เพื่อแสดงภูมิ แต่เพื่อให้ชีวิตทั้งของตนและประชาชนกลับสู่สิ่งที่มั่นคงกว่าอารมณ์และประสบการณ์ นั่นคือพระวจนะของพระเจ้า เมืองเยรูซาเล็มตอนนั้นเหมือนคนที่กลับบ้านแต่ยังไม่รู้จักบ้านตัวเองดีพอ ชุมชนฟื้นแล้ว แต่จิตใจยังฟุ้งซ่าน แต่งงานปะปนกับชนต่างชาติจนเส้นแบ่งแห่งพันธสัญญาเลือนราง ความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าเริ่มถูกกลบด้วยการประนีประนอม เอสราเห็นแล้วก็ไม่เริ่มด้วยการตะโกน ไม่เริ่มด้วยการตำหนิ แต่เริ่มด้วยการคุกเข่าลง อธิษฐาน น้ำตาไหลคาหนังสือธรรมบัญญัติ นี่คือภาพที่เคร่งขรึมและงดงามตามธรรมเนียมโบราณ—ผู้นำฝ่ายวิญญาณแบกความบาปของประชาชนไว้ต่อหน้าพระเจ้าแทนพวกเขา

    คำอธิษฐานของเขาไม่ใช่คำสั่ง แต่เป็นเสียงร้องของหัวใจที่แหลกละเอียด และนั่นเองที่ทำให้ประชาชนสะเทือนใจ พวกเขาเริ่มกลับมาเงี่ยหูฟังพระวจนะอีกครั้ง เหมือนคนที่เคยจำรสชาติอาหารบ้านเกิดไม่ได้ พอได้ชิมอีกคำเดียวก็รู้ทันทีว่านี่แหละ…สิ่งที่ขาดไปนาน ชาวอิสราเอลพร้อมใจกันกลับใจ ยอมจัดการปัญหา ยอมปรับชีวิตให้สอดคล้องกับคำสอนของพระเจ้า การฟื้นฟูจึงไม่ใช่เรื่องทางสังคมหรือโครงสร้าง แต่เป็นเรื่องของหัวใจที่กลับสู่ถ้อยคำของพระองค์ การกลับไปหาพระวจนะไม่ใช่เรื่องสวยหรู แต่เป็นการถอนรากวัชพืชออกจากดินชีวิต เจ็บนิดๆ แต่ทำให้เติบโตได้อีกครั้ง

    บทเรียนจากเอสราชัดเจนจนแทบไม่ต้องตีความ—พระวจนะไม่ใช่ของตกแต่ง ไม่ใช่ของตั้งบนหิ้งไว้กันฝุ่น และไม่ใช่ทางแก้ยามคับขันเท่านั้น แต่เป็นฐานรากของชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ ถ้าพื้นห้องแตกร้าวก็ซ่อมไม่ได้ด้วยการซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่ ชีวิตก็เช่นกัน ถ้าพระวจนะไม่อยู่ใต้เท้า ก้าวไปทางไหนก็ล้มง่ายทั้งนั้น ผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณในยุคใดก็ตามต้องเริ่มตรงจุดเดียวกับเอสรา—ฟังให้ลึก ทำให้จริง แล้วสอนอย่างสัตย์ซื่อ ความมั่นคงของประชาชนเริ่มที่ความมั่นคงของผู้นำ และความมั่นคงของผู้นำเริ่มที่พระวจนะ

    ข้อคิดประจำวัน:
    “อย่าให้พระวจนะกลายเป็นเข็มฉีดยาเวลาจำเป็นเท่านั้น แต่ให้เป็นลมหายใจที่หล่อเลี้ยงทุกวัน”
    ใครกลับหาพระวจนะก่อน ชีวิตคนนั้นก็กลับเข้าที่ก่อนเสมอ และนั่นคือสิ่งที่เอสราทำให้เราเห็นอย่างหมดจดจนวันนี้ยังไม่มีใครแทนที่ได้










วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ตระกูลคนเลวีในพระวิหาร การรับใช้ที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า

ตอนที่ 5 – ตระกูลคนเลวีในพระวิหาร : การรับใช้ที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า

เนื้อหา : บทบาทผู้เลวีในพระวิหารสมัยดาวิดและซาโลมอน (1 พงศาวดาร 23–25) ทั้งด้านการร้องเพลง การเฝ้าพระนิเวศ การช่วยปุโรหิต

แนวคิดหลัก : การรับใช้ทุกด้านมีคุณค่าเมื่อถวายแด่พระเจ้า



    ตระกูลคนเลวีในพระวิหาร : การรับใช้ที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า (อิง 1 พงศาวดาร บทที่ 23 ถึง 25)
ในสมัยกษัตริย์ดาวิด เมื่อพระวิหารใกล้จะถูกสร้างขึ้น ดาวิดได้จัดระเบียบตระกูลคนเลวีอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การรับใช้ในพระนิเวศดำเนินไปอย่างสมบูรณ์ คนเลวีไม่ได้เป็นเพียงผู้ช่วยปุโรหิตเท่านั้น แต่เป็นผู้มีบทบาทหลากหลายในการถวายเกียรติแด่พระเจ้า
    บางพวกถูกแต่งตั้งให้ ร้องเพลงสรรเสริญ พระเจ้า—พวกเขาคือบุตรหลานของอาสาฟ เฮมาน และเยดูธูน ผู้ใช้เสียงดนตรีเป็นการนมัสการอย่างจริงใจ เสียงพิณและฉาบสะท้อนให้เห็นถึงใจที่เปี่ยมด้วยความยินดีในพระเจ้า
    อีกบางพวกมีหน้าที่ เฝ้าพระนิเวศ พวกเขายืนอยู่ตามประตูต่าง ๆ ดูแลความบริสุทธิ์และความสงบเรียบร้อยของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เพราะตำแหน่งสูงส่ง แต่เพราะเข้าใจว่าการปกป้องพระนิเวศคือการปกป้องเกียรติของพระเจ้า
    ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง ช่วยเหลือปุโรหิต ในการถวายบูชา จัดเตรียมเครื่องบูชา ล้างภาชนะ และงานเบื้องหลังที่ดูเหมือนไม่สำคัญ แต่ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการอันครบถ้วน
    ภายใต้การจัดสรรของดาวิดและต่อมาในรัชกาลของซาโลมอน งานของคนเลวีสะท้อนความเป็นระเบียบ ความร่วมมือ และความเข้าใจว่า “การรับใช้ใด ๆ ที่ถวายแด่พระเจ้า ย่อมมีคุณค่าเสมอ” ไม่ว่าจะอยู่หน้าพระที่นั่งหรือหลังม่าน ทุกหน้าที่ต่างเป็นส่วนหนึ่งของการถวายเกียรติแด่พระองค์

    ข้อคิดประจำวันนี้ :
    การรับใช้พระเจ้าไม่ว่ายิ่งใหญ่หรือเล็กน้อย หากทำด้วยใจสัตย์ซื่อและถวายแด่พระองค์ ย่อมมีคุณค่าเท่ากันในสายพระเนตรของพระเจ้า.











วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ฟีเนหัส ความร้อนรนเพื่อความบริสุทธิ์ของพระเจ้า

ตอนที่ 4 – ฟีเนหัส : ความร้อนรนเพื่อความบริสุทธิ์ของพระเจ้า
เนื้อหา: ฟีเนหัสที่ยืนหยัดต้านบาปและปกป้องพันธสัญญา (กันดารวิถี 25:6–13)
แนวคิดหลัก: ความสัตย์ซื่อและความร้อนรนเพื่อความบริสุทธิ์นำพระพรสู่รุ่นต่อรุ่น



ฟีเนหัส : ความร้อนรนเพื่อความบริสุทธิ์ของพระเจ้า
กันดารวิถี 25:6 - 13

    ในช่วงที่ชนอิสราเอลพำนักอยู่ที่เมืองสิทธิม พวกเขาหลงเข้าไปทำบาปกับหญิงชาวโมอับ ร่วมกินบูชารูปเคารพ และละเมิดพันธสัญญากับพระเจ้า พระพิโรธของพระยาห์เวห์จึงลุกโชนขึ้น และโรคระบาดได้แพร่กระจายท่ามกลางประชาชน

    ท่ามกลางความสับสนและความเสื่อมทางจิตวิญญาณนั้น มีชายคนหนึ่งลุกขึ้น—ฟีเนหัส บุตรของเอเลอาซาร์ หลานของอาโรนมหาปุโรหิต เขาเห็นชายอิสราเอลคนหนึ่งพาหญิงมีเดียนเข้ามาต่อหน้าผู้คน ทั้งที่พระเจ้าได้ทรงห้ามไว้ ฟีเนหัสจึงหยิบหอกแทงทั้งคู่เสียในทันที การกระทำของเขาไม่ใช่เพราะความโกรธส่วนตัว แต่เป็นความร้อนรนเพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของพระนามพระเจ้า

    เมื่อฟีเนหัสยืนหยัดในความสัตย์ซื่อ พระพิโรธของพระเจ้าก็สงบลง โรคระบาดหยุด และพระเจ้าตรัสรับรองว่า ฟีเนหัสได้ “ระงับความโกรธของเรา เพราะเขาร้อนรนเพื่อเรา” พระองค์จึงทรงทำพันธสัญญาแห่ง สันติสุข และ ปุโรหิตตลอดกาล แก่เขาและเชื้อสายของเขา

    เรื่องของฟีเนหัสจึงเป็นภาพตัวอย่างของคนที่ ไม่ยอมปล่อยให้ความชั่วแทรกซึมเข้ามาในประชากรของพระเจ้า ความร้อนรนเพื่อความบริสุทธิ์ของเขาไม่เพียงปกป้องชนชาติอิสราเอล แต่ยังนำพระพรต่อเนื่องมาถึงรุ่นต่อรุ่น

    ข้อคิดประจำวัน “เมื่อเราร้อนรนเพื่อพระเจ้า พระองค์ก็ทรงตั้งเราขึ้นเป็นพยานแห่งสันติสุข”