ปีใหม่นี้ ใครมีวันหยุดก็ลองพาครอบครัวไปเที่ยวบ้่างนะ จะพบข้อดีของการไปเที่ยว ดังต่อไปนี้
ค้นหาข้อมูลจากบล็อกนี้
วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553
คริสตมาสที่ Home Church
คืนวันที่ 25 ธค. ผมและครอบครัวก็มาจบที่ปาร์ตี้เล็กๆ ของ Home Church ที่ผมไปเป็นประจำทุกอาทิตย์ที่อยู่ในกรุงเทพฯ อยู่แถวย่านถนนรามอิทรา กม. 2 ลาดปลาเค้า
คริสตมาสที่ Cystal Park
เป็นงานพิเศษที่มูลนิธิศุภนิมิตจัดขึ้น เมื่อวันที่ 25 ธค. และเด็กๆ ปัญโญทัยได้ไปร่วมขับร้องบทเพลงคริสตมาสที่ คริสตัล ปาร์ค อยู่เลียบถนนทางด่วย เอกมัย-รามอินทรา
คริสตมาสที่ปัญโญทัย
บรรยากาศงานคริสตมาสที่โรงเรียนปัญโญทัย ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ลูกชายของผมทั้งสอง เรียนและศึกษาอยู่ เป็นโรงเรียนขนาดกะทัดรัด คือมี 1 ชั้นต่อ 1 ห้องเรียน และเ้มื่อวันที่ 24 ธันวาคม ก็มีงานเลี้ยงพิเศษ คือผู้ปกครองนำอาหารมาเลี้ยงกัน มีการแสดงขับร้องเพลงคริสตมาส และเล่นดนตรีด้วย อีกทั้งยังมีการแลกของขวัญที่พ่อแม่ทำให้ลูก ลูกทำให้พ่อแม่ บรรยากาศอบอุ่นครับ
เหมือนเทศกาลซากุระที่ญี่ปุ่น
วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553
มุมมองจากวันคริสตมาสแรก
เมื่อวานซืนผมไปที่คจ.มหาชล ไปงานปาร์ตี้ซึ่งจัดโดยคจ.แห่งสันติภาพ โดยอ.สวัสดิ์ เป็นคนเชิญไปร่วมฉลองเทศกาลคริสตมาสที่นั่น ขณะที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร ก็มีความคิดแวบเข้ามาว่าถ้าหากจะแบ่งปันเรื่องวันคริสตมาสจะพูดเรื่องอะไร ก็รีบดึงข้อมูลจากสมองส่วนเก็บความจำ คลังพระคัมภีร์ เตรียมว่าหากเขาเชิญให้พูดก็จะแบ่งปัน แต่พอดีเวลาจำกัด กิจกรรมเยอะ เลยผ่านไป
แต่ความคิดนี้ยังคงวนเวียน จึงต้องนำมาเล่าผ่านบล็อกนี้เพื่อเก็บความทรงจำของตนเองเอาไว้ เพราะวันหนึ่้งคงจะหลงลืมตามวัยอันควร
ประเด็นที่จะเล่าคือ.. มีใครบ้างในคริสตมาสแรกที่รู้เรื่องการประสูติืของพระคริสต์.. แล้วเขาตอบสนองอย่างไร?
1. โหราจารย์ (นักปราชญ์)
น่าจะเป็นคนกลุ่มแรกที่รู้เรื่องนี้ เพราะพวกเขาใช้องค์ความรู้ทั้งหมดที่พวกเขาศึกษา และต้่องการพิสูจน์ความจริงตามที่ตำราว่าเอาไว้ จะว่าไป กลุ่มคนพวกนี้ก็ไม่ต่างจากพวกหมอดู อาศัยความรู้จากตำรา ตีความเอาเอง จนต้องไปถามถึงในวังของเฮโรด คือแม้จะมีความรู้ แต่ก็สุ่มๆ ไป ลองผิดลองถูก เหมือนนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน คือทดลองไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพบ ทั้งที่ความจริงมีอยู่แล้ว
แน่นอนว่าสุดท้าย คนกลุ่มนี้ก็ได้พบพระคริสต์ที่มาบังเกิดเป็นกษัตริย์ แล้วมอบของขวัญให้ตามกำลังทรัพย์ที่ตนเองนำมา
แต่กลับไม่สามารถไปเล่าให้ใครฟังต่อ เพราะความรู้ความเข้าใจของพวกเขาเป็นอันตรายต่อผู้อื่น
หมายความว่าความรู้ของพวกเขาเป็นภัยต่อผู้มาบังเกิด (ดูข้อต่อไป)
2. เฮโรด
ในคริสตมาสแรก เฮโรดก็เป็นอีกคนที่รู้เรื่องนี้ แต่เขาหงุดหงิด และโกรธ เพราะข่าวที่พวกโหราจารย์นำมาบอก นั่นหมายความว่าจะมีคนมาแทนที่เขา ในโลกนี้จะมีคนแบบนี้บ้างไหม ที่ไม่พอใจในองค์ความรู้ เมื่อมีคนที่จะมาเปลี่ยนแปลงโลก เปลี่ยนชีวิตเรา เปลี่ยนทุกอย่างที่เราเคยทำ เปลี่ยนสารพัดที่เราชอบ และเราต้องหมดสิทธิ์ที่จะครอบครองสิ่งที่เรามีอยู่ โดยผู้มาใหม่จะมาแทนที่ทุกอย่าง
แน่นอนว่าเฮโรดไม่ชอบ และไม่เห็นด้วยกับกษัตริย์องค์ใหม่ที่มาพร้อมกับข่าวของเหล่านักปราชญ์ (โหราจารย์) ซ้ำยังวางแผนและกระทำการสังหารทารกแรกเกิดด้วยความอาฆาตด้วย ทั้งๆ ที่เด็กที่มาเกิดยังไม่ได้ทำอะไรให้เขาเลย เรียกว่าพาลความจริง หรือเป็นคนประเภทไม่ยอมรับความจริง
3. คนเลี้ยงแกะ
ไม่น่าเชื่อเลยว่า สุดท้ายคนเลี้ยงแกะ (ชาวบ้าน) เป็นกลุ่มคนที่ได้รับข่าวดีนี้ และที่สำคัญทูตของพระเจ้าเองมาบอกข่าวกับพวกเขา และเขาก็ไปพบพระกุมารตามที่ทูตสวรรค์บอก
ผลตอบรับของคนกลุ่มนี้ ชัดเจน นั่นคือความยินดี และที่สำคัญ พวกเขาไปบอกคนอื่นๆ ในหมู่บ้านถึงข่าวดีในวันคริสตมาส และการบังเกิดของพระผู้ไถ่
บทสรุป ท่านคิดว่าท่านเป็นคนแบบไหน- ใช้ความรู้มาหาพระคริสต์ แต่สุดท้ายบอกใครก็ไม่ได้ ว่าได้พบพระคริสต์แล้ว ต้องกลับบ้านไปอย่างเงียบๆ
- ไม่พอใจข่าวดี ไม่อยากเปลี่ยนชีวิต ไม่อยากเปลี่ยนวิถีเดิมๆ อยากเป็นคนอย่างเดิม อย่ามายุ่งกับอาณาจักรของฉัน แบบเดียวเฮโรด และโกรธด้วยเมื่อคนมาเล่าเรื่องพระคริสต์เป็นพระเจ้า
- รู้แล้ว ต้องบอกต่อ อดไม่ได้ เพราะมันน่ายินดีจริงๆ แบบคนเลี้ยงแกะ (มีคน 33% ของโลกที่รับเรื่องนี้)
วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553
คริสตมาส 3 บรรยากาศ
คริสตมาสปีนี้ ผมมีโอกาสเข้าร่วมงานถึง 3 ที่ 3 บรรยากาศ แต่ละที่ก็มีความแตกต่างกัน แต่ก็มีหัวใจเดียวกัน นั่นคือวันคริสตมาส วันประสูติของพระเยซูคริสต์ วันที่ผู้คนมอบของขวัญให้กันและกันโดยผ่านความรักของพระเจ้า
ที่แรกก็คือที่จังหวัดเลย อ.ปากชม ที่คจ.โป่งสำราญ เมื่อวันที่ 11 ธค. ที่นี่บรรยากาศแบบลูกทุ่ง เพลงลูกทุ่ง หมอลำ ในสไตล์คันทรี่
กิจกรรมบนเวทีโดย อ.ต่อ แห่ง คจ.โป่งสำราญ
ที่แรกก็คือที่จังหวัดเลย อ.ปากชม ที่คจ.โป่งสำราญ เมื่อวันที่ 11 ธค. ที่นี่บรรยากาศแบบลูกทุ่ง เพลงลูกทุ่ง หมอลำ ในสไตล์คันทรี่
พวกเราไปมอบเสื้อกันหนาวให้ชาวบ้านที่นั่น 100 ตัว
กิจกรรมบนเวทีโดย อ.ต่อ แห่ง คจ.โป่งสำราญ
แห่งที่สองก็คือ โรงแรมคอนราด เป็นงานคริสตมาสแบบหรูหรา รับประทานอาหารในโรงแรม แน่นอนว่าแตกต่างจากงานแรกอย่างสิ้นเชิง ที่นี่จัดโดยคจ.ความหวังกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 16 ธค.
แห่งที่สาม เป็นแบบงานปาร์ตี้ โต๊ะจีน จัดโดย คจ.แห่งสันติภาพ อ.สวัสดิ์ เชิญผมไปร่วมงาน บรรยากาศเป็นกันเองโดยสมาชิกร่วมกันจัดขึ้นมา มีการแสดงของเด็กๆ น่ารักดีครับ สถานที่จัด คจ.มหาชล นวมินทร์ 24 เมื่อวันที่ 22 ธค.
สถานที่ประดับประดาด้วยไฟ
วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553
บทสนทนาเรื่องทูตสวรรค์
[c=8]mart[/c] พูดว่า
พี่คับ ทูตสวรรค์ประจำตัว เราอธิฐาน ให้ เขาช้วยเราเหรอคับ
A.J. Printson พูดว่า
ฮึๆ
[c=8]mart[/c] พูดว่า
หรือเราแค่รู้จัก ชื่อเฉยๆ
A.J. Printson พูดว่า
ใช้งานได้ด้วย
[c=8]mart[/c] พูดว่า
ใช้ยังไงคับ
จะใช้เขาได้เหรอคับ เขาเป็นตั่งทูตสวรรค์
A.J. Printson พูดว่า
มันเป็นเรื่องระดับสูง ต้องอธิบายยาว
[c=8]mart[/c] พูดว่า
ถ้าผมอธิฐานขอพระเจ้า ทรงให้ทูตสวรรค์มาช่วยเหรอคับ
อย่างผมดู รายชื่อ ทูตสวรรค์ ของผมไปตรง กับ เครูข
A.J. Printson พูดว่า
ทุกคนมีทุตสวรรค์ประจำตัว
ชื่อเป็นแค่ตำแหน่ง
พระคัมภีร์กล่าวถึงทูตสวรรค์หลายครั้ง
เราได้รับสิทธิเพราะพระโลหิตของพระคริสต์
[c=8]mart[/c] พูดว่า
อาเมนคับ
A.J. Printson พูดว่า
หลังจากโปรแตสแตนท์ตัดขาดจากคาทอลิกเมื่อ 500 ปีก่อน เรื่องวิชาทูตสวรรค์จึงขาดไปด้วย
เทวทูตวิทยา เป็นเรื่องหนึ่งที่คาทอลิกเข้าใจ และถือว่าเป็นเรื่องปกติ
ชาวยิวที่เข้าใจก็ใช้เรื่องนี้ในชีวิตประจำวันเสมอ
เพราะนี่คือหลักการความเชื่อมาตั้งแต่บรรพชนแห่งความเชือ อับราฮัม
[c=8]mart[/c] พูดว่า
อาเมนคับ
A.J. Printson พูดว่า
ข้อสังเกตจากวันคริสตมาส
มีชาวยิว (คนเลี้ยงแกะ) กลุ่มเดียวเท่านั้นที่ทราบข่าวการมาของพระคริสต์ผ่านทูตสวรรค์ ในขณะที่โหราจารย์ใช้ตำราดวงดาว ติดตามดาว
สรุปได้ว่า ทุกคนสามารถพบพระคริสต์ได้ในทุกวิถีทาง ทางความเชื่อ และศาสตร์แห่งความรู้
[c=8]mart[/c] พูดว่า
อาเมนคับ
ผมได้ความรู้เพิ่มขึ้นคับ
A.J. Printson พูดว่า
แต่โปรแตสแตนท์ ไปจบแค่ความเชื่อ ศาสตร์แห่งดวงดาวจึงถูกลบหลู่ว่าเป็นศาสตร์มืด
และปฏิเสธองค์ความรู้หลายอย่าง รวมถึงเรื่องทูตสวรรค์ มองว่าเป็นศาสตร์ของพวกนิวเอจ
[c=8]mart[/c] พูดว่า
นั่นดิคับ
A.J. Printson พูดว่า
ขอเอาบทสนทนาไปลงในบล็อกได้ป่ะ
เผื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
[c=8]mart[/c] พูดว่า
ได้คับๆ
พี่คับ ทูตสวรรค์ประจำตัว เราอธิฐาน ให้ เขาช้วยเราเหรอคับ
A.J. Printson พูดว่า
ฮึๆ
[c=8]mart[/c] พูดว่า
หรือเราแค่รู้จัก ชื่อเฉยๆ
A.J. Printson พูดว่า
ใช้งานได้ด้วย
[c=8]mart[/c] พูดว่า
ใช้ยังไงคับ
จะใช้เขาได้เหรอคับ เขาเป็นตั่งทูตสวรรค์
A.J. Printson พูดว่า
มันเป็นเรื่องระดับสูง ต้องอธิบายยาว
[c=8]mart[/c] พูดว่า
ถ้าผมอธิฐานขอพระเจ้า ทรงให้ทูตสวรรค์มาช่วยเหรอคับ
อย่างผมดู รายชื่อ ทูตสวรรค์ ของผมไปตรง กับ เครูข
A.J. Printson พูดว่า
ทุกคนมีทุตสวรรค์ประจำตัว
ชื่อเป็นแค่ตำแหน่ง
พระคัมภีร์กล่าวถึงทูตสวรรค์หลายครั้ง
เราได้รับสิทธิเพราะพระโลหิตของพระคริสต์
[c=8]mart[/c] พูดว่า
อาเมนคับ
A.J. Printson พูดว่า
หลังจากโปรแตสแตนท์ตัดขาดจากคาทอลิกเมื่อ 500 ปีก่อน เรื่องวิชาทูตสวรรค์จึงขาดไปด้วย
เทวทูตวิทยา เป็นเรื่องหนึ่งที่คาทอลิกเข้าใจ และถือว่าเป็นเรื่องปกติ
ชาวยิวที่เข้าใจก็ใช้เรื่องนี้ในชีวิตประจำวันเสมอ
เพราะนี่คือหลักการความเชื่อมาตั้งแต่บรรพชนแห่งความเชือ อับราฮัม
[c=8]mart[/c] พูดว่า
อาเมนคับ
A.J. Printson พูดว่า
ข้อสังเกตจากวันคริสตมาส
มีชาวยิว (คนเลี้ยงแกะ) กลุ่มเดียวเท่านั้นที่ทราบข่าวการมาของพระคริสต์ผ่านทูตสวรรค์ ในขณะที่โหราจารย์ใช้ตำราดวงดาว ติดตามดาว
สรุปได้ว่า ทุกคนสามารถพบพระคริสต์ได้ในทุกวิถีทาง ทางความเชื่อ และศาสตร์แห่งความรู้
[c=8]mart[/c] พูดว่า
อาเมนคับ
ผมได้ความรู้เพิ่มขึ้นคับ
A.J. Printson พูดว่า
แต่โปรแตสแตนท์ ไปจบแค่ความเชื่อ ศาสตร์แห่งดวงดาวจึงถูกลบหลู่ว่าเป็นศาสตร์มืด
และปฏิเสธองค์ความรู้หลายอย่าง รวมถึงเรื่องทูตสวรรค์ มองว่าเป็นศาสตร์ของพวกนิวเอจ
[c=8]mart[/c] พูดว่า
นั่นดิคับ
A.J. Printson พูดว่า
ขอเอาบทสนทนาไปลงในบล็อกได้ป่ะ
เผื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
[c=8]mart[/c] พูดว่า
ได้คับๆ
วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ไปฟังสัมมนา "เจาะลึกภัยพิบัติ" ที่ ม.ศรีปทุม
วันทีี่ 19 ธันวาคม 2010 ผมไปฟังงานสัมมนาเชิงวิชาการเรื่อง "เจาะลึกภัยพิบัติ พลิกวิกฤตให้เป็นทางรอด" ที่ ม.ศรีปทุม บางบัว กรุงเทพฯ
เป็น หัวข้อที่ตัวเองสนใจ และเป็นผู้บรรยายในหลายโอกาส คราวนี้มาเป็นผู้ฟังบ้างก็ได้ความรู้ดีมาก โดยเฉพาะข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับระบบสุริยจักรวาล และดวงอาทิตย์ที่จะส่งผลต่อโลกในช่วงปี 2012-2013
เป็น หัวข้อที่ตัวเองสนใจ และเป็นผู้บรรยายในหลายโอกาส คราวนี้มาเป็นผู้ฟังบ้างก็ได้ความรู้ดีมาก โดยเฉพาะข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับระบบสุริยจักรวาล และดวงอาทิตย์ที่จะส่งผลต่อโลกในช่วงปี 2012-2013
ดร.สมิทธ เป็นผู้ดำเนินรายการเองเลย
สัมมนาเชิงวิชาการ "เจาะลึกเรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติ" "เดลินิวส์" ร่วมมือมูลนิธิสภา เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ม.ศรีปทุม และเว็บไซต์พลังจิตดอทคอม จัดอบรมครั้งใหญ่ เน้นให้ความรู้และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนเรื่องภัยพิบัติ หวังให้เป็นข้อมูล เตรียมความพร้อมของทุกคนหากเกิดเหตุร้ายขึ้นในอนาคต
เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. ดร.ประภา เหตระ กูล ศรีนวลนัด บรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ เปิดเผยถึงวัตถุประสงค์โครงการจัดสัมมนาเชิงวิชาการ “เจาะลึกภัยพิบัติ พลิกวิกฤติให้เป็นทางรอด” ในวันอาทิตย์ที่ 19 ธ.ค.นี้ ที่มหาวิทยาลัยศรีปทุม ว่า ปัจจุบันภัยพิบัติทางธรรมชาติเป็นเรื่องที่ใกล้ตัว ประชาชนทุกคน ซึ่งในอดีตจนถึงรอบปีที่ผ่านมาประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกต่างประสบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว และภูเขาไฟระเบิด เป็นต้น ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นนี้ส่วนหนึ่งมีที่มาจากการกระทำของมนุษย์ และอีกส่วนหนึ่งเป็นผลที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ
“หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ในฐานะสื่อสารมวลชน ตระหนักถึงหน้าที่ในการนำเสนอข่าวสารและความรู้ ตลอดจนข้อเท็จจริงให้กับประชาชนได้รับทราบ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและพร้อมรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่อาจเกิด ขึ้นในอนาคต การที่ประชาชนได้รู้ถึงสาเหตุและที่มาของการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติใน ลักษณะต่าง ๆ จะช่วยให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ ไม่ก่อให้เกิดความตระหนกตกใจ และรู้วิธีป้องกัน หรือบรรเทาผลอันเกิดจากภัยพิบัติเหล่านั้นให้ลดน้อยลง โดยกลุ่มเป้าหมายของงานสัมมนา คือ นักศึกษา นักวิชาการ และประชาชนที่สนใจ” ดร.ประภา กล่าว
สำหรับโครงการจัดสัมมนาเชิงวิชา การ “เจาะลึกภัยพิบัติ พลิกวิกฤติให้เป็นทางรอด” เกิดจากความร่วมมือระหว่างหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม มูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และเว็บไซต์พลังจิตดอทคอม โดยรูปแบบการ จัดงานสัมมนา จะมี 8 วิทยากรจากหลากหลายสาขาวิชาการมาบอกถึงสาเหตุการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ ได้แก่ ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ มาให้ความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ภัยพิบัติในปัจจุบัน, ดร.ก้องภพ อยู่เย็น ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องระบบสุริยจักรวาล อิทธิพลต่อการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ และการคาดการณ์ภัยพิบัติธรรม ชาติที่จะเกิดขึ้นในอนาคต, ดร.วัฒนา กันบัว และดร.เสรี ศุภราทิตย์ ให้ข้อมูลเจาะลึกเรื่องพายุ น้ำท่วม สตอมเซอจ แผ่นดินไหว
พระอาจารย์รัตน์ (รัตน รตนญาโณ) ให้ความรู้เรื่องกาแล็กซี ทางช้างเผือก และแกนพลังงานโลก ความเชื่อมโยงกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ, ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ให้ข้อมูลเรื่องวิกฤติน้ำท่วมโลก-น้ำท่วมกรุงเทพฯ ขณะที่ นพ.ชาตรี เจริญชีวะกุล จะให้ความรู้เรื่องการเตรียมความพร้อม เพื่อรับมือกับภัยพิบัติ ทางด้านการแพทย์ และนายคณานันท์ ทวีโภค หัวหน้าทีมพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ (ในเว็บไซต์พลังจิต) จะมาแนะนำการทำจิตให้พร้อมเพื่อรับมือกับภัยพิบัติ
ทั้งนี้งานสัมมนาเชิงวิชาการ “เจาะลึกภัยพิบัติ พลิกวิกฤติให้เป็นทางรอด” เปิดให้ลงทะเบียนสำรองที่นั่งผ่านเว็บไซต์ พลังจิตดอทคอม (www.palungjit.com/ seminar/) และอีเมล : seminar@ palungjit.org หรือโทร. 08-6534-1112 ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 16 ธ.ค.นี้ รองรับผู้เข้าร่วมสัมมนาทั้งหมด 1,200 ที่นั่ง ไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ งานจะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 19 ธ.ค.นี้ เวลา 08.30-17.00 น. ที่ห้องบัวหลวง แกรนด์รูม ชั้น 6 อาคาร ดร.สุข พุคยาภรณ์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตบางเขน กรุงเทพฯ
คัดลอกจาก http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=420&contentID=109530
เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. ดร.ประภา เหตระ กูล ศรีนวลนัด บรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ เปิดเผยถึงวัตถุประสงค์โครงการจัดสัมมนาเชิงวิชาการ “เจาะลึกภัยพิบัติ พลิกวิกฤติให้เป็นทางรอด” ในวันอาทิตย์ที่ 19 ธ.ค.นี้ ที่มหาวิทยาลัยศรีปทุม ว่า ปัจจุบันภัยพิบัติทางธรรมชาติเป็นเรื่องที่ใกล้ตัว ประชาชนทุกคน ซึ่งในอดีตจนถึงรอบปีที่ผ่านมาประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกต่างประสบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว และภูเขาไฟระเบิด เป็นต้น ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นนี้ส่วนหนึ่งมีที่มาจากการกระทำของมนุษย์ และอีกส่วนหนึ่งเป็นผลที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ
“หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ในฐานะสื่อสารมวลชน ตระหนักถึงหน้าที่ในการนำเสนอข่าวสารและความรู้ ตลอดจนข้อเท็จจริงให้กับประชาชนได้รับทราบ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและพร้อมรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่อาจเกิด ขึ้นในอนาคต การที่ประชาชนได้รู้ถึงสาเหตุและที่มาของการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติใน ลักษณะต่าง ๆ จะช่วยให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ ไม่ก่อให้เกิดความตระหนกตกใจ และรู้วิธีป้องกัน หรือบรรเทาผลอันเกิดจากภัยพิบัติเหล่านั้นให้ลดน้อยลง โดยกลุ่มเป้าหมายของงานสัมมนา คือ นักศึกษา นักวิชาการ และประชาชนที่สนใจ” ดร.ประภา กล่าว
สำหรับโครงการจัดสัมมนาเชิงวิชา การ “เจาะลึกภัยพิบัติ พลิกวิกฤติให้เป็นทางรอด” เกิดจากความร่วมมือระหว่างหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม มูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และเว็บไซต์พลังจิตดอทคอม โดยรูปแบบการ จัดงานสัมมนา จะมี 8 วิทยากรจากหลากหลายสาขาวิชาการมาบอกถึงสาเหตุการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ ได้แก่ ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ มาให้ความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ภัยพิบัติในปัจจุบัน, ดร.ก้องภพ อยู่เย็น ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องระบบสุริยจักรวาล อิทธิพลต่อการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ และการคาดการณ์ภัยพิบัติธรรม ชาติที่จะเกิดขึ้นในอนาคต, ดร.วัฒนา กันบัว และดร.เสรี ศุภราทิตย์ ให้ข้อมูลเจาะลึกเรื่องพายุ น้ำท่วม สตอมเซอจ แผ่นดินไหว
พระอาจารย์รัตน์ (รัตน รตนญาโณ) ให้ความรู้เรื่องกาแล็กซี ทางช้างเผือก และแกนพลังงานโลก ความเชื่อมโยงกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ, ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ให้ข้อมูลเรื่องวิกฤติน้ำท่วมโลก-น้ำท่วมกรุงเทพฯ ขณะที่ นพ.ชาตรี เจริญชีวะกุล จะให้ความรู้เรื่องการเตรียมความพร้อม เพื่อรับมือกับภัยพิบัติ ทางด้านการแพทย์ และนายคณานันท์ ทวีโภค หัวหน้าทีมพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ (ในเว็บไซต์พลังจิต) จะมาแนะนำการทำจิตให้พร้อมเพื่อรับมือกับภัยพิบัติ
ทั้งนี้งานสัมมนาเชิงวิชาการ “เจาะลึกภัยพิบัติ พลิกวิกฤติให้เป็นทางรอด” เปิดให้ลงทะเบียนสำรองที่นั่งผ่านเว็บไซต์ พลังจิตดอทคอม (www.palungjit.com/ seminar/) และอีเมล : seminar@ palungjit.org หรือโทร. 08-6534-1112 ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 16 ธ.ค.นี้ รองรับผู้เข้าร่วมสัมมนาทั้งหมด 1,200 ที่นั่ง ไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ งานจะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 19 ธ.ค.นี้ เวลา 08.30-17.00 น. ที่ห้องบัวหลวง แกรนด์รูม ชั้น 6 อาคาร ดร.สุข พุคยาภรณ์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตบางเขน กรุงเทพฯ
คัดลอกจาก http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=420&contentID=109530
ทำงาน 3 จังหวัด ประจวบฯ-ชุมพร-เพชรบุรี
เมื่อวัีนที่ 17-18 ธันวาคม 2010 ผมไปทำงานที่ทางภาคใต้บ้าง หลังจากไปทำงานที่ภาคอีสานและภาคเหนือมาหลายเดือน ภารกิจคราวนี้คือการไปบรรยายเรื่องน้ำหมักชีวภาพ ที่อ. บางสะพานน้อย จ.ประจวบฯ แล้วก็ไปชุมพร จากนั้นก็กลับมาที่จ.เพชรบุรี เ้ป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจ 2 วัน 1 คืน กลับทริปภาคใต้
วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553
คำแบ่งปันจากอ.ปากชม
ข้อพระคัมภีร์จากมัทธิว บทที่ 13
คำอุปมาเกี่ยวกับข้าวสาลีและข้าวละมาน
ทรงอธิบายคำอุปมาเกี่ยวกับข้าวสาลีและข้าวละมาน
อีกอย่าง เมื่อมองกลับมายังคริสตจักร ในโบสถ์ ตัวเราเองหรือเปล่าที่อาจจะเป็นข้าวละมาน เพราะนอกจากจะไม่เกิดผล 30 เท่า 60 เท่า หรือ 100 เท่า ยังชูคอโดดเด่นกว่าผู้อื่น สิ่งที่สังเกตได้ชัดคือ
ยิ่งเกิดผลมากยิ่งถ่อมมาก เพราะข้าวยิ่งมีเมล็ดมาก กิ่งก้านก็ค้อมลงเพราะน้ำหนักเมล็ดข้าวที่เพิ่มจำนวน
ดังนั้นอุปมาเรื่องนี้ คงพูดถึงคริสเตียนโดยตรง เพราะเราต้องสำรวจชีวิตเราให้ดี อยู่ในนาของพระเจ้า ต้องเกิดผล เด็กๆ ถามว่า เกิดผลได้ยังไง หลายคนอาจจะมองเรื่องการนำคนมารับเชื่อ ยิ่งหลายคนยิ่งเกิดผล ซึ่งโดยกายภาพ หรือจำนวนนับก็น่าจะเป็นแบบนั้น แต่ในโลกของจิควิญญาณ หาเป็นเช่นนั้นไม่
ใครเกิดผล ก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจ ผลที่ว่าคือผลของพระวิญญาณ ถ้าเราสามารถแสดงความรัก ความเมตตา มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีคนอยากอยู่ใกล้ อยากคุยด้วย มากกว่าอยากอยู่ห่างๆ นั่นก็น่าจะเพียงพอสำหรับการรับรู้ของเรา
หากใครแวะเข้ามาอ่าน ก็ถือว่า พระเจ้าปรารถนาให้ท่านเกิดผล 30 เท่า 60 เท่า 100 เท่า บ้าง ก็ตามแต่ท่านจะพรวนดิน ไถปรับชีวิตของท่าน เพื่อรับเม็ลดพันธุ์ที่ดีจากพระเจ้า
คำอุปมาเกี่ยวกับข้าวสาลีและข้าวละมาน
- 24 พระองค์ตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังว่า "อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนชายคนหนึ่งได้หว่านพืชดีในนาของตน
- 25 แต่เมื่อคนทั้งหลายนอนหลับอยู่ ศัตรูของคนนั้นมาหว่านข้าวละมานปนกับข้าวสาลีนั้นไว้ แล้วก็หลบไป
- 26 ครั้นต้นข้าวนั้นงอกขึ้นออกรวงแล้ว ข้าวละมานก็ปรากฏขึ้นด้วย
- 27 ผู้รับใช้แห่งเจ้าบ้านจึงมาแจ้งแก่นายว่า `นายเจ้าข้า ท่านได้หว่านพืชดีในนาของท่านมิใช่หรือ แต่มีข้าวละมานมาจากไหน'
- 28 นายก็ตอบพวกเขาว่า `นี้เป็นการกระทำของศัตรู' พวกผู้รับใช้จึงถามนายว่า `ท่านปรารถนาจะให้พวกเราไปถอนและเก็บข้าวละมานหรือ'
- 29 แต่นายตอบว่า `อย่าเลย เกลือกว่าเมื่อกำลังถอนข้าวละมานจะถอนข้าวสาลีด้วย
- 30ให้ทั้งสองจำเริญไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว และในเวลาเกี่ยวนั้นเราจะสั่งผู้เกี่ยวว่า "จงเก็บข้าวละมานก่อนมัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย แต่ข้าวสาลีนั้นจงเก็บไว้ในยุ้งฉางของเรา"'"
ทรงอธิบายคำอุปมาเกี่ยวกับข้าวสาลีและข้าวละมาน
- 36 แล้วพระเยซูจึงทรงให้คนเหล่านั้นจากไปและเสด็จเข้าไปในเรือน พวกสาวกของพระองค์ก็มาเฝ้าพระองค์ทูลว่า "ขอพระองค์ทรงโปรดอธิบายให้พวกข้าพระองค์เข้าใจคำอุปมาที่ว่าด้วยข้าวละมานในนานั้น"
- 37 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า "ผู้หว่านเมล็ดพืชดีนั้นได้แก่บุตรมนุษย์
- 38 นานั้นได้แก่โลก ส่วนเมล็ดพืชดีได้แก่พลเมืองแห่งอาณาจักร แต่ข้าวละมานได้แก่พลเมืองของมารร้าย
- 39 ศัตรูผู้หว่านข้าวละมานได้แก่พญามาร ฤดูเกี่ยวได้แก่การสิ้นสุดของโลกนี้ และผู้เกี่ยวนั้นได้แก่พวกทูตสวรรค์
- 40 เหตุฉะนั้น เขาเก็บข้าวละมานเผาไฟเสียอย่างไร ในการสิ้นสุดของโลกนี้ก็จะเป็นอย่างนั้น
- 41 บุตรมนุษย์จะใช้พวกทูตสวรรค์ของท่านออกไปเก็บกวาดทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิด และบรรดาผู้ที่ทำความชั่วช้าไปจากอาณาจักรของท่าน
- 42 และจะทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโพลง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
- 43 คราวนั้นผู้ชอบธรรมจะส่องแสงอยู่ในอาณาจักรพระบิดาของเขาดุจดวงอาทิตย์ ใครมีหูจงฟังเถิด
อีกอย่าง เมื่อมองกลับมายังคริสตจักร ในโบสถ์ ตัวเราเองหรือเปล่าที่อาจจะเป็นข้าวละมาน เพราะนอกจากจะไม่เกิดผล 30 เท่า 60 เท่า หรือ 100 เท่า ยังชูคอโดดเด่นกว่าผู้อื่น สิ่งที่สังเกตได้ชัดคือ
ยิ่งเกิดผลมากยิ่งถ่อมมาก เพราะข้าวยิ่งมีเมล็ดมาก กิ่งก้านก็ค้อมลงเพราะน้ำหนักเมล็ดข้าวที่เพิ่มจำนวน
ดังนั้นอุปมาเรื่องนี้ คงพูดถึงคริสเตียนโดยตรง เพราะเราต้องสำรวจชีวิตเราให้ดี อยู่ในนาของพระเจ้า ต้องเกิดผล เด็กๆ ถามว่า เกิดผลได้ยังไง หลายคนอาจจะมองเรื่องการนำคนมารับเชื่อ ยิ่งหลายคนยิ่งเกิดผล ซึ่งโดยกายภาพ หรือจำนวนนับก็น่าจะเป็นแบบนั้น แต่ในโลกของจิควิญญาณ หาเป็นเช่นนั้นไม่
ใครเกิดผล ก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจ ผลที่ว่าคือผลของพระวิญญาณ ถ้าเราสามารถแสดงความรัก ความเมตตา มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีคนอยากอยู่ใกล้ อยากคุยด้วย มากกว่าอยากอยู่ห่างๆ นั่นก็น่าจะเพียงพอสำหรับการรับรู้ของเรา
หากใครแวะเข้ามาอ่าน ก็ถือว่า พระเจ้าปรารถนาให้ท่านเกิดผล 30 เท่า 60 เท่า 100 เท่า บ้าง ก็ตามแต่ท่านจะพรวนดิน ไถปรับชีวิตของท่าน เพื่อรับเม็ลดพันธุ์ที่ดีจากพระเจ้า
วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553
10-12 ธค. ไปทำงานที่ จ.เลย
เริ่มต้นก็ฮาเลยกับภาพแรก ผมไปทำงานบรรยายที่จังหวัดเลย ก็เลยมีโอกาสเก็บภาพมาหลายที่ ช่วงนี้ไปเลยถึง 3 ครั้ง ในรอบ 2-3 เดือนที่ผ่านมา
8-9 ธค.53 ไประยอง-จันทบุรี-ปราจีน
เป็นการเยี่ยมชมสวนภาคตะวันออกครั้งแรกของผม ไประยอง-จันทบุรี และขากลับใช้เส้นทางที่ไปสระแก้ว แล้ววกเข้่าปราจีนบุรี เพื่อเยี่ยมพ่ออนันต์ วงศ์เพ็ชร
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)