ค้นหาข้อมูลจากบล็อกนี้

วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2552

การสร้างพระวิหารหลังที่ 3


การสร้างพระวิหารหลังที่ 3 สัญญาณเริ่มต้นของยุคสุดท้ายในช่วงปี 2000 ที่ผ่านมา ผู้คนในโลกต่างหวาดกลัวถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของยุคพันปี เพราะข้อมูลและคำทำนาย รวมไปถึงคำพยากรณ์จากพระคัมภีร์เล็งถึงวันนั้นคำว่า “วันสิ้นโลก” จึงถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย และการคำนวณถึงวันเวลาดังกล่าวก็ตามมาด้วยเช่นกัน แน่นอนว่า “ปี ค.ศ. 2000” จึงถูกระบุว่าเป็น “วันสิ้นโลก” ของหลายๆ ผู้ทำนาย รวมไปถึงคริสเตียนบางกลุ่มที่เชื่อเรื่องนี้ด้วยแต่โลกก็ผ่านมาแล้วถึง 9 ปี (2009) เรื่อง “วันสิ้นโลก” ก็ถูกปลุกกระแสอีกครั้ง เมื่อพม่าประสบภัยพิบัติพายุถล่มเมืองย่างกุ้งเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม มีชาวบ้านเสียชีวิตมากมาย และต่อมาอีก 10 วันก็เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เมืองจีน ในวันที่ 12 พฤษภาคม คร่าชีวิตผู้คนมากกว่า 80,000 คน ทั้งสองเหตุการณ์ได้ปลุกกระแสวันสิ้นโลกอีกครั้งในพระคัมภีร์เองได้ระบุถึงวันเปลี่ยนแปลงโลกเอาไว้เช่นกัน แต่ไม่ได้กล่าวว่าเป็นวันสิ้นโลกแต่อย่างใด แต่กล่าวว่าเป็น “วันสิ้นยุค”

“...แต่จงเข้าใจข้อนี้ คือว่าในสมัยจะสิ้นยุคนั้น จะเกิดเหตุการณ์กลียุค...” 2 ทิโมธี 3:1

กลียุค คือยุคแห่งความวุ่นวายต่างๆ นานา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภัยพิบัติต่างๆ อย่างเช่นแผ่นดินไหว น้ำแข็งขั้วโลกละลายจนภูมิศาสตร์โลกเปลี่ยนไป อีกทั้งระบบเศรษฐกิจโลกที่กำลังปั่นป่วน หุ้นตก บริษัทยักษ์ใหญ่ล่มสลาย รวมไปถึงปัญหาการเมืองทั้งภายในและนอกประเทศที่กำลังเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ราวกับว่าเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ได้กำลังส่งสัญญาณเตือนเราเป็นระยะๆ

แล้วอะไรกันแน่ที่จะเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของ “ยุคสุดท้าย” ว่ามันได้เริ่มขึ้นแล้ว

พวกสาวกมาเฝ้าส่วนตัวกราบทูลว่า “ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ทั้งหลายทราบว่า เหตุการณ์เหล่านี้จะบังเกิดขึ้นเมื่อไรสิ่งไรเป็นหมายสำคัญว่าพระองค์จะเสด็จมา และยุคเก่าจะสิ้นสุดลง” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ระวังให้ดี อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านให้หลง ด้วยว่าจะมีหลายคนมา ต่างอ้างนามของเราว่าตัวเขาเป็นพระคริสต์ เขาจะให้คนเป็นอันมากหลงไป ท่านทั้งหลายจะได้ยินเสียงสงคราม และข่าวลือเรื่องสงคราม คอยระวังอย่าตื่นตระหนกเลย ด้วยว่าบรรดาสิ่งเหล่านี้จำต้องบังเกิดขึ้น แต่ที่สุดปลายยุคยังไม่มาถึง เพราะประชาชาติต่อประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อราชอาณาจักรจะต่อสู้กัน ทั้งจะเกิดกันดารอาหารและแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ เหตุการณ์ทั้งปวงนี้เป็นขั้นแรกแห่งความทุกข์ลำบาก ซึ่งต้องมีมาก่อนกำเนิดยุคใหม่..” มัทธิว 24:3-8

แม้ในพระคัมภีร์จะได้กล่าวเตือนไว้หลายประการถึงสัญญาณต่างๆ แต่หลายๆ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่ว่าจะมี พระคริสต์เทียมเท็จ สงคราม การกันดารอาหาร หรือเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึ่งจะต้องมีก่อนยุคใหม่

...ท่านผู้หนึ่งจึงเอาไม้อ้อท่อนหนึ่งให้ข้าพเจ้ารูปร่างเหมือนไม้วัด แล้วสั่งข้าพเจ้าว่า “จงลุกขึ้นไปวัดพระวิหารของพระเจ้า และแท่นบูชาและคำนวณคนทั้งหลายซึ่งนมัสการในนั้น แต่ไม่ต้องวัดลานชั้นนอกพระวิหารนั้น เพราะว่าที่นั่นได้มอบให้แก่คนต่างชาติแล้ว และเขาจะเหยียบย่ำวิสุทธนคร ตลอดสี่สิบสองเดือน..” วิวรณ์ 11:1-2

42 เดือน เท่ากับ 3 ปีครึ่ง จากพระคัมภีร์ใหม่ตอนนี้ไปสอดคล้องกับพระคัมภีร์เดิมอีกตอนหนึ่ง ..ที่สุดปลายของมันจะมาถึงด้วยน้ำท่วม จนกระทั่งที่สุดจะมีสงคราม มีความวิบัติกำหนดไว้ มันจะทำพันธสัญญาเข้มแข็งกับคนเป็นอัน มากอยู่หนึ่งสัปตะ ท่านจะกระทำให้การถวายสัตวบูชา และเครื่องบูชาอื่นๆ หยุดไปครึ่งสัปตะ... ดาเนียล 9:26-27

1 สัปตะ เท่ากับ 7 ปี ครึ่งสัปตะ จึงเท่ากับ 3 ปีครึ่ง

จากพระธรรมทั้งสองข้อที่สอดคล้องกันนี้ ทำให้เราทราบแบบคร่าวๆ ว่า จะต้องมีการสร้างพระวิหารขึ้นมา ภายใน 7 ปี และมีการหยุดพักครึ่งทาง คือ 3 ปีครึ่ง

ดังนั้น การสร้างพระวิหารหลังที่ 3 จึงกลายเป็นสัญญาณเตือนให้เราทราบถึงกำหนดของยุคสุดท้าย เพราะหลังจากปี ค.ศ. 2000 ที่ผ่านมาได้มีการเคลื่อนไหวมากมายเกี่ยวกับการสร้างพระวิหารหลังที่ 3 ในอิสราเอล มีการแห่ก้อนศิลาสำหรับทำพระวิหารในเยรูซาเล็ม

อีกทั้งยังมีกลุ่มสมาคมลับกลุ่มหนึ่งซึ่งเคยอ้างว่าจะสร้างพระวิหารเมื่อปี ค.ศ. 1909 และจะครบกำหนด 100 ปี ในปี 2009 นั่นคือ “สมาคมฟรีเมสัน (FREE MASON)”

สมาคมนี้เป็นสมาคมเกี่ยวกับช่างก่อสร้าง และอ้างว่าพวกเขาได้ค้นพบแปลนพระวิหารตั้งแต่สมัยสงครามครูเสดโดยกลุ่มอัศวินเทมปลาร์ (Knight Templar) จึงมีเป้าหมายที่จะสร้างพระวิหารมาตลอด และสมาคมนี้ยกย่อง ฮีราม (Hiram) หรือ หุราม ให้เป็นดังศาสดาของพวกเขา ฮีรามคือช่างฝีมือในยุคของโซโลมอนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างพระวิหารหลังแรก

ไม่มีความคิดเห็น: