ค้นหาข้อมูลจากบล็อกนี้

วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ตระกูลคนเลวีในพระวิหาร การรับใช้ที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า

ตอนที่ 5 – ตระกูลคนเลวีในพระวิหาร : การรับใช้ที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า

เนื้อหา : บทบาทผู้เลวีในพระวิหารสมัยดาวิดและซาโลมอน (1 พงศาวดาร 23–25) ทั้งด้านการร้องเพลง การเฝ้าพระนิเวศ การช่วยปุโรหิต

แนวคิดหลัก : การรับใช้ทุกด้านมีคุณค่าเมื่อถวายแด่พระเจ้า



    ตระกูลคนเลวีในพระวิหาร : การรับใช้ที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า (อิง 1 พงศาวดาร บทที่ 23 ถึง 25)
ในสมัยกษัตริย์ดาวิด เมื่อพระวิหารใกล้จะถูกสร้างขึ้น ดาวิดได้จัดระเบียบตระกูลคนเลวีอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การรับใช้ในพระนิเวศดำเนินไปอย่างสมบูรณ์ คนเลวีไม่ได้เป็นเพียงผู้ช่วยปุโรหิตเท่านั้น แต่เป็นผู้มีบทบาทหลากหลายในการถวายเกียรติแด่พระเจ้า
    บางพวกถูกแต่งตั้งให้ ร้องเพลงสรรเสริญ พระเจ้า—พวกเขาคือบุตรหลานของอาสาฟ เฮมาน และเยดูธูน ผู้ใช้เสียงดนตรีเป็นการนมัสการอย่างจริงใจ เสียงพิณและฉาบสะท้อนให้เห็นถึงใจที่เปี่ยมด้วยความยินดีในพระเจ้า
    อีกบางพวกมีหน้าที่ เฝ้าพระนิเวศ พวกเขายืนอยู่ตามประตูต่าง ๆ ดูแลความบริสุทธิ์และความสงบเรียบร้อยของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เพราะตำแหน่งสูงส่ง แต่เพราะเข้าใจว่าการปกป้องพระนิเวศคือการปกป้องเกียรติของพระเจ้า
    ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง ช่วยเหลือปุโรหิต ในการถวายบูชา จัดเตรียมเครื่องบูชา ล้างภาชนะ และงานเบื้องหลังที่ดูเหมือนไม่สำคัญ แต่ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการอันครบถ้วน
    ภายใต้การจัดสรรของดาวิดและต่อมาในรัชกาลของซาโลมอน งานของคนเลวีสะท้อนความเป็นระเบียบ ความร่วมมือ และความเข้าใจว่า “การรับใช้ใด ๆ ที่ถวายแด่พระเจ้า ย่อมมีคุณค่าเสมอ” ไม่ว่าจะอยู่หน้าพระที่นั่งหรือหลังม่าน ทุกหน้าที่ต่างเป็นส่วนหนึ่งของการถวายเกียรติแด่พระองค์

    ข้อคิดประจำวันนี้ :
    การรับใช้พระเจ้าไม่ว่ายิ่งใหญ่หรือเล็กน้อย หากทำด้วยใจสัตย์ซื่อและถวายแด่พระองค์ ย่อมมีคุณค่าเท่ากันในสายพระเนตรของพระเจ้า.











วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ฟีเนหัส ความร้อนรนเพื่อความบริสุทธิ์ของพระเจ้า

ตอนที่ 4 – ฟีเนหัส : ความร้อนรนเพื่อความบริสุทธิ์ของพระเจ้า
เนื้อหา: ฟีเนหัสที่ยืนหยัดต้านบาปและปกป้องพันธสัญญา (กันดารวิถี 25:6–13)
แนวคิดหลัก: ความสัตย์ซื่อและความร้อนรนเพื่อความบริสุทธิ์นำพระพรสู่รุ่นต่อรุ่น



ฟีเนหัส : ความร้อนรนเพื่อความบริสุทธิ์ของพระเจ้า
กันดารวิถี 25:6 - 13

    ในช่วงที่ชนอิสราเอลพำนักอยู่ที่เมืองสิทธิม พวกเขาหลงเข้าไปทำบาปกับหญิงชาวโมอับ ร่วมกินบูชารูปเคารพ และละเมิดพันธสัญญากับพระเจ้า พระพิโรธของพระยาห์เวห์จึงลุกโชนขึ้น และโรคระบาดได้แพร่กระจายท่ามกลางประชาชน

    ท่ามกลางความสับสนและความเสื่อมทางจิตวิญญาณนั้น มีชายคนหนึ่งลุกขึ้น—ฟีเนหัส บุตรของเอเลอาซาร์ หลานของอาโรนมหาปุโรหิต เขาเห็นชายอิสราเอลคนหนึ่งพาหญิงมีเดียนเข้ามาต่อหน้าผู้คน ทั้งที่พระเจ้าได้ทรงห้ามไว้ ฟีเนหัสจึงหยิบหอกแทงทั้งคู่เสียในทันที การกระทำของเขาไม่ใช่เพราะความโกรธส่วนตัว แต่เป็นความร้อนรนเพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของพระนามพระเจ้า

    เมื่อฟีเนหัสยืนหยัดในความสัตย์ซื่อ พระพิโรธของพระเจ้าก็สงบลง โรคระบาดหยุด และพระเจ้าตรัสรับรองว่า ฟีเนหัสได้ “ระงับความโกรธของเรา เพราะเขาร้อนรนเพื่อเรา” พระองค์จึงทรงทำพันธสัญญาแห่ง สันติสุข และ ปุโรหิตตลอดกาล แก่เขาและเชื้อสายของเขา

    เรื่องของฟีเนหัสจึงเป็นภาพตัวอย่างของคนที่ ไม่ยอมปล่อยให้ความชั่วแทรกซึมเข้ามาในประชากรของพระเจ้า ความร้อนรนเพื่อความบริสุทธิ์ของเขาไม่เพียงปกป้องชนชาติอิสราเอล แต่ยังนำพระพรต่อเนื่องมาถึงรุ่นต่อรุ่น

    ข้อคิดประจำวัน “เมื่อเราร้อนรนเพื่อพระเจ้า พระองค์ก็ทรงตั้งเราขึ้นเป็นพยานแห่งสันติสุข”










วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2568

โมเสส ผู้นำผู้ถ่อมใจจากเผ่าเลวี

ตอนที่ 3 – โมเสส : ผู้นำผู้ถ่อมใจจากเผ่าเลวี
เนื้อหา: โมเสสกับการทรงเรียกที่ภูเขาโฮเรบ (อพยพ 3–4) และการเป็นผู้ชี้ทางสู่พันธสัญญา
แนวคิดหลัก: ผู้นำของพระเจ้าต้องเดินในความถ่อมใจและเชื่อฟัง



    โมเสสเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่จากเผ่าเลวี ชีวิตของเขาเริ่มต้นจากการรอดชีวิตอย่างอัศจรรย์ในวัยทารก 

    เมื่อฟาโรห์ออกคำสั่งให้ฆ่าทารกชายชาวฮีบรูทุกคน มารดาของเขาจึงนำเขาใส่ตะกร้า ลอยไปตามแม่น้ำไนล์ และพระธิดาของฟาโรห์ได้พบและรับเขาไปเลี้ยงดูในวัง โมเสสจึงเติบโตขึ้นในสิ่งแวดล้อมของอียิปต์ แต่หัวใจของเขายังคงอยู่กับชนชาติของตน 

    วันหนึ่งเขาเห็นคนอียิปต์ทำร้ายคนฮีบรู เขาจึงลุกขึ้นช่วยแต่กลับฆ่าคนนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ด้วยความกลัว เขาหนีออกจากอียิปต์ไปอยู่ในถิ่นมีเดียน ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในฐานะคนเลี้ยงแกะและได้แต่งงานกับศิปโปราห์ ธิดาของเยโธร ปุโรหิตแห่งมีเดียน

    หลายปีต่อมา เมื่อเขานำฝูงแกะไปยังภูเขาโฮเรบ พระเจ้าทรงปรากฏแก่เขาในเปลวไฟที่ไม่เผาพุ่มไม้ไหม้ พระสุรเสียงตรัสเรียกเขาให้กลับไปอียิปต์ เพื่อปลดปล่อยประชากรของพระองค์จากการเป็นทาส โมเสสรู้สึกไม่คู่ควรและกล่าวว่า “ข้าพระองค์เป็นใครเล่า ที่จะไปเฝ้าฟาโรห์?” แต่พระเจ้าตรัสตอบว่า “เราจะอยู่กับเจ้า” และเมื่อโมเสสอ้างว่าเขาพูดไม่เก่ง พระเจ้าก็ยังทรงให้พี่ชายของเขา คืออาโรน เป็นผู้ช่วยพูดแทน สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงเลือกใช้คนที่ถ่อมใจ ไม่ใช่คนที่เก่งหรือมีอำนาจในตนเอง

    โมเสสกลับสู่อียิปต์ในฐานะผู้ถือไม้เท้าของพระเจ้า เขาเผชิญหน้ากับฟาโรห์ด้วยความเชื่อและเชื่อฟัง นำประชากรอิสราเอลออกจากการเป็นทาส ผ่านทะเลแดง และเดินทางเข้าสู่ถิ่นทุรกันดารตลอดสี่สิบปี เขาเป็นผู้นำที่อดทน แม้จะต้องฟังเสียงบ่น เสียงด่าว่า และการทรยศจากประชากรของตนเอง แต่โมเสสไม่เคยทอดทิ้งพวกเขา เขาอธิษฐานแทนพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ขอให้พระเจ้าทรงเมตตาแทนที่จะลงโทษ และพระคัมภีร์ได้ยืนยันว่า “โมเสส​เป็น​คน​ถ่อม​ใจ​ยิ่ง​กว่า​คน​ทั้ง​หมด​บน​พื้น​แผ่น​ดิน” (กันดารวิถี 12:3)

    ในบั้นปลายชีวิต โมเสสนำประชากรมาถึงชายแดนของแผ่นดินแห่งพันธสัญญา แม้พระเจ้ามิได้อนุญาตให้เขาเข้าไปในดินแดนนั้น แต่เขาได้เห็นด้วยตาของตนจากยอดเขาเนโบ และสิ้นชีวิตอย่างสงบที่นั่น ชีวิตของโมเสสจึงเป็นดั่งสะพานที่เชื่อมระหว่างการเป็นทาสกับอิสรภาพ และเป็นแบบอย่างของการรับใช้ด้วยใจที่ถ่อมลงต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง

    เรื่องราวของโมเสสสอนเราว่า ผู้นำของพระเจ้าไม่ได้ยิ่งใหญ่เพราะอำนาจหรือวาทศิลป์ แต่ยิ่งใหญ่เพราะ   ความถ่อมใจและการเชื่อฟัง พระเจ้าทรงเรียกเขาจากคนเลี้ยงแกะให้กลายเป็นผู้นำของชนชาติ พระองค์ทรงใช้เขาไม่ใช่เพราะความสามารถ แต่เพราะหัวใจที่ยอมให้พระเจ้าทรงนำ และนั่นคือหัวใจของผู้นำฝ่ายวิญญาณที่แท้จริง — ผู้ที่เดินในความถ่อมใจและเชื่อฟังต่อพระเจ้าอย่างไม่หวั่นไหว ดังที่พระคัมภีร์กล่าวว่า “พระ​องค์​ได้​ทรง​นำ​ประ​ชา​กร​ของ​พระ​องค์​เหมือน​นำ​ฝูง​แพะ​แกะ โดย​มือ​ของ​โม​เสส​และ​อา​โรน ” (สดุดี 77:20)











วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2568

อาโรน ปุโรหิตผู้แบกประชากรต่อพระพักตร์พระเจ้า

ตอนที่ 2 – อาโรน : ปุโรหิตใหญ่ผู้แบกประชากรต่อพระพักตร์พระเจ้า

เนื้อหา: อาโรนกับการรับใช้ในพลับพลา การถวายเครื่องบูชา และการยืนแทนประชากร (อพยพ 28–29)

แนวคิดหลัก: ผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณต้องยืนเป็นสะพานเชื่อมระหว่างพระเจ้ากับคน



อาโรน : ปุโรหิตใหญ่ผู้แบกประชากรต่อพระพักตร์พระเจ้า
(อพยพ บทที่ 28–29)

    อาโรน คือบุคคลที่พระเจ้าทรงเลือกด้วยพระหัตถ์ ให้เป็นปุโรหิตใหญ่คนแรกของอิสราเอล หน้าที่ของเขาไม่ใช่เพียงแค่ทำพิธีทางศาสนา แต่เป็นการ “ยืนอยู่ระหว่างพระเจ้าและมนุษย์” เพื่อถวายบูชา แทนบาป และนำประชากรให้เข้าถึงพระเมตตาของพระองค์ พลับพลาแห่งการนมัสการในถิ่นทุรกันดารจึงกลายเป็นจุดเชื่อมระหว่างสวรรค์กับโลก และอาโรนคือผู้รับใช้ผู้หนึ่งที่แบกภาระนั้นไว้บนบ่า

    ใน อพยพ บทที่ 28 พระเจ้าทรงกำหนดให้อาโรนสวมเครื่องแต่งกายศักดิ์สิทธิ์ที่มีความหมายลึกซึ้งทุกชิ้น เสื้อเอโฟดที่มีศิลาบนบ่า สลักชื่อเผ่าทั้งสิบสองของอิสราเอล เป็นสัญลักษณ์ว่าเขาแบกประชากรไว้ต่อหน้าพระเจ้าเสมอ ส่วนแผ่นโล่บนหน้าอกที่ฝังอัญมณีสิบสองเม็ด ก็เป็นสัญลักษณ์ว่าหัวใจของปุโรหิตต้องเต็มไปด้วยความรักและความห่วงใยต่อคนของพระเจ้า การแต่งกายจึงไม่ใช่เพียงเครื่องประดับ แต่เป็นการเตือนใจว่า ปุโรหิตต้องดำเนินชีวิตด้วยความบริสุทธิ์ สมกับการเป็นผู้แทนของประชากรต่อพระพักตร์พระองค์

    ใน อพยพ บทที่ 29 พระเจ้าทรงสถาปนาอาโรนและบุตรของเขาผ่านพิธีชำระ ตั้งแต่การล้างตัว การเจิมน้ำมัน ไปจนถึงการถวายเครื่องบูชาสามประเภท—วัวเพื่อชำระบาป แกะตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาเผา และแกะอีกตัวเป็นเครื่องบูชาสันติภาพ ทุกขั้นตอนสะท้อนความจริงฝ่ายวิญญาณว่า ไม่มีใครสามารถยืนต่อหน้าพระเจ้าได้ หากไม่ผ่านการชำระด้วยโลหิต และไม่ถวายชีวิตของตนเพื่อพระองค์

    อาโรนจึงเป็นภาพเงาล่วงหน้าของพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นปุโรหิตใหญ่สมบูรณ์แบบ ผู้ทรงยืนแทนเราต่อพระบัลลังก์แห่งพระคุณ ไม่ใช่ด้วยโลหิตของสัตว์ แต่ด้วยพระโลหิตของพระองค์เองที่บริสุทธิ์นิรันดร์ (ฮีบรู 9:11–14)

    แนวคิดที่เราเรียนรู้จากอาโรนคือ — ผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณต้องยืนเป็นสะพานเชื่อมระหว่างพระเจ้ากับคน ไม่ใช่เพื่อยกตนเหนือผู้อื่น แต่เพื่อแบกรับพวกเขาไว้ในคำอธิษฐาน และนำพาพวกเขาเข้าสู่ความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับพระเจ้า การรับใช้ที่แท้จริงจึงไม่ใช่การทำงานเพื่อศาสนา แต่คือการถวายชีวิตเพื่อให้คนได้สัมผัสพระเจ้าอย่างใกล้ชิด

    เมื่อเรามองดูอาโรนในพลับพลา เห็นเขายืนอยู่ท่ามกลางกลิ่นเครื่องหอมและควันบูชาที่ลอยขึ้นสู่สวรรค์ ขอให้ภาพนั้นเตือนใจเราว่า ทุกการรับใช้ของเราคือการยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า เพื่อคนอื่น เพื่อพระสิริของพระองค์ และเพื่อให้โลกนี้ได้รู้จักพระเจ้าผู้บริสุทธิ์และเปี่ยมด้วยความรัก












วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2568

เลวี จากความล้มเหลว สู่การทรงเรียก

ตอนที่ 1 – เลวี : จากความล้มเหลวสู่การทรงเรียก
เนื้อหา: เลวี ผู้มีอดีตอันด่างพร้อย (ปฐมกาล 34, 49:5–7) แต่พระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงเชื้อสายของเขาให้เป็นเผ่าปุโรหิต
แนวคิดหลัก: พระเจ้าทรงเปลี่ยนความอับอายเป็นพระสิริได้



เลวี : จากความล้มเหลวสู่การทรงเรียก

    เลวี เป็นบุตรชายของยาโคบและนางเลอาห์ หนึ่งในสิบสองเผ่าของอิสราเอล ชื่อของเขามีความหมายว่า “สนิทสนม” แต่ชีวิตของเขาในช่วงแรกกลับเต็มไปด้วยความรุนแรงและความอับอาย
เหตุการณ์ที่เมืองเชเคม (ปฐมกาล 34) เลวีร่วมกับสิเมโอน พี่น้องของเขา ใช้อุบายแก้แค้นอย่างโหดร้าย ฆ่าชาวเมืองทั้งหลายเพราะเหตุที่น้องสาวถูกล่วงเกิน การกระทำนี้นำความเสียหายมาสู่ครอบครัว จนบิดาของเขาคือยาโคบเอ่ยคำตำหนิอย่างหนัก

    ต่อมา เมื่อยาโคบใกล้สิ้นชีวิต เขาได้อวยพรแก่บุตรชายทั้งสิบสอง (ปฐมกาล 49) แต่สำหรับเลวี กลับไม่ได้รับพร—ตรงกันข้าม เขาได้รับคำสาปว่า “จะต้องถูกกระจัดกระจายท่ามกลางอิสราเอล” เพราะความโกรธเกรี้ยวและความรุนแรงที่เขาได้ทำไว้

    แต่พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา ไม่ได้ปล่อยให้คำสาปนี้เป็นจุดจบ ในเหตุการณ์ที่ภูเขาซีนาย เมื่อชนชาติอิสราเอลหลงไปบูชาลูกวัวทองคำ (อพยพ 32) มีเผ่าเดียวที่ยืนขึ้นเข้าข้างพระเจ้า คือเผ่าเลวี พวกเขาเลือกที่จะยืนอยู่ฝ่ายพระเจ้า แม้ต้องต่อสู้กับพี่น้องของตนเอง

    ผลก็คือ คำสาปของยาโคบกลับกลายเป็นพระพร เผ่าเลวีได้รับการทรงเลือกให้เป็นเผ่าที่รับใช้ในพลับพลาและพระวิหาร เป็นผู้ช่วยเหลือมหาปุโรหิตและรักษาความบริสุทธิ์ของชนชาติ พวกเขาแม้ไม่ได้รับที่ดินเป็นมรดก แต่ได้รับเกียรติอันสูงส่ง—คือการเป็นมรดกของพระเจ้าเอง

    เรื่องราวของเลวีจึงเป็นพยานที่ชัดเจนว่า พระเจ้าทรงสามารถเปลี่ยนความอับอายเป็นพระสิริได้ จากชายที่ถูกบิดาสาปแช่ง กลายเป็นเผ่าที่มีบทบาทสำคัญที่สุดเผ่าหนึ่งในแผนการแห่งความรอด

    ข้อคิดสำหรับเรา คือ ไม่ว่าชีวิตเราจะเคยล้มเหลวหรือนำมาซึ่งความอับอายเพียงใด แต่ถ้าเราหันกลับมาหาพระองค์ พระเจ้าทรงสามารถเปลี่ยนความล้มเหลวนั้นให้กลายเป็นการทรงเรียกที่เปี่ยมด้วยเกียรติ และใช้เราเป็นพยานถึงพระสิริของพระองค์ได้



ปฐมกาล 34 — เรื่องราวเมืองเชเคม
    ดีนาห์ บุตรสาวของยาโคบ ถูกเชเคมบุตรของฮาโมร์ เจ้าผู้ครองเมือง ล่อลวงและล่วงเกิน ต่อมาเชเคมเกิดรักเธอและขอแต่งงาน แต่พี่ชายของดีนาห์ โดยเฉพาะสิเมโอนและเลวี เต็มไปด้วยความโกรธ พวกเขาแสร้งทำเป็นยอมตกลง โดยกำหนดเงื่อนไขว่าชาวเมืองทุกคนต้องเข้าสุหนัต
    เมื่อชาวเมืองยอมทำตาม และยังเจ็บป่วยไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ สิเมโอนและเลวีจึงบุกเข้าไปฆ่าชาวเมืองทั้งหมด รวมถึงฮาโมร์และเชเคม แล้วชิงตัวดีนาห์กลับมา
    การกระทำนี้นำความอับอายและอันตรายมาสู่ครอบครัว ยาโคบผู้เป็นบิดาตำหนิบุตรชายทั้งสองที่ทำให้เขากลายเป็นที่เกลียดชังในสายตาประชาชาติรอบข้าง


ปฐมกาล 49:5-7
    สิ​เม​โอน​กับ​เลวี​เป็น​พี่​น้อง​กัน กระ​บี่​ของ​พวก​เขา​เป็น​อา​วุธ​ร้าย​แรง
    จิต​ใจ​ของ​เรา​เอ๋ย อย่า​เข้า​ไป​ใน​ที่​ชุม​นุม​ของ​พวก​เขา ศักดิ์​ศรี​ของ​เรา​เอ๋ย อย่า​เข้า​ร่วม​ใน​ที่​ประ​ชุม​ของ​พวก​เขา เพราะ​พวก​เขา​ฆ่า​คน​ด้วย​ความ​โกรธ เขา​ตัด​เอ็น​โค​ตัว​ผู้​ตาม​อำ​เภอ​ใจ​พวก​เขา
    ให้​ความ​โกรธ​ของ​พวก​เขา​ถูก​แช่ง​เพราะ​รุน​แรง ให้​ความ​โม​โห​ของ​พวก​เขา​ถูก​แช่ง​เพราะ​ดุ​ร้าย เรา​จะ​ให้​พวก​เขา​แตก​แยก​กัน​ใน​ยา​โคบ จะ​ให้​พวก​เขา​พลัด​พราก​กัน​ไป​ใน​อิสรา​เอล



อพยพ 32:25-29
    เมื่อ​โมเสส​เห็น​ประชา​ชน​เตลิด​ไป (เพราะ​อา​โรน​ปล่อย​เขา​ทั้ง​หลาย​ให้​เตลิด​ไป จน​พวก​เขา​ถูก​พวก​ศัตรู​เย้ย​หยัน)
    แล้ว​โมเสส​ยืน​อยู่​ที่​ประ​ตู​ค่าย​ร้อง​ว่า “ใคร​อยู่​ฝ่าย​พระ​ยาห์​เวห์? จง​มา​หา​เรา​เถิด” คน​เลวี​ทั้ง​หมด​ก็​มา​หา​โม​เสส​พร้อม​กัน
    โมเสส​จึง​กล่าว​กับ​พวก​เขา​ว่า “พระ​ยาห์​เวห์ พระ​เจ้า​ของ​อิส​รา​เอล​ตรัส​ดัง​นี้​ว่า ‘แต่​ละ​คน จง​เหน็บ​ดาบ​แนบ​กาย​และ​ไป​มา​ตาม​ประตู​ค่าย แล้ว​แต่​ละ​คน​จง​ฆ่า​พี่​น้อง​และ​มิตร​สหาย​อีก​ทั้ง​เพื่อน​บ้าน​ของ​ตัว​เอง’ ”
คน​เลวี​ก็​ทำ​ตามที่​โม​เสส​สั่ง และ​ประชา​ชน​ประมาณ​สาม​พัน​คน​ตาย​ลง​ใน​วัน​นั้น
    แล้ว​โม​เสส​กล่าว​ว่า “ใน​วัน​นี้​ท่าน​ทั้ง​หลาย​จง​สถา​ปนา​ตัว​เอง​รับ​ใช้​พระ​ยาห์​เวห์ แต่​ละ​คน​จง​สู้​รบ​กับ​บุตร​และ​พี่​น้อง​ของ​ตน เพื่อ​วัน​นี้​พระ​องค์​จะ​ทรง​อวย​พร​ท่าน​ทั้ง​หลาย”