ค้นหาข้อมูลจากบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2552

ที่มาของ SophiaBooks

Shophia เป็นภาษากรีก แปลว่า "ความรู้"

ชาวกรีกเป็นผู้ริเริ่มค้นคว้าวิทยาการใหม่ๆ และตั้งทฤษฎีขึ้นมามากมาย ซึ่งเราในยุคปัจจุบันได้รับผลประโยชน์จากความรู้เหล่านั้น

และคำว่า "ปราชญ์" หรือ "ปรัชญา" ในภาษาอังกฤษเรียก "Philo-sophy" นักปรัชญา" เรียก "Philo-sopher" ก็คือคำที่มาจากภาษากรีกโดยตรง คือคำว่า "Philos" หมายถึง "ความรัก" เมื่อมาผสมกับคำว่า "Sophia" จึงมีความหมายว่า "ความรักในความรู้"

ชื่อนี้จึงเกิดขึ้นตามแรงปรารถนาของผู้จัดตั้ง สำนักพิมพ์ "โซเฟีย บุ๊คส์" และมีสโลแกนว่า "คลังปัญญาของผู้กล้าแห่งอนาคต"

สัญลักษณ์ของสำนักพิมพ์ มาจากภาพ กล่องใส่ม้วนหนังสือโบราณ ที่เรียกว่า "Scroll Box"


สำนักพิมพ์โซเฟีย บุ๊คส์ เริ่มต้นขึ้นในเดือน กุมภาพันธ์ ปี 1995 โดยเริ่มผลิตนิตยสาร และตามด้วยหนังสือคู่มือต่างๆ (เกี่ยวกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์กราฟฟิค) จนภายหลังหันมาผลิตพ็อคเก็ตบุ๊คส์ประเภทสารคดี และนิยาย จนถึงปัจจุบันได้ 14 ปี ผลิตหนังสือทั้งภายในและแปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ มากกว่า 50 เรื่อง




มีนักเขียนไทยหลายคนที่ได้มีผลงานเป็นของตนเองในนามของโซเฟียบุ๊คส์หลายเล่ม

ปัจจุบัน โซเฟีย บุ๊คส์ ยังแตกแขนงออกเป็นสำนักพิมพ์เฉพาะกิจอีก คือ e.magic club และ RePenthouse


 

เรายังมีแผนกผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ และดูแลการผลิตต้นฉบับ ให้แก่ผู้ต้องการประสานงานด้านกราฟฟิค หรือจัดทำอาร์ตเวิร์ค ในนามของ SonPrint Graphic

และล่าสุดเรายังรับดูแลการผลิตงานเขียน สำหรับผู้เริ่มต้น และมีผลงานด้านการเขียนเป็นของตนเองในรูปแบบของหนังสือ คือเราสามารถติดต่อประสานงานกับโรงพิมพ์ และสายส่ง แบบครบวงจร เพียงแต่ท่านมีต้นฉบับเท่านั้น..

ปัจจุบันแปรเปลี่ยนมาทำสื่อในรูปแบบ DVD และ ช่องใน youtube ในนาม SophiaMedia



วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2552

เขาพระวิหารยังอยู่นอกเขตอิสราเอล

พื้นที่ด้านล่างเขตสีเหลืองคือเขตปกครองของอิสราเอล
เขตเมืองเก่าจึงยังอยู่นอกเขตของอิสราเอล

แม้อิสราเอลจะก่อตั้งเป็นรัฐชาติได้เมื่อปี 1948 แต่บริเวณที่ตั้งเมืองเก่าสมัยกษัตริย์ดาวิดสร้างเมืองบนเนินไซออน (ศิโยน) ยังอยู่นอกเขตปกครองของอิสราเอล

ความหวังที่จะสร้างพระวิหารหลังที่ 3 จึงยังคงเป็นแค่ความหวัง แม้จะมีความเคลื่อนไหวในช่วงปี 2001-2003 โดยชาวยิวก็ตาม หรือแม้แต่ชาวคริสต์บางกลุ่มที่เชื่อในคำพยากรณ์ว่าจะต้องมีการสร้างพระวิหารขึ้นมา หลังจากที่อิสราเอลคืนเป็นชาติอีกครั้ง

การโจมตีฉนวนกาซาของอิสราเอลดูจะมีเงื่อนงำที่น่าจับตา เพราะการทำเช่นนี้ อิสราเอลจะถูกประณามจากนานาประเทศ และมีการเสนอภาพเป็นทางลบ แต่ทำไมยังคงมีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง และไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงง่ายๆ

สงครามด้วยยอาวุธในพื้นที่นี้ จะลุกลามใหญ่โตหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการเสนอข่าวในเชิงยั่วยุ และแสวงหาพรรคพวก โดยธรรมชาติของมนุษย์ย่อมรู้สึกเห็นใจผู้ที่มีกำลังน้อยกว่าเสมอ

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวยิวกว่า 6 ล้านคนถูกสังหารโหดโดยพวกนาซี สร้างความเห็นอกเห็นใจให้กับชาวยิว และคราวนี้จะเป็นเช่นไรกับชาวปาเลสไตน์ในกาซา

พื้นที่เขาพระวิหารจะเกี่ยวข้องหรือไม่ ต้องดูกันต่อไป..

พระวิหารหลังแรกที่สร้างบนเนินโมริยาห์ สมัยกษัตริย์ซาโลมอน
ในสมัยที่รัฐชาติอิสราเอลรุ่งเรืองถึงขีดสุด

วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2552

โหราศาสตร์ คำพยากรณ์ และปฏิทินมายัน

เรื่องราวเกี่ยวกับคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ตามทัศนะของคนยิวนั้น มักจะเกี่ยวข้องกับบุคคลผู้ที่จะมาปลดปล่อยชนชาติออกจากการเป็นทาส หรือจากการถูกข่มเหงรังแกจากผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า

“เพราะฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานหมายสำคัญเอง ดูเถิด หญิงสาว (ในฉบับเสปตัวยินต์ คือฉบับกรีกโบราณใช้คำที่แปลว่า สาวพรหมจารีได้) คนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่า อิมมานูเอล (แปลว่า พระเจ้าทรงสถิตกับเราทั้งหลาย)” อิสยาห์ 7:14

จากคำพยากรณ์นี้ใช้เวลานานถึง 800 ปี กว่าสิ่งที่กล่าวไว้จะเกิดขึ้นจริง แน่นอนว่า คนยิวจำนวนมากลืมเลือนกับคำพยากรณ์นี้ เพราะระยะเวลาที่เนิ่นนาน ผนวกกับการเปลี่ยนแปลงสถานะทางสังคมของพวกเขา
จนกระทั่งมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเดินทางมายังเยรูซาเล็ม พร้อมกับวิชาโหราศาสตร์ ได้ติดตามดวงดาวเพื่อค้นหากษัตริย์ที่กำลังจะมาบังเกิดพร้อมกับการเคลื่อนที่ของดาวประหลาดดวงหนึ่ง

“...ภายหลังมีพวกโหราจารย์จากทิศตะวันออกมายังกรุงเยรูซาเล็ม ถามว่า “กุมารผู้ที่บังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิวนั้นอยู่ที่ไหน เราได้เห็นดาวของท่านปรากฏขึ้น เราจึงมาหวังจะนมัสการท่าน” มัทธิว 2:1-2

พวกเขาเป็นชาวต่างชาติ ไม่ใช่ยิว ดังนั้นวิชาโหราศาสตร์จึงเป็นศาสตร์ที่มีพวกเขาได้ใช้ในการค้นหาความหมายของความเป็นไปในโลกใบนี้

พวกยิวขอเห็นหมายสำคัญ และพวกกรีกเสาะหาปัญญา” 1 โครินธ์ 1:22

ข้อพระคัมภีร์นี้สะท้อนให้เห็นถึงทัศนะหรืออัตลักษณ์ประจำชนชาติ พวกต่างชาติใช้สติปัญญาตามวิชาของพวกเขา พวกโหราจารย์ เป็นพวกที่มีความรู้ดาราศาสตร์และโหราศาสตร์จากเปอร์เซีย ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของปาเลสไตน์ พวกเขาคงมีความรู้ทางพระคัมภีร์เดิมที่ได้จากเชลยชาวยิวในบาบิโลนและเปอร์เซียเกี่ยวกับคำพยากรณ์ที่ว่าจะมีดาวออกมาจากยาโคบ (กดว.24:17) พระเจ้าทรงใช้ความรู้เหล่านี้เปิดเผยถึงการประสูติของพระเยซู

เผ่ามายัน อีกชนเผ่าหนึ่ง ซึ่งอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของชาวยิว แต่ในปัจจุบันมีนักวิชาการมากมายโดยเฉพาะแวดวงดาราศาสตร์ให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องวันสิ้นสุดปีปฏิทินมายัน ซึ่งจารึกโบราณได้ระบุว่า วันที่ 21 ธันวาคม ปี 2012 เป็นวันสิ้นสุดระบบปฏิทินของมายัน

ความชำนาญในเรื่องดาราศาสตร์ของชนเผ่านี้น่าทึ่งมาก เพราะสามารถทำนายการเกิดสุริยคราสได้อย่างแม่นยำ ในภาพยนตร์เรื่อง “Apocalypto” ของเมล กิ๊บสัน ได้สื่อเรื่องราวของชนเผ่านี้

ภาพยนตร์อีกเรื่องของเมล กิ๊บสัน
ที่กำลังสื่ออะไรบางอย่างให้ชาวโลกได้รับรู้ถึงความสามารถทางดาราศาสตร์ของพวกมายัน

การทำนายการเกิดสุริยคราสของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ก็ทำให้ชื่อเสียงของพระองค์ปรากฏไปทั่วยุโรปถึงความสามารถของชาวสยาม จนได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งวิทยาศาสตร์”

เกิดสุริยคราสเต็มดวงที่ตำบลหว้ากอ รัชกาลที่ 4 สามารถทำนายการเกิดปรากฏการณ์นี้ ด้วยวิชาโหราศาสตร์ได้อย่างแม่นยำ จนทำให้ชาวต่างชาติทึ่ง

หลักโหราศาสตร์ที่แท้จริงก็คือหลักสถิติโดยมีดวงดาวเป็นตัวกำหนด สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์สนใจเรื่องวันสิ้นสุดของปฏิทินมายันก็คือ ในวันนั้น “ระบบสุริยจักรวาล” จะมาบรรจบพบกับ “ทางช้างเผือก” จนเกิดปรากฏการณ์ที่เกินคำบรรยายเกิดขึ้นนั่นคือ
• ระบบอิเล็กโทรนิคจำนวนมากจะทำงานผิดปกติ (ระบบขีปนาวุธ ,computer)
• การอพยพของฝูงสัตว์ เช่น นก หรือปลาวาฬ ทำให้สูญเสียทิศทางและอื่นๆ
• ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์รวมถึงมนุษย์จะทำให้อ่อนแออย่างมาก (ลูกา 21:11)
• ทำให้ภูเขาไฟเพิ่มขึ้น, เกิดการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก แผ่นดินไหว และแผ่นดินถล่ม (วิวรณ์ 16:18)
• สนามแม่แหล็กโลก (Magnetosphere) จะอ่อนแอลง และการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณถึงระดับอันตราย ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมา ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ (วิวรณ์ 16:9)
• กลุ่มวัตถุในอวกาศมากมายจะเฉียดเข้าใกล้โลกได้ง่ายขึ้น (มัทธิว 24:29)
• แรงดึงดูดของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม (1 เธสะโลนิกา 4:17-18)


จากข้อมูลที่เป็นเหมือนคำพยากรณ์และการคาดการณ์ของนักวิทยาศาสตร์ที่เอ่ยถึงปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นนั้นดูจะสอดคล้องกับข้อพระคัมภีร์หลายตอนที่เอ่ยถึงเหตุการณ์ในช่วงวันสิ้นยุค หนึ่งในนั้นก็คือเรื่อง “แรงดึงดูดของโลก”

“...หลังจากนั้นเราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่ จะถูกรับขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น และจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละ เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์ เหตุฉะนั้นจงปลอบใจกันด้วยถ้อยคำเหล่านี้เถิด” 1 เธสะโลนิกา 4:17-18

การถูกรับขึ้น (Rapture) เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในยุคสุดท้าย

ถ้าเรื่องนี้มีเค้าความจริง ก็น่าจับตาว่า ระหว่างช่วงเวลาจากวันนี้จนไปถึงวันที่ 21 ธันวาคม 2012 จะมีเหตุการณ์อะไรบ้าง ซึ่งนับเวลาดูก็ประมาณอีก 4 ปี ก็ต้องติดตามกันต่อไป

ตารางเวลาที่น่าสนใจนี้กำลังบอกอะไรกับเรา?

การสร้างพระวิหารหลังที่ 3


การสร้างพระวิหารหลังที่ 3 สัญญาณเริ่มต้นของยุคสุดท้ายในช่วงปี 2000 ที่ผ่านมา ผู้คนในโลกต่างหวาดกลัวถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของยุคพันปี เพราะข้อมูลและคำทำนาย รวมไปถึงคำพยากรณ์จากพระคัมภีร์เล็งถึงวันนั้นคำว่า “วันสิ้นโลก” จึงถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย และการคำนวณถึงวันเวลาดังกล่าวก็ตามมาด้วยเช่นกัน แน่นอนว่า “ปี ค.ศ. 2000” จึงถูกระบุว่าเป็น “วันสิ้นโลก” ของหลายๆ ผู้ทำนาย รวมไปถึงคริสเตียนบางกลุ่มที่เชื่อเรื่องนี้ด้วยแต่โลกก็ผ่านมาแล้วถึง 9 ปี (2009) เรื่อง “วันสิ้นโลก” ก็ถูกปลุกกระแสอีกครั้ง เมื่อพม่าประสบภัยพิบัติพายุถล่มเมืองย่างกุ้งเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม มีชาวบ้านเสียชีวิตมากมาย และต่อมาอีก 10 วันก็เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เมืองจีน ในวันที่ 12 พฤษภาคม คร่าชีวิตผู้คนมากกว่า 80,000 คน ทั้งสองเหตุการณ์ได้ปลุกกระแสวันสิ้นโลกอีกครั้งในพระคัมภีร์เองได้ระบุถึงวันเปลี่ยนแปลงโลกเอาไว้เช่นกัน แต่ไม่ได้กล่าวว่าเป็นวันสิ้นโลกแต่อย่างใด แต่กล่าวว่าเป็น “วันสิ้นยุค”

“...แต่จงเข้าใจข้อนี้ คือว่าในสมัยจะสิ้นยุคนั้น จะเกิดเหตุการณ์กลียุค...” 2 ทิโมธี 3:1

กลียุค คือยุคแห่งความวุ่นวายต่างๆ นานา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภัยพิบัติต่างๆ อย่างเช่นแผ่นดินไหว น้ำแข็งขั้วโลกละลายจนภูมิศาสตร์โลกเปลี่ยนไป อีกทั้งระบบเศรษฐกิจโลกที่กำลังปั่นป่วน หุ้นตก บริษัทยักษ์ใหญ่ล่มสลาย รวมไปถึงปัญหาการเมืองทั้งภายในและนอกประเทศที่กำลังเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ราวกับว่าเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ได้กำลังส่งสัญญาณเตือนเราเป็นระยะๆ

แล้วอะไรกันแน่ที่จะเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของ “ยุคสุดท้าย” ว่ามันได้เริ่มขึ้นแล้ว

พวกสาวกมาเฝ้าส่วนตัวกราบทูลว่า “ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ทั้งหลายทราบว่า เหตุการณ์เหล่านี้จะบังเกิดขึ้นเมื่อไรสิ่งไรเป็นหมายสำคัญว่าพระองค์จะเสด็จมา และยุคเก่าจะสิ้นสุดลง” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ระวังให้ดี อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านให้หลง ด้วยว่าจะมีหลายคนมา ต่างอ้างนามของเราว่าตัวเขาเป็นพระคริสต์ เขาจะให้คนเป็นอันมากหลงไป ท่านทั้งหลายจะได้ยินเสียงสงคราม และข่าวลือเรื่องสงคราม คอยระวังอย่าตื่นตระหนกเลย ด้วยว่าบรรดาสิ่งเหล่านี้จำต้องบังเกิดขึ้น แต่ที่สุดปลายยุคยังไม่มาถึง เพราะประชาชาติต่อประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อราชอาณาจักรจะต่อสู้กัน ทั้งจะเกิดกันดารอาหารและแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ เหตุการณ์ทั้งปวงนี้เป็นขั้นแรกแห่งความทุกข์ลำบาก ซึ่งต้องมีมาก่อนกำเนิดยุคใหม่..” มัทธิว 24:3-8

แม้ในพระคัมภีร์จะได้กล่าวเตือนไว้หลายประการถึงสัญญาณต่างๆ แต่หลายๆ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่ว่าจะมี พระคริสต์เทียมเท็จ สงคราม การกันดารอาหาร หรือเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึ่งจะต้องมีก่อนยุคใหม่

...ท่านผู้หนึ่งจึงเอาไม้อ้อท่อนหนึ่งให้ข้าพเจ้ารูปร่างเหมือนไม้วัด แล้วสั่งข้าพเจ้าว่า “จงลุกขึ้นไปวัดพระวิหารของพระเจ้า และแท่นบูชาและคำนวณคนทั้งหลายซึ่งนมัสการในนั้น แต่ไม่ต้องวัดลานชั้นนอกพระวิหารนั้น เพราะว่าที่นั่นได้มอบให้แก่คนต่างชาติแล้ว และเขาจะเหยียบย่ำวิสุทธนคร ตลอดสี่สิบสองเดือน..” วิวรณ์ 11:1-2

42 เดือน เท่ากับ 3 ปีครึ่ง จากพระคัมภีร์ใหม่ตอนนี้ไปสอดคล้องกับพระคัมภีร์เดิมอีกตอนหนึ่ง ..ที่สุดปลายของมันจะมาถึงด้วยน้ำท่วม จนกระทั่งที่สุดจะมีสงคราม มีความวิบัติกำหนดไว้ มันจะทำพันธสัญญาเข้มแข็งกับคนเป็นอัน มากอยู่หนึ่งสัปตะ ท่านจะกระทำให้การถวายสัตวบูชา และเครื่องบูชาอื่นๆ หยุดไปครึ่งสัปตะ... ดาเนียล 9:26-27

1 สัปตะ เท่ากับ 7 ปี ครึ่งสัปตะ จึงเท่ากับ 3 ปีครึ่ง

จากพระธรรมทั้งสองข้อที่สอดคล้องกันนี้ ทำให้เราทราบแบบคร่าวๆ ว่า จะต้องมีการสร้างพระวิหารขึ้นมา ภายใน 7 ปี และมีการหยุดพักครึ่งทาง คือ 3 ปีครึ่ง

ดังนั้น การสร้างพระวิหารหลังที่ 3 จึงกลายเป็นสัญญาณเตือนให้เราทราบถึงกำหนดของยุคสุดท้าย เพราะหลังจากปี ค.ศ. 2000 ที่ผ่านมาได้มีการเคลื่อนไหวมากมายเกี่ยวกับการสร้างพระวิหารหลังที่ 3 ในอิสราเอล มีการแห่ก้อนศิลาสำหรับทำพระวิหารในเยรูซาเล็ม

อีกทั้งยังมีกลุ่มสมาคมลับกลุ่มหนึ่งซึ่งเคยอ้างว่าจะสร้างพระวิหารเมื่อปี ค.ศ. 1909 และจะครบกำหนด 100 ปี ในปี 2009 นั่นคือ “สมาคมฟรีเมสัน (FREE MASON)”

สมาคมนี้เป็นสมาคมเกี่ยวกับช่างก่อสร้าง และอ้างว่าพวกเขาได้ค้นพบแปลนพระวิหารตั้งแต่สมัยสงครามครูเสดโดยกลุ่มอัศวินเทมปลาร์ (Knight Templar) จึงมีเป้าหมายที่จะสร้างพระวิหารมาตลอด และสมาคมนี้ยกย่อง ฮีราม (Hiram) หรือ หุราม ให้เป็นดังศาสดาของพวกเขา ฮีรามคือช่างฝีมือในยุคของโซโลมอนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างพระวิหารหลังแรก

วันเสาร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2552

พระวิหารหลังที่ 3 สัญลักษณ์ของยุคสุดท้าย


เมื่อปี 1948 อิสราเอลได้กลับมาเป็นรัฐชาติอีกครั้ง หัวใจของชนในชาติที่รวมศูนย์ก็คือพระวิหารที่อยู่ใจกลางเมืองเยรูซาเล็ม นับตั้งแต่พระวิหารหลังแรกถูกทำลายโดยชาวบาบิโลนเนียน และมีการซ่อม เสริม สร้างพระวิหารขึ้นมาใหม่หลายหน จนพระวิหารก็ถูกทำลายไปอีกในปี ค.ศ.70 โดยชาวโรมัน

แน่นอนว่ารัฐชาติของอิสราเอลก็ล่มไปพร้อมกับพระวิหาร แต่หลังจากที่เวลาผ่านไปกว่า 2,000 ปี รัฐชาติที่ไม่น่าจะกลับมาได้ก็กลับมามามีชีวิตอีกครั้ง

พระวิหารหลังต่อไปคือแผนการที่ชนชาตินี้ตั้งเป้าหมายว่าจะสร้างขึ้นให้จงได้ แต่เวลาก็ผ่านไปถึง 60 ปีแล้ว โครงการดังกล่าวก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้ พระอิสราเอลยังไม่สามารถครอบครองพื้นที่บริเวฯพระวิหารเดิมได้อย่างเบ็ดเสร็จ

แต่ดูเหมือนว่าความเป็นจริงเข้าใกล้มาทุกที แผนการสร้างพระวิหารหลังที่ 3 กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววัน ชั่วชีวิตนี้เราคงได้เห็น

อะไรเป็นสาเหตุของการสร้าง
ใครจะเป็นคนสร้าง
และเมื่อไร

โปรดติดตามตอนต่อไป

กระแสคลื่นจากปี 08 สู่ปี 09 ที่ยังไม่หยุดนิ่ง


นับแต่กระแสข่าวต่างๆ ของปีที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาภาวะโลกร้อน, สงครามระหว่างประเทศต่างๆ ที่ยังครุกรุ่น อีกทั้งปัญหาเศรษฐกิจระดับโลกที่ยังส่งผลมาถึงปีปัจจุบัน และยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงง่ายๆ กลับยิ่งทวีความรุนแรงอย่างน่าจับตาว่า มันจะเป็นอย่างไรต่อไป หากเราไม่ทันระมัดระวัง ปล่อยชีวิตไปเรื่อยๆ เหมือนทองไม่รู้ร้อนก็คงจะไม่ได้แล้ว

..นี่แน่ะท่านที่พูดว่าวันนี้หรือพรุ่งนี้เราจะเข้าไปในเมืองนี้เมืองนั้น และจะอยู่ที่นั่นปีหนึ่ง และจะค้าขายได้กำไร” แต่ว่าท่านไม่รู้เรื่องของพรุ่งนี้ ชีวิตของท่านเป็นเช่นใดเล่า ท่านก็เป็นเช่นหมอกที่ปรากฏอยู่เพียงชั่วครู่แล้วก็หายไป.. จากหนังสือยากอบ 4:13-14 พระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่

ช่วงนี้อากาศบ้านเราเปลี่ยนแปลงแบบน่าตกใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะเมื่อปี 08 หลายคนคงรู้สึกตื่นเต้นเกี่ยวกับข่าวพายุที่จะพัดเข้าถล่มกรุงเทพฯ ในช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม โดยคำพยากรณ์ของ ดร.ชื่อดัง ที่เล่นเอาธุรกิจบ้านและที่ดินจัดสรรในย่านที่ติดทะเลเงียบเหงาแบบเฉียบพลัน อีกทั้งใกล้ๆ จะปีใหม่ก็มีข่าวหิมะจะตกในประเทศไทย สร้างกระแสอีกครั้ง จนในช่วงนี้ก็มีหมอกหนาทึบในยามเช้า อากาศที่หนาวเย็นไปทั่วตอนบนของประเทศ กรมอุตุนิยมยังพยากรณ์เตือนอีกว่าหน้าร้อนปีนี้จะร้อนกว่าปกติอีก นั่นหมายความว่าการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลจะหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ

ปัญหาภาวะโลกร้อน คงไม่ใช่เรื่องที่จะพูดกันเล่นๆ เพื่อสร้างกระแส หรือปลุกเร้าให้มนุษย์เราเปลี่ยนวิถีชีวิต ทางสหภาพยุโรปเองก็มีการประชุมปรึกษาหารือกันแล้วว่าในปีนี้จะคิดทำการกันอย่างไร ส่วนในบ้านเรา ดูเหมือนจะผลุบๆ โผล่ในเรื่องนี้ เพราะประชาชนตาดำๆ หลายล้านคน ยังไม่เข้าใจเลยว่า ปัญหาโลกร้อนมันเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาหรือพวกเรา หน้าหนาวก็ยังหนาวนี่ หน้าร้อนก็คงร้อนเป็นธรรมดา หน้าฝน ฝนก็คงตกเป็นเรื่องปกติ แล้วยังไง หน่วยงานที่รับผิดชอบก็ต้องมาคิดกันว่าจะรณรงค์อย่างไรให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แต่ถ้าจะให้ดีก็คงต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน

อีกเรื่องที่ดูยังวุ่นวายก็คือปัญหาความขัดแย้งทั้งในและนอกประเทศ ในประเทศหลายคนที่ตามข่าวก็คงรู้ดีว่าประเทศเรานั้น เพียงปีเดียวก็มีนายกถึง 3 คน และช่วงเวลาไม่นานก็มีผู้ว่ากทม.ถึง 2 คน อะไรมันจะฟุ่มเฟือยบุคลากรกันขนาดนี้ ปัญหาเสื้อเหลืองเพิ่งจบไป เสื้อแดงก็เข้ามาแทนที่ อย่างกับเป็นโปรแกรมละครน้ำเน่าที่รอคิวกันจนแน่นไม่เว้นแต่ละวัน การปิดถนนของกลุ่มต่างๆ ดูจะเป็นแฟชั่นยอดฮิตไปแล้ว ใครฉิ_หายช่างมัน ผลประโยชน์ของพวกข้าต้องมาก่อน!

ข่าวสงครามของแต่ละแห่งก็ดูจะผลัดกันแสดงแสนยานุภาพทางการทหาร ล่าสุดที่ส่งท้ายปีเก่าตอนรับปีใหม่ให้เห็นกันก็คือปัญหาชายแดนระหว่างอิสราเอลและกาซ่าที่รบกันข้ามปี คนตายเป็นพัน แม้จะมีการหยุดยิงแล้วก็ตาม เหตุการณ์ครั้งนี้คงไม่จบลงง่ายๆ เหมือนประหนึ่งว่าเป้นคำพยากรณ์ของใครที่จะให้สงครามทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นจนเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 (ที่ปล่อยข่าวลือกันให้เต็มเว็บต่างๆ ทั่วโลก)

และสุดท้ายก็คงหนีไม่พ้นปัญหาเศรษฐกิจโลก ที่ส่งผลกระทบกันจนเป็นลูกโซ่ ประเทศยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐอเมริกายังแก้ปัญหาตัวเองไม่ได้ดีนัก ก็ต้องรอลุ้นดูผลงานของรัฐบาลประธานาธิบดีผิวสีคนแรก และที่น่าหวั่นวิตกเมื่อประเทศสิงคโปร์ก็ประสบปัญหานี้เหมือนกันเมื่อต้นปีนี้เอง และคาดว่าจะส่งผลกระทบมาถึงไทยเร็วๆ นี้ ฟังข่าวแล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ หลายคนเริ่มวางแผนรองรับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ บางแห่งก็เริ่มปลดหรือลดจำนวนพนักงานที่ไม่มีความจำเป็น ลดการผลิต ลดนั่นลดนี่ แต่ที่เพิ่มขึ้นคือราคาน้ำมันที่แอบขึ้นอย่างเงียบๆ เพราะมีเรื่องอื่นให้น่าวิตกกว่า..

ก็คงต้องขอฝากข้อความให้กำลังใจผู้อ่านทุกท่านว่า “ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรด เราจะมีชีวิตอยู่ และจะกระทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น” จากหนังสือยากอบ 4:15 พระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่

วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2552

ภาวะโลกร้อนในมุมมองจากพระคัมภีร์


“ความแห้งแล้งและความร้อนฉวยเอาน้ำหิมะไปฉันใด แดนคนตายก็ฉวยเอาผู้กระทำบาปไปฉันนั้น” โยบ 24:19

Dr. H. Jay Zwally (NASA climate scientist) ผู้ทำการศึกษาเรื่องน้ำแข็งขั้วโลก
"ในไม่ช้านี้ น้ำแข็งทั้งหมดอาจจะหายไปจากมหาสมุทรอาร์คติก ในสิ้นฤดูร้อน ปี 2012"

เมื่อปี 2007 นักวิทยาศาสตร์จากองค์กรนาซ่า (NASA) ได้เปิดเผยข้อมูลเรื่องน้ำแข็งขั้วโลกที่นับวันจะละลายไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นวิกฤติ โดยผ่านมาแล้วถึง 30 ปี และคาดว่ามันจะละลายหมดในฤดูร้อนปี 2012 (หรืออีก 3 ปีข้างหน้า)

วัดขุนสมุทราวาส อยู่ที่ จ.สมุทรปราการ ประสบปัญหาน้ำท่วม ผลกระทบจากภาวะโลกร้อน
หลักเขตบางขุนเทียน ซึ่งอยู่ในกรุงเทพมหานคร ปัจจุบันอยู่ในทะเลมากว่า 30 ปี นับตั้งแต่น้ำแข็งขั้วโลกละลาย

การเผชิญหน้ากับภาวะโลกร้อนของชาวโลกนั้น นับว่าตื่นตัวมากขึ้น แม้แต่ในประเทศไทย ก็มีการกล่าวถึงเรื่องนี้อยู่ในหลายๆ โอกาส เพราะผลกระทบนั้นส่งผลมายังพื้นที่ติดทะเลของกรุงเทพมหานคร อย่างเขตบางขุนเทียน ที่แผ่นดินหายไปกว่า 3 กิโลเมตร และส่วนต่างๆ กว่า 130,000 ไร่


กลุ่ม Endtime warning (Thailand) และสำนักพิมพ์ Sophia Books ได้จัดสัมมนาและมีการบรรยายในสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น พระคริสตธรรมศึกษาเชียงราย โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต (คณะวิศวกรรม) รวมไปถึงกลุ่มอนุชนคริสตจักรคลองเตย และคริสตจักรสะพานเหลือง สัมภาษณ์ออกรายการคริสเตียนวาไรตี้ (ช่อง TTV2) และรายการจิบน้ำชายามบ่าย (ช่อง MVTV)

การนำเสนอข้อมูลภาวะโลกร้อนในปัจจุบันกับมุมมองจากพระคัมภีร์
เนื้อหาสัมมนาเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน และภัยพิบัติที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ อย่างเช่น พายุแคทรีน่าถล่มเมืองนิวออร์ลีนส์ที่อเมริกา และพายุนาร์กีสที่พม่า แผ่นดินไหวที่เวิ่นฉวน มณฑลเสฉวน ของจีน
คู่มือรับมือคลื่นพายุซัดฝั่งของกรุงเทพมหานคร
Storm Surge ที่อาจจะเข้าใกล้กรุงเทพฯ ในวันใดวันหนึ่ง ท่านเตรียมพร้อมที่จะรับมือแค่ไหน หรือยังไม่เคยได้ยินมาก่อน!

ล่าสุดที่ชาวกรุงต้องตื่นเต้นและเฝ้าจับตาดูก็คือเรื่อง Storm Surge ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไร มันเป็นเพียงข้อมูลทางวิชาการ หรือคือเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นจริง และเหตุการณ์เหล่านี้เกี่ยวข้องอะไรกับยุคสุดท้าย ที่พระคัมภีร์ได้กล่าวถึง

“พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า
ดูเถิด น้ำทั้งหลายกำลังขึ้นมาจากทิศเหนือ และจะกลายเป็นกระแสน้ำท่วม
มันจะท่วมแผ่นดินและสารพัดซึ่งอยู่ในนั้น ทั้งเมืองและผู้ที่อาศัยอยู่ในเมือง คนจะร้องร่ำไร
และชาวแผ่นดินนั้นทุกคนจะคร่ำครวญ”
เยเรมีย์ 47:2

หัวข้อสัมมนาที่ทางเราได้จัดขึ้นคือ :
1. ภาวะโลกร้อนกับยุคสุดท้าย
2. การฝังไบโอชิพในมนุษย์ (เพื่อบังคับเรื่องการซื้อขาย)
3. การปรากฏตัวของรัฐบาลโลก (หญิงแพศยากับสัตว์ร้าย)
4. วันสิ้นโลกมายัน 21 ธันวาคม 2012
5. มนุษย์ต่างดาวกับคัมภีร์ไบเบิ้ล
6. สมาคมลับกับลัทธิเทียมเท็จ
7. การสร้างพระวิหารหลังที่ 3 ในเยรูซาเล็ม (สัญญาณเตือนก่อนกลียุค)
8. ยุคพันปี
9. เวลาของพระเจ้า
10. ตรา แตร ขัน
11. การรับมือในช่วง 7 ปีกลียุค

...เพราะฉะนั้น ขอให้ธรรมิกชนทุกคนอธิษฐานต่อพระองค์
ในเวลาที่จะพบพระองค์ได้
ในเวลาน้ำท่วมมาก น้ำจะไม่มาถึงคนนั้น...
สดุดี 32:6

“สันติภาพไม่เกิด เมื่อกำแพงยังขวางกั้น”


นับตั้งแต่อดีตกาลมนุษย์เราได้สร้างสิ่งหนึ่งเพื่อป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของตัวเองและชุมชน นั่นคือ “กำแพง” ซึ่งมันทำหน้าที่เป็นเครื่องกั้น เครื่องล้อม ที่ก่อด้วยอิฐ ดิน หรือหิน โดยหวังว่าสิ่งนี้จะช่วยยับยั้งหรือชะลอเหตุร้ายเภทภัยของผู้ไม่ประสงค์ดี เรื่องแบบนี้ ทุกคนย่อมเห็นด้วยเป็นแน่แท้ และยอมรับโดยดุษฎี
แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ เมื่อที่ใดมีกำแพง ที่นั่นกับดูไม่ปลอดภัย และอยู่ในภาวะที่เหมือนกับว่ามีอันตรายตลอดเวลา ยิ่งมีกำแพงสูงและหนา ยิ่งน่าหวาดหวั่น ดังเช่นกำแพงเรือนจำ ที่สูงและแน่นหนามีผู้คุมตลอด นั่นแสดงว่ามีสิ่งที่เลวร้ายและน่ากลัวอยู่ในนั้นจึงต้องสร้างกำแพงล้อมเอาไว้
อีกประการหนึ่ง ในยุคโบราณ กำแพงที่หนาหลายชั้นของเมืองเยรีโคได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันเมือง ทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าก็คือ “น้ำ” แม้กำแพงที่แน่นหนาก็ถูกทำลายได้ เมื่อสงครามเกิดขึ้น

“เหตุฉะนั้นประชาชนก็โห่ร้องเมื่อปุโรหิตเป่าแตร ดังนั้นพอประชาชนได้ยินเสียงแตร เขาก็โห่ร้องดังและกำแพงก็พังลงราบ ประชาชนจึงขึ้นไปในเมืองทุกคนต่างตรงไปข้างหน้าตนและเข้ายึดเมืองนั้น” (โยชูวา 6:20)
เหตุการณ์ครั้งนั้นมีผู้รอดชีวิตคือหญิงคนหนึ่งที่ได้ต้อนรับและช่วยเหลือผู้สอดแนมด้วยมิตรไมตรี ซึ่งทำให้อดคิดไม่ได้ว่า หากเมืองเยรีโคไม่สร้างกำแพง และเปิดเมืองต้อนรับผู้คน มันจะเป็นอย่างไร..

และการสร้างกำแพงอาจจะสร้างความสูญเสียมากว่าผลที่ได้รับ ดังเช่นกำแพงเมืองจีน ในสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ ได้สังเวยชีวิตแรงงานทาสไปจำนวนมหาศาลในระหว่างที่สร้างกำแพง

กำแพงเบอร์ลิน ในเยอรมันกลายเป็นสัญลักษณ์ของแบ่งแยกออกเป็น 2 ฝ่าย ระหว่างรัสเซียและอเมริกา ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้คนในเมืองนั้นต้องพลัดพราก พ่อแม่พี่น้องต้องแยกจากกัน

และล่าสุดคือกำแพงที่กั้นระหว่างอิสราเอลและฉนวนกาซ่า กำแพงที่กั้นชาวปาเลสไตน์ที่ชาวยิวได้สร้างขึ้น เสมือนกำแพงคุกขนาดใหญ่ จนอดคิดไม่ได้ว่า “สันติภาพจะเกิดขึ้นได้อย่างไร.. ในเมื่อกำแพงขวางกั้น”

แล้ววันหนึ่งเมื่อมนุษย์มีเข้าใจในวัตถุประสงค์ของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ กำแพงในจิตใจก็คงถูกทำลายลง ไม่กักขัง หรือป้องกันสิ่งใดเอาไว้ได้อีก
ระหว่าง “กำแพง” กับ “สะพาน” ท่านจะสร้างอะไร?

ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า “จงรักเพื่อนบ้าน และเกลียดชังศัตรู” ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน จงอวยพรแก่ผู้ที่สาปแช่งท่าน จงทำดีแก่ผู้ที่เกลียดชังท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ปฏิบัติอย่างเหยียดหยามต่อท่านและข่มเหงท่าน ทำดังนี้แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์
พระดำรัสของพระเยซูคริสต์
(มัทธิว 5:43-45)