ค้นหาข้อมูลจากบล็อกนี้
วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555
วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555
unseen#6 บันทึกเหตุการณ์ในช่วงคริสต์มาสแรก
เป็นส่วนหนึ่งของ DVD เรื่อง unseen Christmas
ลูกา บทที่ 1 ข้อ 5 ในรัชกาลเฮโรด กษัตริย์ของยูเดีย มีปุโรหิตคนหนึ่งชื่อเศคาริ ยาห์ อยู่ในเวรอาบียาห์ ภรรยาของเศคาริยาห์ ชื่อเอลีซาเบธ อยู่ในตระกูลอาโรน
6 เขาทั้งสองเป็นคนชอบธรรมจำเ7 แต่เขาไม่มีบุตร เพราะว่านางเอลีซาเบธเป็นหม
8 ขณะที่เศคาริยาห์ทำหน้าที่ป
9 ท่านได้ฉลากตามธรรมเนียมของ
10 ส่วนบรรดาประชาชนก็อธิษฐานอ
11 ทูตองค์หนึ่งของพระเจ้า มาปรากฏแก่เศคาริยาห์ยืนอยู
12 เมื่อเศคาริยาห์เห็นก็ตกใจก
13 แต่ทูตองค์นั้นกล่าวแก่ท่าน
14 ท่านจะมีความปรีดาและยินดี และคนเป็นอันมากจะเปรมปรีดิ์ ที่บุตรนั้นบังเกิดมา
15 เพราะว่าเขาจะเป็นใหญ่จำเ
16 เขาจะนำพงศ์พันธุ์อิสราเอล หลายคนให้หันกลับมาหาพระเจ้
17 เขาจะนำหน้าพระองค์โดยน้ำใจ
18 เศคาริยาห์จึงทูลทูตสวรรค์ว
19 ฝ่ายทูตสวรรค์นั้นจึงตอบว่า
20 นี่แน่ะ เพราะท่านมิได้เชื่อถ้อยคำข
21 ฝ่ายคนทั้งหลายที่คอยเศคาริ
22 เมื่อท่านออกมาแล้วก็พูดกับ
23 เมื่อหมดเวรของท่านแล้ว ท่านก็กลับไปบ้าน
24 ภายหลังนางเอลีซาเบธภรรยาขอ
25 “พระเจ้าได้ทรงกระทำเช่นนี้
ลูกา บทที่ 1 ข้อ 26 เมื่อถึงเดือนที่หก พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์กาเบ รียลนั้น ให้มายังเมืองหนึ่งในแคว้นก าลิลี ชื่อนาซาเร็ธ
27 มาถึงหญิงพรหมจารีคนหนึ่ง ที่ได้หมั้นกันไว้กับชายคนห28 ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิง
29 ฝ่ายมารีย์ก็ตกใจเพราะคำของทูตนั้น และรำพึงว่า คำทักทายนั้นจะหมายว่าอะไร
30 แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่เธ
31 ดูเถิด เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรช
32 “บุตรนั้นจะเป็นใหญ่ และจะทรงเรียกว่าเป็นบุตรขอ
33 และท่านจะครอบครองพงศ์พันธุ
34 ฝ่ายมารีย์ทูลทูตสวรรค์นั้น
35 ทูตสวรรค์จึงตอบนางว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จ
36 ดูซิ ถึงนางเอลีซาเบธญาติของเธอช
37 เพราะว่าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่ง
38 ส่วนมารีย์จึงทูลว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเป็นทาสีของพระเป็น
ลูกา บทที่ 1 ข้อ 39 คราวนั้นมารีย์จึงรีบออกไปถ ึงเมืองหนึ่งในแถบภูเขาแห่ง ยูเดีย
40 แล้วเข้าไปในเรือนของเศคาริ41 เมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินคำป
42 จึงร้องเสียงดังว่า “ในบรรดาสตรีท่านได้รับพระพ
43 เป็นไฉนข้าพเจ้าจึงได้ความโ
44 เพราะ ดูเถิด พอเสียงปราศรัยของท่านเข้าห
45 สตรีที่ได้เชื่อก็เป็นสุข เพราะว่าจะสำเร็จตามพระดำรั
46 นางมารีย์จึงว่า “จิตใจของข้าพเจ้าก็ยกย่องพ
47 และวิญญาณของข้าพเจ้าก็เกิด
48 เพราะพระองค์ทรงห่วงใยฐานะอ
49 เพราะว่าผู้ทรงฤทธิ์ได้ทรงก
50 พระกรุณาของพระองค์มีแก่บรร
51 พระองค์ทรงสำแดงฤทธิ์ด้วยพร
52 พระองค์ทรงถอดเจ้านายจากพระ
53 พระองค์ทรงโปรดให้คนอดอยาก อิ่มด้วยสิ่งดี และทรงกระทำให้คนมั่งมีไปมื
54 พระองค์ทรงช่วยอิสราเอลผู้ร
ของพระองค์
55 ที่มีต่ออับราฮัม และต่อพงศ์พันธุ์ของท่านเป็
56 มารีย์อาศัยอยู่กับนางเอลีซ
57 ครั้นเวลาซึ่งนางเอลีซาเบธจ
58 เพื่อนบ้านและญาติพี่น้องขอ
59 ครั้นถึงวันที่แปดแล้ว เขาก็พากันมาให้ทารกนั้นเข้
60 ฝ่ายมารดาจึงตอบว่า “ไม่ใช่ แต่ต้องให้ชื่อว่ายอห์น”
61 เขาพากันตอบว่า “ไม่มีผู้ใดในพวกญาติของท่า
62 แล้วเขาจึงใช้ใบ้กับบิดาถาม
63 บิดาจึงขอกระดานชนวนมา เขียนว่า “ชื่อของบุตรคือ ยอห์น” คนทั้งหลายก็ประหลาดใจนัก
64 ในทันใดนั้นปากและลิ้นของท่
65 เพื่อนบ้านของท่านก็บังเกิด
66 บรรดาคนที่ได้ยินก็จดจำไว้ใ
67 ฝ่ายเศคาริยาห์ผู้เป็นบิดาป
68 “สาธุการแด่พระเจ้าของพวกอิ
69 และได้ทรงให้ผู้ช่วยทรงฤทธิ
70 ตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้ตั้
71 คือทรงให้รอดพ้นจากพวกศัตรู
72 ดังนั้นจึงทรงสำแดงพระกรุณา
73 คือคำปฏิญาณซึ่งพระองค์ได้ท
74 เมื่อเราทั้งหลายพ้นจากมือศ
75 ด้วยความบริสุทธิ์และด้วยคว
76 ท่านทารกเอ๋ย เขาจะเรียกท่านว่าเป็นผู้เผยพระวจนะของผู้สูงสุด เพราะว่าท่านจะนำหน้าองค์พร
77 เพื่อจะให้ชนชาติของพระองค์
78 โดยพระทัยเมตตากรุณาแห่งพระ
79 ส่องสว่างแก่คนทั้งหลายผู้อ
80 ฝ่ายทารกนั้นก็ได้เจริญวัยข
มัทธิว บทที่ 1 ข้อ 18 เรื่องพระกำเนิดของพระเยซูค ริสต์เป็นดังนี้ คือมารีย์ผู้เป็นมารดาของพร ะเยซูนั้น เดิมโยเซฟได้สู่ขอหมั้นกันไ ว้แล้ว ก่อนที่จะได้อยู่กินด้วยกัน ก็ปรากฏว่า มารีย์มีครรภ์แล้วด้วยเดชพร ะวิญญาณบริสุทธิ์
19 แต่โยเซฟคู่หมั้นของเขาเป็น20 แต่เมื่อโยเซฟยังคิดในเรื่อ
21 เธอจะประสูติบุตรชาย แล้วเจ้าจงเรียกนามท่านว่า เยซู เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่จะโป
22 ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้ส
23 ดูเถิด หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งค
(แปลว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเร
24 ครั้นโยเซฟตื่นขึ้นก็กระทำต
25 แต่มิได้สมสู่กับเธอจนประสู
ลูกา บทที่ 1 ข้อ 1 อยู่มาคราวนั้น มีรับสั่งจากมหาจักรพรรดิซี ซาร์ ออกัสตัส ให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่ว ทั้งแผ่นดิน
2 นี่เป็นครั้งแรกที่ได้จดทะเ3 คนทั้งปวงต่างคนต่างได้ไปขึ
4 ฝ่ายโยเซฟก็ขึ้นไปจากเมืองน
5 เขาได้ไปกับมารีย์ที่เขาได้
6 เมื่อเขาทั้งสองยังอยู่ที่น
7 นางจึงประสูติบุตรชายหัวปี เอาผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรา
ลูกา บทที่ 2 ข้อ 8 ในแถบนั้นมีคนเลี้ยงแกะอยู่ ในทุ่งนา เฝ้าฝูงแกะของเขาในเวลากลาง คืน
9 มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ10 ฝ่ายทูตองค์นั้นกล่าวแก่เขา
11 เพราะว่าในวันนี้พระผู้ช่วย
12 นี่จะเป็นหมายสำคัญแก่ท่านทั้งหลา
13 ในทันใดนั้น มีชาวสวรรค์หมู่หนึ่งมาอยู่
14 “พระสิริจงมีแด่พระเจ้าในที
15 เมื่อทูตสวรรค์เหล่านั้น ไปจากเขาขึ้นสู่สวรรค์แล้ว พวกเลี้ยงแกะได้พูดกันว่า “ให้เราไปยังเมืองเบธเลเฮมด
16 เขาก็รีบไปแล้วพบนางมารีย์ก
17 ครั้นเขาได้เห็นแล้ว จึงเล่าเรื่องซึ่งเขาได้ยิน
18 คนทั้งปวงที่ได้ยินก็ประหลา
19 ฝ่ายนางมารีย์ก็เก็บบรรดาสิ
20 คนเลี้ยงแกะจึงกลับไปยกย่อง
ลูกา บทที่ 2 ข้อ 21 ครั้นครบแปดวัน เป็นวันให้พระกุมารนั้นเข้า สุหนัต เขาจึงให้นามว่าเยซู ตามซึ่งทูตสวรรค์ได้กล่าวไว ้ก่อน เมื่อยังมิได้ปฏิสนธิ์ในครร ภ์
22 เมื่อถึงเวลาทำพิธีชำระตัวต23 ตามที่เขียนไว้แล้วในธรรมบั
24 และถวายของบูชาตามที่ได้ตรัสสั่งไว้แล้ว
25 นี่แน่ะ มีชายคนหนึ่งในกรุงเยรูซาเล
26 พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงสำ
27 สิเมโอนเข้าไปในบริเวณพระวิ
28 สิเมโอนจึงอุ้มพระกุมาร และสรรเสริญพระเจ้าว่า
29 “ข้าแต่พระเจ้า บัดนี้พระองค์ทรงให้ทาสของพ
30 เพราะว่าตาของข้าพระองค์ได้
31 ซึ่งพระองค์ได้ทรงจัดเตรียม
32 เป็นสว่างส่องแสงแก่คนต่างช
33 ฝ่ายบิดามารดาของพระกุมารก็
34 แล้วสิเมโอนก็อวยพรแก่เขา แล้วกล่าวแก่นางมารีย์มารดา
35 เพื่อความคิดในใจของคนเป็นอ
36 ยังมีผู้เผยพระวจนะหญิงคนหน
37 แล้วก็เป็นม่ายมาจนถึงแปดสิ
38 ในขณะนั้นผู้หญิงคนนี้ก็เข้
มัทธิว บทที่ 2 ข้อ 1 พระเยซูได้ทรงบังเกิดที่บ้า นเบธเลเฮมแคว้นยูเดียในรัชก าลของกษัตริย์เฮโรด ภายหลังมีพวกโหราจารย์จากทิ ศตะวันออกมายังกรุงเยรูซาเล ็ม ถามว่า
2 “กุมารผู้ที่บังเกิดมาเป็นก3 ครั้นกษัตริย์เฮโรดได้ยินดั
4 แล้วท่านให้ประชุมบรรดามหาป
5 เขาทูลว่า “ที่บ้านเบธเลเฮมแคว้นยูเดี
6 บ้านเบธเลเฮมในแผ่นดินยูเดี
7 แล้วเฮโรดจึงเชิญพวกโหราจาร
8 แล้วท่านได้ให้พวกโหราจารย์
มัทธิว บทที่ 2 ข้อ 9 โหราจารย์เหล่านั้น จึงไปตามรับสั่ง และดาวซึ่งเขาได้เห็นเมื่อป รากฏขึ้นนั้นก็ได้นำหน้าเขา ไป จนมาหยุดอยู่เหนือสถานที่ที ่กุมารอยู่นั้น
10 เมื่อพวกโหราจารย์ได้เห็นดา11 ครั้นเข้าไปในเรือนก็พบกุมา
12 แล้วพวกโหราจารย์ได้ยินคำเต
มัทธิว บทที่ 2 ข้อ 13 ครั้นเขาไปแล้วก็มีทูตองค์ห นึ่งของพระเป็นเจ้า ได้มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝั นแล้วบอกว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดาห นีไปประเทศอียิปต์ และคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าเรา จะบอกเจ้า เพราะว่าเฮโรดจะแสวงหากุมาร เพื่อจะประหารชีวิตเสีย”
14 ในเวลากลางคืนโยเซฟจึงลุกขึ15 และได้อยู่ที่นั่นจนเฮโรดสิ
มัทธิว บทที่ 2 ข้อ 16 ครั้นเฮโรดเห็นว่าพวกโหราจา รย์หลอกท่าน ก็กริ้วโกรธยิ่งนัก จึงใช้คนไปฆ่าเด็กผู้ชายทั้ งหลาย ในบ้านเบธเลเฮมและที่ใกล้เค ียงทั้งสิ้น ตั้งแต่อายุสองขวบลงมา ซึ่งพอดีกับเวลาที่ท่านได้ท ราบจากพวกโหราจารย์นั้น
17 ครั้งนั้นก็สำเร็จตามพระวจน18 ได้ยินเสียงในหมู่บ้านรามาห
มัทธิว บทที่ 2 ข้อ 19 ครั้นเฮโรดสิ้นพระชนม์แล้ว ทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้า มาปรากฏในความฝันแก่โยเซฟ ที่ประเทศอียิปต์สั่งว่า
20 “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดาม21 โยเซฟจึงลุกขึ้นพากุมารกับม
22 แต่เมื่อได้ยินว่า อารเคลาอัสครอบครองแคว้นยูเ
23 ไปอาศัยในเมืองหนึ่งชื่อนาซ
ลูกา บทที่ 2 ข้อ 39 ครั้นโยเซฟกับนางมารีย์ได้ก ระทำการทั้งปวง ตามธรรมบัญญัติของพระเป็นเจ ้าเสร็จแล้ว จึงกลับไปถึงนาซาเร็ธเมืองข องตนในแคว้นกาลิลี
40 พระกุมารนั้นก็เจริญวัยแข็ง
และคลิปด้านล่างนี้เป็นตอนที่ 6 ของ unseen Christmas เป็นบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามบันทึกของ "มัทธิว" และ "ลูกา" ทั้งหมดมี 13 เหตุการณ์ เชิญชมได้เลยครับ
วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555
คลิปเรื่อง "เป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์
วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
เรื่อง "การแสดงทัศนะในที่ที่มีความคิดต่าง" บทเรียนมาจากหนังสือกิจการบทที่ 17
วันอาทิตย์ที่ 4 พย. 2012 ที่ Koffee Church รามอินทรา กม. 2 ผมจะแบ่งปันเรื่อง "การแสดงทัศนะในที่ที่มีความคิดต่าง" บทเรียนมาจากหนังสือกิจการบทที่ 17 เป็นตอนที่เปาโลไปประกาศกับกลุ่มนักปรัชญา การแสดงทัศนะต่อคนมีความรู้ มีการศึกษา อาจทำให้เราขาดความมั่นใจในพระเจ้าไปได้ แต่เปาโลเอาอยู่ เพราะสุดท้ายก็มีคนสนใจเรื่องที่ท่านพูด
กิจการบทที่ 17 ข้อ 22 ฝ่ายเปาโลจึงยืนขึ้นกลางสภาอาเรโอปากัสแล้วกล่าวว่า “ดูก่อนท่านชาวกรุงเอเธนส์ โดยประการต่างๆข้าพเจ้าเห็นได้ว่า ท่านทั้งหลายเป็นนักศาสนา
23 เพราะว่าเมื่อข้าพเจ้าเดินทางมาสังเกตดูสิ่งที่ท่านนมัสการนั้น ข้าพเจ้าได้พบแท่นแท่นหนึ่ง มีคำจารึกไว้ว่า 'แด่พระเจ้าที่ไม่รู้จัก' เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมาประกาศ และแสดงให้ท่านทั้งหลายทราบ ถึงพระเจ้าที่ท่านไม่รู้จักแต่ยังนมัสการอยู่
24 พระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกกับสิ่งทั้งปวงที่มีอยู่ในนั้น พระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก มิได้ทรงสถิตในปูชนียสถานซึ่งมือมนุษย์ได้กระทำไว้
25 พระองค์มิจำต้องให้มือมนุษย์มาปรนนิบัติ ดังว่ามีความต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานชีวิตและลมหายใจ และสิ่งสารพัดแก่คนทั้งปวงต่างหาก
26 พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติ สืบสายโลหิตอันเดียวกันให้อยู่ทั่วพิภพโลก และได้ทรงกำหนดเวลาและเขตแดนให้เขาอยู่
27 เพื่อเขาจะได้แสวงหาพระเจ้าและมุ่งหวังจะคลำหาให้พบพระองค์ ที่จริงพระองค์มิทรงอยู่ห่างไกลจากเราทุกคนเลย
28 ด้วยว่า 'เรามีชีวิต และไหวตัว และเป็นอยู่ในพระองค์' ตามที่กวีบางคนในพวกท่านได้กล่าวว่า 'แท้จริงเราทั้งหลายเป็นเชื้อสายของพระองค์'
29 เหตุฉะนั้นเมื่อเราเป็นเชื้อสายของพระเจ้าแล้ว เราก็ไม่ควรถือว่าพระเจ้าทรงเป็นทอง เงิน หรือหิน อันเป็นปฏิมากรสำเร็จด้วยศิลปะและความคิดของมนุษย์
30 ในเวลาเมื่อมนุษย์ยังไร้เดียงสา พระเจ้ามิได้ทรงถือโทษ แต่เดี๋ยวนี้ พระเจ้าได้ตรัสสั่งแก่มนุษย์ทั้งปวงทั่วทุกแห่งให้กลับใจใหม่
31 เพราะพระองค์ได้ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้ ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโลกตามความชอบธรรม โดยมนุษย์ผู้นั้นซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้ และพระเจ้าได้ทรงโปรดให้คนทั้งปวงมีความแน่ใจในเรื่องนี้ โดยทรงให้มนุษย์ผู้นั้นคืนชีวิต”
ในกจ. 17:18 [TBS1971])
"...ปรัชญาเมธีบางคนในพวกเอปิคูเรียน และในพวกสโตอิกได้มาพบท่าน บางคนกล่าวว่า “คนเก็บเดนความรู้เล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้จะใคร่มาพูดอะไรให้เราฟังเล่า” บางคนกล่าวว่า “ดูเหมือนเขาเป็นคนนำพระต่างประเทศเข้ามาเผยแพร่” เพราะเปาโลได้ประกาศพระนามพระเยซู และเรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตาย..."
จากข้อความนี้ระบุว่ามีนักปรัชญา 2 สำนักคือ "เอปิคูเรียน" และ "สโตอิก" สนใจมาพบเปาโล แล้วคน 2 สำนักนี้เชื่ออะไร หากไปค้นหาจากตำราคู่มือหนังสืิอ "กิจการ" อาจจะไม่มีการเอ่ยถึงทั้ง 2 สำนักนี้เลย แต่ใน "theWord" ของสมาคมฯ ได้มีคำอธิบายดังนี้
พวกเอปิคูเรียนและในพวกสโตอิก พวกเอปิคูเรียนเป็นลูกศิษย์ของเอปิคูรัสซึ่งเป็นนักปรัชญาที่มีชีวิตอยู่ระหว่างปี 340-270 ก่อน ค.ศ. ท่านสอนว่าพวกเทพและเจ้าอาจไม่มีอิทธิพลเหนือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลก จุดประสงค์ของชีวิตคือการแสวงหาความสุขและความพอใจในโลกนี้ ส่วนพวกสโตอิกเป็นลูกศิษย์ของนักปรัชญาที่ชื่อ ซีโน ท่านมีชีวิตระหว่างปี 340-265 ก่อน ค.ศ. ท่านเน้นเรื่องการมีเหตุผล ศีลธรรมจรรยาและการบังคับตนเองอยู่เสมอ
ประกาศ...จากความตาย ผู้ฟังอาจเข้าใจว่าเปาโลประกาศพระใหม่สององค์คือ “พระเยซู” และ “การเป็นขึ้นมาจากความตาย” เพราะมีเรื่องที่เล่ากันต่อๆ มาว่า เทพองค์หนึ่งเป็นขึ้นมาจากความตายโดยมีเทพีที่ชื่อ “อานาสตาเซีย” มาทำให้เป็นขึ้น คำว่า “เป็นขึ้นจากความตาย” มาจากคำภาษากรีกว่า “อานาสตาเซีย” ซึ่งเอามาจากชื่อของเทพีองค์นี้
สำนัก "เอปิคูเรียน" มีเจ้าสำนักคือ "เอปิคูรัส" (341-270 กคศ.) ตัวเจ้าสำนักเองเริ่มศึกษาปรัชญาตั้งแต่อายุ 18 เดินทางมาเอเธนส์ และตลอดชีวิตของเขาผลิตผลงานไม่น้อยกว่า 300 เรื่อง ปรัชญาของสำนักนี้อยู่ในยุคปลายของปรัชญากรีกก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นอาณาจักรโรมัน
ทัศนะทางปรัชญาที่ชัดเจนก็คือมีเป้าหมายอยู่ที่การช่วยให้มนุษย์ดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข มนุษย์มีความทุกข์เพราะกลัวเทพเจ้า.. ความกลัวเกิดจากความโง่เขลา หากรู้ความจริง ความกลัวจะหมดไป
สำนักนี้ไม่ยอมรับเรื่องเทพเจ้าสร้างโลก แต่ก็ยังยอมรับว่าเทพเจ้าแยกตัวออกจากโลกไม่เกี่ยวกัน
สรุปว่า สำนักนี้จะเรียกว่าเป็นพวกวัตถุนิยมก็ว่าได้ เพราะเน้นเรื่องความสุขในการดำเนินชีวิต ไม่สนใจเทพเจ้าจะมาบันดาลอะไร ถ้าตนเองทำได้เอง แล้วมีความสุข ก็ทำเถิด
ลองมาอ่านปรัชญาของสำนักนี้ดูครับ
"ความสุขทุกอย่างเป็นความดีในตัวเอง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าความสุขทุกอย่างมีค่าควรแสวงหา... ความทุกข์ทุกอย่างเป็นความชั่ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าความทุกข์ทุกอย่างเป็นเรื่องควรหลีกเลี่ยง"
"ถ้าเทพเจ้าประสงค์จะขจัดความเลวร้ายในโลก แต่ทำไม่ได้ เทพเจ้าก็ไร้ความสามารถ ถ้าเทพเจ้ามีความสามารถแต่ไม่ประสงค์จะขัดความเลวร้ายในโลก เทพเจ้าก็แล้งน้ำใจ
ถ้าเทพเจ้าไม่มีทั้งความสามารถและความประสงค์ที่จะขจัดความเลวร้ายในโลก เทพเจ้าก็ไร้ความสามารถและแล้งน้ำใจ
ถ้าเทพเจ้ามีทั้งความสามารถและความประสงค์ที่จะขจัดความเลวร้ายในโลก แล้วความเลวร้ายเกิดขึ้นในโลกได้อย่างไร?"
ในยุคปัจจุบัน มีคนอ้างว่าตนเองเป็นเอปิคูเรียน นั่นคือ โธมัส เจฟเฟอร์สัน ประธานาธิบดีคนที่ 3 ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเคยประกาศเอาไำว้ว่า "ข้าพเจ้าเป็นเอปิคูเรียน ข้าพเจ้าพิจารณาเห็นว่าคำสอนที่แท้จริงของเอปิคิวรุสเสนอเหตุผลเพียบพร้อมให้กับจริยศาสตร์ที่ชาวกรีกและชาวโรมันส่งทอดมายังพวกเรา"
เจฟเฟอร์สันได้ตัดการอัศจรรย์ต่างๆ ออกจากพระคัมภีร์ โดยเหลือแต่คำสอนของพระเยซูเท่านั้น
อีกสำนักคือ "สโตอิก" เจ้าสำนักคือ "เซโนแห่งคิติอุม" (334-262 กคศ.) เกิดที่เมืองคิติอุม เกาะไซปรัส ปรัชญาของสำนักนี้ส่งผลให้ชาวโรมันชั้นสูง
ชื่อ "สโตอิก" มาจากสำนักปรัชญาตั้งขึ้นบริเวณซุ้มประตูเมือง ซึ่งเรียกประตูเมืองว่า "สโตอา" ในภาษากรีก ก็เลยตั้งชื่อสำนักว่าประตูเมือง
พวกสโตอิกเชื่อว่า พระเจ้าเป็นไฟอันประณีตที่สุด จากนั้นพระองค์ก็เปลี่ยนเป็นลม จากลมกลายเป็นน้ำ จากน้ำกลายเป็นดิน แล้วสรรพสิ่งก็เกิดขึ้น พระเจ้าเป็นวิญญาณของโลกที่แทรกสถิตอยู่ในสรรพสิ่งของโลก
พวกนี้ยังเชื่ออีกว่า พระเจ้าเป็นปัญญาอันสมบูรณ์และเป็นวจนะ (Logos) คือกฎแห่งเหตุผลที่จัดระเบียบให้กับจักรวาล
กวีของสโตอิกนามว่า "เคลอันธีส" แต่งบทสรรเสริญเทพเจ้าซุสดังนี้
"ข้าแต่ซุสผู้ประเสริฐเหนือเทพเจ้าทั้งปวง
ที่คนรู้จักในหลายพระนาม
ทรงเปี่ยมด้วยฤทธานุภาพ
โลกเกิดมาจากพระองค์
พระองค์ทรงใช้กฎปกครองโลก
พวกเราสรรเสริญพระองค์
เพราะพวกเราเกิดมาจากพระองค์
ดังนั้นข้าฯ จึงแต่งบทสวดสรรเสริญพระองค์
และขอสวดสรรเสริญพระองค์"
ซึ่งเป็นบทกวีที่เปาโลกอ้างถึงในกิจการ บทที่ 17 ข้อ 28 ด้วยว่า ‘เรามีชีวิต และไหวตัว และเป็นอยู่ในพระองค์’ ตามที่กวีบางคนในพวกท่านได้กล่าวว่า ‘แท้จริงเราทั้งหลายเป็นเชื้อสายของพระองค์’
สำนักนี้มีความพยายามรวมศาสนาและปรัชญาเข้าด้วยกัน เมื่อคริสตศาสนาเข้ามาในอาณาจักรโรมันจึงเข้าทาง เพราะชาวโรมันชั้นสูงสนใจปรัชญาของสโตอิกมากว่าเอปิคูเรียนที่ชนะใจชาวกรีก
ดังนั้นปรัชญาหรือความเชื่อต่างๆ ที่นอกเหนือจากความเชื่อทางศาสนาจะรับอิทธิพลของปรัชญาสโตอิกสอดแทรกอยู่ในคำสอนของคริสต์ศาสนาในยุคเริ่มต้น จนสู่ยุควิทยาศาสตร์
วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555
วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555
วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555
วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555
DVD ชุดใหม่ "ดิฉันไม่ใช่โสเภณี Mary Magdalene" เสร็จแล้ว
สั่งซื้อได้แล้วครับ พร้อมส่ง ชุดละ 200 บาท มี DVD 2 แผ่น
เป็นบันทึกการบรรยายสด เกี่ยวกับเ้รื่องของ "มารีย์ ชาวมักดาลา" กับข้อกล่าวหาสะท้านโลกที่มีมานานกว่า 1,000 ปี
ที่ผ่านมา เรื่องราวของเูธอถูกปรุงแต่งดุจดังนิยาย จากหญิงสามัญธรรมดาผู้ติดตามพระคริสต์ กลับกลายเป็นผู้ปกป้องเชื้อสาย ประวัิติศาสตร์นำเธอไปสู่ฝรั่งเศส และข้อหาที่มาจากการเข้าใจคลาดเคลื่อน ทำให้เธอถูกมองว่าเป็น "หญิงชั่ว" หรือ "โสเภณี" เพียงเพราะเหตุการณ์ซ้ำซ้อน และัชื่อ "มารีย์" ที่เหมือนกัน
สนใจชมฉบับเต็มความยาว 1 ชม. 24 นาที 47 วินาที
ติดต่อสั่งซื้อได้ที่ emagicclub@gmail.com
วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555
ซาโลมอน เขียนสุภาษิตในบทที่ 7 กล่าวถึงพฤติกรรมเหล่าภรรยาของตน
ข้อ 1 บุตรชายของเราเอ๋ย จงรักษาถ้อยคำของเรา
จงสะสมบัญญัติของเราไว้กับเจ้า
ข้อ 2 จงรักษาบัญญัติของเรา และดำรงชีวิตอยู่
จงรักษาคำสอนของเราอย่างกับแก้วตาของเจ้า
ข้อ 3 มัดมันไว้ที่นิ้วมือของเจ้า
เขียนมันไว้บนแผ่นจารึกแห่งใจของเจ้า
ข้อ 4 จงพูดกับปัญญาว่า
“เธอเป็นพี่สาวของฉัน”
และจงเรียกความรอบรู้ว่า
“เพื่อนสนิท”
ข้อ 5 เพื่อปัญญานี้จะพิทักษ์เจ้าไว้ให้พ้นจากหญิงชั่ว
จากหญิงสัญจรที่พูดจาพะเน้าพะนอ
ข้อ 6 เพราะที่หน้าต่างบ้านของเรา
เราได้มองออกไปตามบานเกล็ด
ข้อ 7 เราเห็นว่าท่ามกลางคนเขลา
และท่ามกลางคนหนุ่มๆที่เราพิเคราะห์ดูนั้น
ก็มีหนุ่มคนหนึ่งไร้สามัญสำนึก
ข้อ 8 ผ่านไปตามถนนใกล้ทางแยกไปบ้านของนาง
เดินตามถนนซึ่งไปบ้านนาง
ข้อ 9 ในเวลาโพล้เพล้ ในเวลาเย็น
เวลาค่ำคืนและความมืด
ข้อ 10 และนี่แน่ะ หญิงคนหนึ่งมาพบเขา
แต่งตัวอย่างหญิงแพศยาหัวใจเจ้าเล่ห์
ข้อ 11 นางจัดจ้านและหัวเห็ด
เท้าของนางไม่อยู่กับบ้าน
ข้อ 12 ประเดี๋ยวอยู่ถนน ประเดี๋ยวอยู่ที่ลานเมือง
และนางหมอบคอยอยู่ทุกมุม
ข้อ 13 นางฉวยเขาได้และจุบเขา
นางพูดกับเขาอย่างไม่มียางอายว่า
ข้อ 14 “ฉันจำต้องถวายเครื่องสักการบูชา
และวันนี้ฉันได้แก้บนแล้ว
ข้อ 15 ฉันจึงออกมาหาเธอ
เสาะเธอ และฉันพบเธอแล้ว
ข้อ 16 ฉันได้ประดับเตียงของฉันด้วยผ้าคลุม
เป็นผ้าลินินอียิปต์สีต่างๆ
ข้อ 17 ฉันได้อบที่นอนของฉันด้วยมดยอบ
กฤษณา และอบเชย
ข้อ 18 มาเถอะ ให้เรามาอิ่มด้วยความรักจนรุ่งเช้า
ให้เราทำตัวของเราให้ปีติยินดีด้วยความรัก
ข้อ 19 เพราะผัวของฉันไม่อยู่บ้าน เขาไปทางไกล
ข้อ 20 เขาเอาเงินไปถุงหนึ่ง
พอวันเพ็ญเขาจึงกลับมา”
ข้อ 21 นางหว่านล้อมด้วยวาจาโอ้โลม
นางบังคับเขาด้วยคำพูดพะเน้าพะนอ
ข้อ 22 เขาก็ติดตามนางไปทันที
อย่างวัวตัวผู้ไปสู่การฆ่า
หรืออย่างกวางติดแน่น
ข้อ 23 จนลูกธนูปักเข้าไปถึงตับ
อย่างนกรนเข้าไปหาบ่วง
เขาหาทราบไม่ว่า นี่มีค่าถึงชีวิต
ข้อ 24 โอ บุตรชายเอ๋ย บัดนี้จงฟังเรา
และจงตั้งใจต่อถ้อยคำจากปากของเรา
ข้อ 25 อย่าให้ใจของเจ้าหันไปตามทางของนาง
อย่าเจิ่นอยู่ในวิถีของนางนั้น
ข้อ 26 เพราะนางได้ฟัดเหยื่อลงเสียเป็นอันมาก
เออ บรรดาที่นางฆ่าเสียนั้นก็เป็นจำนวนมากมาย
ข้อ 27 เรือนของนางเป็นทางไปสู่แดนผู้ตาย
ลงไปถึงห้วงแห่งความตาย
ในข้อ 14 “ฉันจำต้องถวายเครื่องสักการบูชา และวันนี้ฉันได้แก้บนแล้ว" คือลักษณะของการไหว้รูปเคารพรูปแบบหนึ่ง คือการล่วงประเวณี ในสมัยซาโลมอน น่าจะมีการกราบไหว้รูปเคารพมากกว่าสมัยใดๆ เลยก็ว่าได้ และยังสร้างเสาสูงตรงข้ามเยรูซาเล็มไว้อีกด้วย
ใน 1 พกษ. 11 ข้อ 7 แล้วซาโลมอนได้ทรงสร้างปูชนียสถานสูงสำหรับพระเคโมช สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของโมอับ ในภูเขาที่อยู่ตรงข้ามเยรูซาเล็ม
ซาโลมอนมีโอกาสพลาดถึง 1,000 เท่าที่จะหลงเจิ่นไป
ใน สภษ.1:1 สุภาษิตของซาโลมอน พระราชาแห่งอิสราเอล โอรสของดาวิดทรงพระราชนิพนธ์ไว้ และใน บทที่ 25 ข้อ 1 ต่อไปนี้เป็นสุภาษิตของซาโลมอนด้วยเหมือนกัน ซึ่งคนของเฮเซคียาห์ พระราชาแห่งยูดาห์ได้คัดลอกไว้ และใน 1 พกษ บทที่ 4 ข้อ 32 พระองค์ตรัสสุภาษิตสามพันข้อด้วย และบทเพลงของพระองค์มีหนึ่งพันห้าบท นั่นหมายความว่า ซาโลมอนแต่งสุภาษิตเองด้วย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)