ค้นหาข้อมูลจากบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

อะไรคือวิธีที่ถูกต้องในการศึกษาพระคัมภีร์?


คำถาม: อะไรคือวิธีที่ถูกต้องในการศึกษาพระคัมภีร์?

คำตอบ: การตีความหมายข้อพระคัมภีร์เป็นงานที่ยากงานหนึ่งในชีวิตของผู้เชื่อ พระเจ้าไม่ได้ทรงบอกว่าเราแค่ต้องอ่านพระคัมภีร์เท่านั้น แต่เราต้องศึกษาและใช้มันอย่างถูกต้อง การศึกษาพระคัมภีร์เป็นงานยาก การอ่านผ่าน ๆ หรือคร่าว ๆ บางครั้งอาจทำให้เราเข้าใจความหมายของพระเจ้าผิดได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องเข้าใจหลักการหลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับการตัดสินใจว่าอะไรคือความหมายที่ถูกต้องของข้อพระคัมภีร์

          1. จงอธิษฐานและขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยให้ท่านเข้าใจ ยอห์น 16:13 กล่าวว่า “เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้น” ในหนังสือยอห์น ข้อ 16 พระเยซูตรัสเกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์และบอกว่าเมื่อพระองค์เสด็จมา (พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาในวันเพนเทคศเต, กิจการ 2) พระองค์จะทรงนำพวกเขาไปสู่ความจริงทั้งมวล พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำเหล่าอัครทูตในการเขียนพันธสัญญาใหม่ฉันใด พระองค์ก็ทรงนำเราให้เข้าใจข้อพระคัมภีร์ฉันนั้น จงจำไว้ว่าพระคัมภีร์คือหน้งสือของพระเจ้า ดังนั้นเราจึงต้องถามพระองค์ว่ามันหมายความว่าอย่างไร หากท่านเป็นคริสเตียน, ผู้เขียนพระคัมภีร์, พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอยู่ในท่าน … และพระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะให้ท่านเข้าใจว่าพระองค์ทรงเขียนอะไร

          2. อย่าดึงข้อพระคัมภีร์ออกจากบริบทแล้วคิดเอาเองว่าความหมายของวรรคนั้นไม่ได้เกี่ยวกับวรรคอื่น ๆ ในบริบท ท่านควรอ่านบริบทและพระคัมภีร์ทั้งบทเสมอ และพยายามเข้าใจความหมายของหนังสือเล่มนั้น แม้ว่าพระคัมภีร์ทุกตอนมาจากพระเจ้า (2 ทิโมธี 3:16; 2 เปโตร 1:21) แต่พระองค์ทรงใช้มนุษย์เป็นผู้บันทึก คนเหล่านี้มีแนวความคิด, วัตถุประสงค์ในการเขียน และ เรื่องที่จำเพาะเจาะจงที่ต้องการเขียน จงอ่านเบื้องหลังของหนังสือที่ท่านกำลังศึกษาเพื่อให้รู้ว่าใครเป็นคนเขียน, เขียนถึงใคร, เขียนเมื่อไหร่ และทำไมจึงเขียน ต่อจากนั้นจงอ่านบทก่อนที่จะมาถึงวรรคที่ท่านกำลังศึกษาอยู่ เพื่อให้รู้ว่าหัวข้อที่มนุษย์ผู้เขีนกำลังเขียนอยู่นั้นเกี่ยวกับอะไร จงปล่อยให้ถ้อยคำในหนังสือสื่อความหมายออกมาเอง บางครั้งคนอ่านมักจะตีความหมายเข้าข้างตนเองเพื่อให้ได้ความหมายที่ต้องการ

          3. อย่าพยายามศึกษาพระคัมภีร์ด้วยตัวเองโดยไม่พึ่งใครเลย มันเป็นความหยิ่งที่คิดว่าตัวเองไม่สามารถเข้าใจได้หากต้องศึกษาผ่านคนอื่นที่ได้ทุ่มเททั้งชีวิตศึกษาพระคัมภีร์มาก่อน ด้วยความเข้าใจผิด คนบางคนศึกษาพระคัมภีร์ด้วยการคิดว่าเขาจะพึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นแล้วเขาจะได้พบความจริงทั้งหมดที่ซุกซ่อนอยู่ โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระคริสต์ทรงประทานคนที่มีความสามารถ และของประทานฝ่ายวิญญาณแก่พระกายของพระองค์ หนึ่งในของประทานเหล่านั้นคือของประทานในการสอน (เอเฟซัส 4:11-12; 1 โครินธ์ 12:28) บรรดาครูเหล่านี้พระเจ้าประทานให้กับเราเพื่อช่วยให้เราเข้าใจแลเชื่อฟังพระคัมภีร์อย่างถูกต้อง มันเป็นการฉลาดเสมอที่เราจะศึกษาพระค้มภีร์กับผู้เชื่อคนอื่นๆ คอยช่วยกันทำความเข้าใจและนำความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้ามาประยุกต์ใช้

ข้อมูลจาก http://www.gotquestions.org/Thai/Thai-study-Bible.html

1 ความคิดเห็น:

Baku MoThai กล่าวว่า...

หากจะบอกตรงๆ ว่าใครตีความพระคัมภีร์ได้บ้าง ก็คงตอบตรงๆ ได้ว่าก็คือคนอ่านพระคัมภีร์นั่นเอง แต่เพราะส่วนใหญ่เป็นนักฟังมากกว่านักอ่าน เราจึงพึ่งพาตัวช่วย นั่นก็คือนักเทศน์ ครูสอนศาสนา แต่สุดท้ายเราเองก็ต้องตรวจสอบเองอีกว่าคำเทศน์นั้นตรงกับพระคัมภีร์หรือไม่ หรือนักเทศน์ไปเอามาจากไหน มีอ้างอิงเล่มไหนบทไหนข้อไหน